บทที่ 4 แสดงละคร - 1
แสงตะวันกว่าจะโผล่พ้นขอบฟ้าในช่วงฤดูหนาวก็ล่วงเข้าปลายยามเหม่า*
การครุ่นคิดเรื่องของเฉินลี่หลินทั้งคืน ทำให้กว่าจะหลับก็เกือบสว่าง เช้านี้ไป๋ซูหนี่ว์จึงนอนตื่นสาย รู้สึกตัวอีกทีก็มีเสียงเรียกของเจาซานเซินสลับกับเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“อาหนี่ว์ อาหนี่ว์ เจ้าตื่นหรือยัง ท่านแม่ให้ข้าแวะมากำชับให้เจ้ารีบแต่งตัว”
ไป๋ซูหนี่ว์ลุกขึ้นดึงผ้าห่มออกจากตัวพลางส่งเสียงออกไป “ข้าเข้าใจแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะตามไป”
“ได้ๆ รีบตามมาละกัน”
หลังจากบ้วนปากล้างหน้าเสร็จ ก็มานั่งลงตรงกระจกหน้าโต๊ะ เติมแป้งผัดหน้า เขียนคิ้ว ทาปาก อย่างชำนาญ
ฝีมือในการแต่งหน้าของไป๋ซูหนี่ว์นับว่าไม่เป็นรองในด้านวิชาการแพทย์ของนาง เพราะตลอดเวลาที่อยู่ในคณะละครนางก็เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้รวดเร็ว ดังนั้นจึงใช้เวลาไม่นานในการแต่งหน้าและแต่งตัว
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ไป๋ซูหนี่ว์จึงออกไปรวมตัวกับทุกคนที่ห้องชั้นบนของหอเย่วเซียงลี่ เพื่อเตรียมตัวขึ้นแสดง
วันนี้ที่หอเย่วเซียงลี่มีผู้คนมาจับจองห้องหับล่วงหน้าหลายห้อง รวมถึงโต๊ะทั้งชั้นบนชั้นล่าง ล้วนแล้วแต่เต็มทุกโต๊ะ
เพราะทางหอได้มีการกระจายข่าวล่วงหน้าหลายวันแล้ว ว่าวันนี้จะมีคณะละครม่านฉินจะมาทำการแสดงที่นี่
ดังนั้นเมื่อถึงวันที่กำหนด ผู้คนที่จองไว้ล่วงหน้าก็เดินทางมารอชมการแสดง ทั้งน้ำชา สุรา และอาหารล้วนขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ลูกจ้างในหอเดินไปมาเพื่อให้บริการไม่หยุดหย่อน
บางคนที่พลาดไม่มีที่นั่ง ก็ยืนเบียดเสียดกันอยู่ที่หน้าเวที ยาวไปจนถึงหน้าประตูของหอเย่วเซียงลี่ เพื่อรอชมการแสดงในวันนี้
ถัดขึ้นไปชั้นบนของห้องที่อยู่ติดกับห้องของชาวคณะละครม่านฉินที่เตรียมตัวอยู่ ก็ยังมีห้องพิเศษของทางร้านที่สามารถมองเห็นการแสดงได้ชัดเจน ถูกจัดเตรียมไว้ให้กับแขกผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่ง
ภายในห้องนั้นมีบุรุษหนุ่มกลิ่นอายสูงศักดิ์ ท่วงท่าสง่างาม แววตาอ่อนโยน แต่ทว่าใบหน้าอ่อนหวานงดงามราวกับสตรี ด้านในสวมชุดสีเขียวอ่อน ด้านนอกคลุมทับด้วยเสื้อขนสัตว์สีขาว กำลังนั่งดื่มสุราดอกเฟิ่งหวาง สุราที่ขึ้นของหอเย่วเซียงลี่ เขาคือรัชทายาทตงเฉิงเปานั่นเอง
ที่นั่งตรงข้ามเขาก็คือบุรุษหนุ่มที่อดีตเคยมีฉายาแม่ทัพปีศาจ ในตอนนี้กลายเป็นผู้บัญชาการหน่วยพยัคฆ์ขาว เฉินฮุ่ยเจิน กำลังนั่งดื่มสุราร่วมกับองค์รัชทายาท
“นานๆ ทีได้มีโอกาสร่ำสุรากับผู้บัญชาการถือว่าเป็นบุญของข้านัก” น้ำเสียงที่แฝงด้วยความล้อเลียนของรัชทายาท
เฉินฮุ่ยเจินยกจอกสุราขึ้นดื่ม พูดพลางไม่ใส่ใจ “องค์รัชทายาทกล่าวหนักเกินไปหรือไม่พะย่ะค่ะ ปกติกระหม่อมก็แทบจะอยู่ข้างพระวรกายของท่านตลอดเวลา”
รัชทายาทแย้มพระสรวลอย่างอารมณ์ดีที่ได้หยอกเย้าสหายในวัยเด็ก
ในอดีตก่อนที่เฉินฮุ่ยเจินจะติดตามบิดาไปค่ายทหาร เดิมทีความสัมพันธ์ของเฉินฮุ่ยเจินกับรัชทายาทนั้นค่อนข้างดี เพราะในวัยเด็กทั้งสองมีความสนิทสนมคุ้นเคย ทั้งยังคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันเรื่อยมา
เมื่อคราก่อนๆ ที่เขาได้ขึ้นเป็นรัชทายาทเขาก็ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลของเฉินฮุ่ยเจินเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง แน่นอนว่า เฉินฮุ่ยเจินเป็นสหายที่รัชทายาทไว้ใจ และรู้ใจเพียงคนเดียวของเขา
วันนี้เป็นวันหยุดของเฉินฮุ่ยเจิน กอปรกับมีคณะละครมาใหม่ เฉินฮุ่ยเจินจึงถือโอกาสนี้เชิญรัชทายาทมาผ่อนคลาย
ในที่สุดก็ถึงเวลาทำการแสดง โคมไฟในหอถูกดับ
ชั่วครู่ก็มีโคมไฟรูปดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น เมื่อโคมไฟในหอถูกจุดขึ้นอีกครั้ง ภาพของหญิงสาวสิบนางใส่ชุดสีขาว สวมผ้าคลุมหน้าบางเบา ในมือถือหร่วน* นั่งอยู่บนโคมไฟพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว บรรเลงเพลงขับร้องอย่างเบาๆ ลอยไปลอยมาอย่างสง่างาม พลางโปรยกระดาษสีทองระยิบระยับลงมา
กระเรียนโบยบินในฤดูเหมันต์
โบตั๋นหลากสีสันเบ่งบานทั่วหล้า
ยวนยางคู่ต่างร่ายรำบนเวหา
ดั่งคู่บุปผาวาสนาดอกท้อ……..
สิ้นเสียงเพลง ก็มีเสียงตี๋จี* ดังขึ้นมาแทนที่ ชั่วครู่ก็มีบุรุษกับสตรีคู่หนึ่งใส่หน้ากาก สวมชุดสีแดง แสดงท่วงท่าพลอดรักประหนึ่งเป็นคู่สวรรค์สร้าง ลอยไปมาอยู่ข้างบนกลางวงล้อมของหญิงสาวทั้งสิบนาง
บุรุษกับสตรีค่อยๆ ลอยลงมากลางเวที เสียงพิณก็ดังสลับขึ้นมา หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีที่อยู่บนเวที ต่างร่ายรำด้วยท่วงท่าที่อ่อนช้อยสอดประสานเสียงพิณ
ท่วงทำนองของพิณที่เอื่อยเฉื่อย เริ่มเร่งเร้าจังหวะขึ้นมา ประกอบกับเสียงหลัวกู่* ฉับพลันควันสีขาวพวยพุ่งขึ้นกลางเวทีประหนี่งว่าเป็นดินแดนเทพเซียน ปรากฏร่างสตรีห้านางในมือถือร่ม วาดกายท่วงท่าหงส์โบยบินให้เข้ากับเสียงดนตรีไปมาอย่างงดงาม
เมื่อการแสดงจบลง ทุกคนต่างลุกขึ้นยืนปรบมือให้กับการแสดงของคณะละครม่านฉิน การแสดงในวันนี้สร้างความประทับใจให้กับคนที่อยู่ในหอเย่วเซียงลี่ไม่มีที่สิ้นสุด
*ยามเหม่า คือช่วงเวลา 05.00 – 06.59 น.
*หร่วน เป็นเครื่องดนตรีประเภทสายของจีน ใช้ดีด เป็นพิณชนิดหนึ่งของจีน ในสมัยโบราณ เรียกว่า ผีผาฉิน
*ตี๋จี เป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่าของจีน เรียกว่าขลุ่ย สมัยก่อนเรียกว่า เหิงซุย
*หลัวกู่ เป็นเครื่องดนตรีประเภทตี มีลักษณะเหมือนกลอง
