บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 12 โล่งคอ

ไม่นานไป๋หลิวเหยากับโจวชิงเหอก็มาถึง พวกนางลงมาจากเขาพร้อมตะกร้าสานสองใบ ทั้งสองยิ้มร่าเพราะได้หน่อไม้กลับมาเยอะมาก

เมื่อวางตะกร้าลงที่หน้าบ้านไป๋แล้ว ทั้งสองก็ไปล้างมือล้างหน้าที่คันโยก ก่อนจะดื่มน้ำด้วยมือเปล่าด้วยความสุขใจ

“น้ำจากคันโยกนี้ดีจริงๆ ขนาดอากาศร้อนถึงเพียงนี้ น้ำก็ยังเย็นชื่นใจอยู่เช่นเคย”

โจวชิงเหอรู้สึกว่าชีวิตนางจะต้องดีมากขึ้นกว่าก่อนเก่า ยิ่งมีน้ำจากคันโยกนี้ด้วยแล้ว นางอาจจะปลูกผักทำนาได้อย่างที่สามีบอกก็เป็นได้

“ข้าก็ชอบน้ำจากใต้ดินนี้เช่นกันเจ้าค่ะ แม้อากาศจะร้อน แต่ใต้พื้นดินยังคงเย็นชุ่มฉ่ำเสมอ”

ไป๋หลิวเหยายิ้มแย้มตอบไป เอาจริงๆ นางก็ไม่รู้ว่าคันโยกนี่มันมาจากไหน แต่ในเมื่อมันใช้งานได้ นั่นก็เท่ากับว่า ของสิ่งนี้มีประโยชน์

“ข้าได้ยินมาจากสามีของข้า เขาบอกว่า น้ำนี้ ไม่มีวันแห้งเหือดจริงหรือไม่?”

โจวชิงเหอถามลองเชิงเพื่อความสบายใจ

“พี่สาวโจว ข้าไม่รู้หรอกเจ้าค่ะ ว่าน้ำจากดินนี้จะใช้งานได้นานแค่ไหน แต่ที่ข้ารู้ก็คือ ทุกครั้งที่โยกคันโยกนี้ น้ำก็มักจะไหลทะลักออกมาเสมอ”

หลิวเหยาตอบไปตามจริง นางจะไปรู้ได้อย่างไรว่าน้ำจะใช้ได้อีกนานเท่าไหร่ หากมันไม่มีวันหมดจริง นางก็ยิ่งล้วนแต่จะพอใจ

“นั่นสินะ ของที่อยู่ใต้พื้นดินใครมันจะไปมองเห็น”

โจวชิงเหอถอนหายใจออกมา แต่อย่างน้อยๆ ตอนนี้นางก็มีน้ำกินน้ำใช้ แถมน้ำบาดาลนี้ยังสะอาดกว่าน้ำในหมู่บ้านเสียอีก

“ที่จริงแล้วม่านหรงเป็นคนพบสิ่งนี้เจ้าค่ะ นางบอกว่าน้ำจากคันโยกนี้จะไม่มีวันหมด แถมนางยังท้าให้พ่อของนางกับพี่ชายโจวโยกน้ำไปใส่แปลงนาดู นางกล่าวว่าถึงจะโยกน้ำทั้งวันทั้งคืน น้ำในคันโยกก็ไม่มีวันหมดไป”

ไป๋หลิวเหยาหัวเราะเบาๆ นางไม่รู้เลยว่าบุตรสาวไปเอาความมั่นใจนั้นมาจากไหน

“แต่ถึงแม้ม่านหรงจะพูดแบบนั้น ก็ยังไม่มีใครว่างพอมาโยกคันโยกนี้เสียที”

หลิวเหยาพูดต่อด้วยรอยยิ้ม ไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อลูกสาว แต่เรื่องนี้มันยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ นางจึงก้ำกึ่งระหว่างความจริงกับสิ่งที่ควรเป็น

“ท่านพ่อเจ้าคะ”

เจียหลินวิ่งไปทางบิดาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“พวกเจ้าลงมาจากเขาแล้วรึ”

เหวินหลงมองไปทางบุตรสาว

“เจ้าค่ะ ข้ากับท่านแม่ลงมาจากเขาพร้อมกับท่านป้าไป๋แล้ว แล้วท่านพ่อเห็นพี่สาวไป๋หรือไม่ ข้าอยากไปเล่นกับพี่สาวไป๋แต่ว่าข้าหานางไม่เจอ”

เจียหลินยิ้มกว้างออกมาก่อนจะทำหน้าสลดลงในตอนท้าย

เหวินหลงเข้าใจทันทีว่าลูกสาวของเขาคงหาไป๋ม่านหรงไม่เจอ ถึงได้วิ่งมาที่นี่เพื่อที่จะถามไถ่

“พี่สาวไป๋ของเจ้าคงเหนื่อยมากแล้ว ปล่อยให้นางพักก่อนเถอะนะ”

เหวินหลงลูบหัวบุตรสาวที่ใบหน้าแดงระเรื่อเพราะตากแดดนาน

“ข้าเองก็วิ่งลงมาจากเชิงเขา ยังไม่เห็นจะเหนื่อยเลยหนิเจ้าคะ”

โจวเจียหลินทำตาโตสงสัย

“พี่เขาไม่ได้วิ่งเก่งเหมือนกับเจ้า รอให้พี่เขาหายเหนื่อยก่อน ค่อยไปเล่นด้วยก็ยังไม่สาย”

โจวเหวินหลงรู้ว่าลูกสาวของตนชอบถามโน่นนี่ ถ้านางเจออะไรที่ถูกใจก็ยิ่งจะพูดจ้อไม่หยุด เป็นไปได้ว่าม่านหรงก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่บุตรสาวของตนชอบเข้าเสียแล้ว

“ท่านแม่กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”

ไป๋ม่านหรงเดินเหมือนคนหมดแรงออกมาจากตัวบ้าน

“แม่เพิ่งกลับมาถึงเมื่อครู่นี่เอง แล้วเหตุใดไก่ถึงได้เหลือเพียงแค่สองตัวเล่า”

มารดาของม่านหรงชี้ไปที่แม่ไก่ที่เริ่มตื่นกันแล้วคุ้ยเขี่ยหาอาหารทั้งๆ ที่พื้นดินไร้ซึ่งสิ่งที่พวกมันกินได้

“ข้านำไก่หนึ่งตัวไปย่าง ส่วนไก่อีกสองตัวนำไปแกงใส่หน่อไม้ แล้วก็ผัดไก่ใส่พริกแห้งเจ้าค่ะ”

ม่านหรงตอบพร้อมกับยิ้มแหยๆ นางไม่ได้อยากโอ้อวดสรรพคุณของตนเอง นางแค่คิดว่าวันนี้ไม่อยากให้ใครมารบกวนนางอีกก็เป็นพอ

พอคิดขึ้นมาได้ว่าจะมีคนมาก่อกวนความสงบสุขของนาง ม่านหรงก็แทบไม่อยากออกมาจากห้องพักเสียอย่างนั้น

“โห… เจ้าทำอาหารสามอย่างเลยงั้นหรือ”

โจวชิงเหออดไม่ได้ที่จะชื่นชมเด็กสาว

ตามปกติแล้วเด็กวัยหนึ่งปีถึงเจ็ดปีถือว่ายังเด็กนัก เด็กวัยแปดปีถึงสิบเอ็ดปีถือว่าพูดจารู้เรื่องอยู่ในวัยเติบโต ส่วนเด็กวัยสิบสองถึงสิบห้าปีนับได้ว่าเริ่มเป็นสาว พออายุครบสิบห้าก็จะออกเรือนแต่งงานซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนทั่วๆ ไป

“ข้าก็เรียนรู้มาจากท่านแม่นั่นแหละเจ้าค่ะ”

ม่านหรงรีบโยนความดีความชอบให้มารดารับเอาไว้

“แหม เจ้านี่สอนบุตรสาวมาดีเสียจริง ไม่เหมือนกับข้า ข้าหน่ะรักลูกสาวมากเกินไป ดูเอาเถอะ นางอายุสิบปีแล้วแท้ๆ แต่ยังไม่รู้ความอะไรเลย”

โจวชิงเหอถอนหายใจออกมาเสียงดัง

“นางเพิ่งจะสิบปี ท่านก็อย่าพึ่งคิดมากไปเลยเจ้าค่ะ”

หลิวเหยาหันไปปลอบพี่สาวโจว

“ช่างเถอะ อย่างไรเสียก็เป็นข้าที่ตามใจนางเกินไป”

โจวชิงเหอบอกปัดไป ก่อนจะขอตัวไปที่แปลงนาของตัวเอง ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มเห็นเคล้าโครงบ้านมาบ้างแล้ว

“สามี ข้ากลับมาแล้ว”

โจวชิงเหอเดินไปทางสามีของนาง

“ท่านแม่มาแล้วหรือเจ้าคะ”

โจวเจียหลินวิ่งเข้าหามารดา

“เจ้ามาช่วยพ่อของเจ้าอยู่ที่นี่เองหรือ”

ชิงเหอส่งยิ้มให้ลูกสาว

“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ลูกมาตามหาพี่สาวไป๋ แต่ลูกหานางไม่เจอลูกจึงมาเล่นอยู่ที่นี่แทน”

สิ้นคำของลูกสาว ชิงเหอก็ถึงกับไปไม่เป็น นางควรรู้อยู่แล้วว่าลูกสาวยังเด็ก แต่นางก็แอบหวังว่าเจียหลินจะห่วงเรื่องงานบ้านงานเรือนบ้าง หากผู้เป็นแม่ไม่ออกคำสั่งนางก็จะนิ่งเฉย ดูท่าข้าต้องปรับเปลี่ยนนิสัยลูกสาวก่อนที่นางจะเสียคนไปมากกว่านี้

“ในเมื่อเจ้าว่าง… เจ้าก็ไปหยิบจับช่วยพ่อกับพี่ชายสักหน่อยเถอะ”

เจียหลินพยักหน้าก่อนจะเดินไปทางพี่ชายแล้วถามว่าอยากให้นางช่วยอะไรไหม

โจวเว่ยเห็นน้องสาวอาสามาช่วยเขาจึงวานให้นางมาช่วยเขาทำหลังคามุงหญ้า ชิงเหอได้แต่จนใจ หากไม่บอกนางก็คงไม่ยื่นมือเข้าไปช่วย

ใช่ว่านางเห็นแก่ตัว แต่นางห่วงแต่เล่นมากจนเกินไป

“มาเถอะให้ข้าช่วยอีกแรง”

ชิงเหอเดินไปนั่งข้างสามีแล้วช่วยเขาเหลาไม้ไผ่ทีละซีกเพื่อที่จะทำเป็นผนังบ้าน

“ม่านหรง พวกเราก็ไปช่วยบ้านโจวสักหน่อยเถอะ”

หลิวเหยาดึงมือบุตรสาวไปที่แปลงนาบ้านโจว

เมื่อไปถึงหลิวเหยาก็ไปช่วยสามีที่กำลังนั่งเหลาไม้ ม่านหรงถอนหายใจออกมา ในเมื่อมาแล้ว นางก็คงต้องช่วยงานเสียหน่อย

ม่านหรงเดินไปทางโจวเว่ย ม่านหรงไม่พูดพร่ำทำเพลงนางเดินไปหยิบโน่นจับนี่แล้วเริ่มทำหลังคามุงหญ้าแห้งช่วยโจวเว่ยทันที

ยิ่งม่านหรงเห็นว่าเจียหลินทำงานชักช้า นางจึงออกอุบายให้เจียหลินเป็นคนไปหอบหญ้าแห้งมาให้ แถมยังชื่นชมว่านางขยัน

โจวชิงเหอเห็นแบบนั้นก็แอบส่ายหัว บุตรสาวของต้าผางถึงหน้าตาจะมีตำหนิ แต่นางช่างเก่งทั้งด้านอาหารและการใช้คำพูด

หันกลับมามองที่บุตรสาวของตน นอกจากทำงานตามคำสั่งแล้ว นางก็ไม่คิดจะทำอย่างอื่นเสียบ้างเลย

บ้านไป๋กับบ้านโจวออกแรงช่วยกันทำงานหนึ่งชั่วยามเต็ม จากนั้นพวกเขาถึงได้มานั่งพักกลางวันด้วยความเหนื่อยล้า

“อาหารมาแล้วเจ้าค่ะ”

ม่านหรงเดินถือหม้ออาหารนำหน้าเจียหลิน สองเด็กน้อยวัยเยาว์เดินวนไปมาไม่กี่รอบ อาหารสามอย่างก็ถูกวางเรียงเพื่อให้ทุกคนหยิบจับได้อย่างถนัดมือ

“ดูท่าข้าต้องทำโต๊ะอาหารจริงๆ แล้วล่ะ”

เหวินหลงหัวเราะแห้งๆ ออกมา อาหารพวกนี้น่ากินทั้งนั้น เสียอย่างเดียว คือพวกเขาต้องนั่งกินกับพื้นดิน ซึ่งทำให้เสียอรรถรสไปไม่น้อย

“กินๆ ไปก่อนเถอะน่า ไว้ช่วงบ่ายพวกเราค่อยทำโต๊ะยาวไว้นั่งกินข้าวสักสองโต๊ะ”

ต้าผางพูดจบ เหวินหลงยิ้มกว้างแล้วพยักหน้า สองครอบครัวจึงลงมือทานอาหารอย่างเรียบง่าย ทว่า มันกลับอร่อยเสียจนเกือบจะกลืนลิ้นตัวเองลงคอไปด้วย

ซู๊ดดดดด!!!

เสียงซดน้ำแกงถ้วยเล็กดังขึ้นไม่ขาดสาย

อาหารจานน้ำนี่อร่อยมาก ยิ่งซดน้ำก็ยิ่งโล่งคอ ถึงอากาศจะร้อนระอุ แต่พอได้กินอาหารรสเลิศลงคอ ทุกคนก็ล้วนตกอยู่ในช่วงเวลาที่ผ่อนคลาย

“ไก่ย่างนี้ กรอบนอกนุ่มใน เนื้อสัมผัสนี้ข้าไม่เคยกินที่ไหนมาก่อน”

โจวเหวินหลงหยิบไก่ย่างที่ถูกสับเป็นชิ้นๆ ขึ้นมากิน ปากก็เอ่ยชมม่านหรงไม่หยุด

“ข้าชอบแกงหน่อไม้ใส่ไก่เจ้าค่ะ กินข้าวคำ ซดน้ำแกงคำ อร่อยจนหาคำมาบรรยายไม่ได้เลย”

โจวเจียหลินยิ้มแฉ่ง ผิดกับเจ้าตัวที่ถูกชมอย่างม่านหรงที่นั่งกินแบบขอไปที

‘อร่อยหรือ แบบนี้เรียกว่าอร่อยแล้วสินะ หากมีเครื่องปรุงรสมากกว่านี้พวกท่านจะไม่เยินยอข้าจนหูชาเลยหรือไง’

“ม่านหรงผัดไก่พริกแห้งนี้ถูกปากข้ามาก หากเจ้าว่าง เจ้าช่วยสอนข้าทำอาหารจานนี้หน่อยได้หรือไม่”

โจวชิงเหอกลืนข้าวลงคอก่อนจะพูดออกมา นางชื่นชอบอาหารจานนี้มากจริงๆ มากเสียจนอยากรู้วิธีทำจะได้ทำกินเองบ่อยๆ ในภายหลัง

“ได้เจ้าค่ะ ไว้ท่านป้าโจวเสร็จจากสร้างบ้านพัก แล้วข้าจะบอกสูตรให้นะเจ้าคะ”

ม่านหรงอมยิ้มบางๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินอาหารตามเดิม

ต้าผางยิ้มไม่หุบ ยิ่งมีคนชมลูกสาวของเขามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเหมือนกับว่าถูกเชิดหน้าชูตาขึ้นมาเรื่อยๆ

“พวกท่านหยุดกล่าวชมนางเถอะเจ้าค่ะ เอาเป็นว่าหากอร่อยก็กินให้มากๆ”

ถึงหลิวเหยาจะพูดไปแบบนั้น ในใจของนางกลับยินดีมากกว่าใครๆ

หลังมื้อเที่ยงจบลง ม่านหรงกับเจียหลินก็นำจานชามไปล้าง

ม่านหรงรู้สึกว่า หากยังใช้ที่ตรงนี้ล้างถ้วยชามต่ออยู่อีก ไม่นานที่ตรงนี้จะมีน้ำขัง แถมยังจะพ่วงมาด้วยกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์

หากเป็นยุคปัจจุบัน วิธีแก้ไขปัญหาน้ำเสียก็คือการระบายน้ำออกไป แต่ที่แห่งนี้ไม่สามารถระบายน้ำไปที่ใดได้ ม่านหรงจึงต้องใช้สมองของนาง เพื่อหาทางออกนั้นด้วยตนเอง

“พี่สาวไป๋ หลังจากล้างถ้วยชามเสร็จพวกเราไปเล่นบนภูเขาดีหรือไม่ พวกเราจะแข่งกันเก็บหน่อไม้ว่าใครจะได้หน่อไม้มากกว่ากัน”

โจวเจียหลินยิ้มแย้ม นางชวนม่านหรงพูดคุยไม่หยุดหย่อน จนม่านหรงหลุดออกมาจากภวังค์ความนึกคิด

“เจียหลิน เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว”

ม่านหรงถามด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง

“ข้าอายุสิบปีแล้วเจ้าค่ะ”

เจียหลินดีใจมากที่ในที่สุดพี่สาวไป๋ก็คุยโต้ตอบกับนางเสียที

“แล้วเจ้าได้คิดบ้างหรือยังว่าเมื่อเจ้าอายุครบสิบห้าจะเป็นเช่นไร”

“ถ้าถึงตอนนั้น อืมมม… ท่านแม่ก็จะให้ข้าออกเรือนไงเจ้าคะ”

“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าการออกเรือนคืออะไร”

ม่านหรงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา นางเพียงแค่หาสิ่งที่ทำให้เจียหลินหยุดถามไถ่ แล้วเปลี่ยนเป็นตนที่จะถามอีกฝ่ายแทน

“แต่งงาน แล้วคลอดลูกเจ้าค่ะ”

โจวเจียหลินยิ้มกว้าง เมื่อนางอายุครบวัยออกเรือนนางก็จะเป็นเช่นนั้น

“งั้นหรือ แล้วเจ้ามีคนในใจบ้างหรือยัง ข้าหมายถึงชายหนุ่มที่เจ้าหมายปองอยากออกเรือนด้วยหน่ะ”

ในเมื่อนางคิดไปไกลขนาดนั้น เป็นไปได้ว่านางต้องมีคนในใจแล้วเป็นแน่ ม่านหรงเห็นเจียหลินชะงักมือที่กำลังล้างจาน แล้วนั่งครุ่นคิดพลางเม้มปากขมวดคิ้ว

ม่านหรงเห็นนางเริ่มใช้สมองน้อยๆ นั่น จึงยกยิ้มพลางส่ายหัว

เหมือนกับว่าก่อนหน้านี้ นางไม่เคยได้คิดถึงเรื่องพวกนี้มาก่อนเลยสินะ แล้วที่นางบอกว่าถึงเวลาจะออกเรือนมีลูก นางจะออกเรือนกับใคร คนคนนั้นหน้าตาอย่างไร นิสัยดีหรือแย่ เอาการเอางานหรือห่วงแต่เล่น และชายคนนั้นพึ่งพาได้มากน้อยแค่ไหน

กิริยานิ่งเงียบของเจียหลินทำให้ม่านหรงพอใจเป็นอย่างมาก เพราะการเริ่มคิดตั้งแต่เนิ่นๆ คือการวางแผนในระยะยาว

“ข้าล้างถ้วยชามเสร็จหมดแล้ว เจ้าก็ค่อยๆ คิดไปนะ ลองนึกดูว่าเจ้ามีชายใดที่หวงแหนเจ้าสุดชีวิต ยอมทำทุกอย่างเพื่อเจ้าจนหมดใจ ข้าขอเอาของไปเก็บเข้าที่ก่อนละกัน”

ม่านหรงยืนขึ้นแล้วยกตะกร้าจานชามออกไปทันที นางปล่อยให้เจียหลินค่อยๆ ใช้ความคิดไป

ม่านหรงรู้สึกโล่งใจ ที่ท้ายที่สุดแม่สาวน้อยจะได้เลิกตามมากวนใจนางเสียที

“คนที่รักข้า หวงแหนข้า ยอมทำทุกอย่างเพื่อข้า นั่นไม่ใช่ว่าเป็นท่านพ่อกับท่านแม่หรอกหรือ”

เจียหลินคิดไปคิดมา คำที่พี่สาวไป๋กล่าวทุกข้อมีเพียงพ่อกับแม่เท่านั้นที่ทำเช่นนี้กับนาง

แล้วข้าต้องแต่งงานกับใคร? ใครกันที่จะเหมาะสมกับข้า?

เจียหลินนึกขึ้นมาแล้วหัวคิ้วพันกันเป็นปม

ข้าคิดมาตลอดว่าพอถึงเวลาก็แค่ออกเรือน แต่งงาน มีลูก เลี้ยงลูก แล้วคนที่ข้าจะแต่งด้วยเล่าคือผู้ใด เขาจะดีกับข้าเหมือนที่ท่านพ่อกับท่านแม่ดีกับข้าหรือไม่

โจวเจียหลินรีบล้างมือแล้วเดินตามหลังพี่สาวไป๋ไป

พี่สาวไป๋อายุมากกว่าข้า นางจะต้องรู้เยอะมากกว่าข้าเป็นแน่

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel