บท
ตั้งค่า

บทที่ 3 สู่เส้นทางใหม่ - 1

หลังจากที่เฉินฮุ่ยเจินกลับไปได้หลายเดือน ชีวิตของไป๋ซูหนี่ว์ก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

วันที่ยี่สิบสองเดือนเจ็ดเป็นวันที่อากาศร้อนที่สุด ท้องฟ้าโปร่งสบายแต่ทว่าแดดจ้า เพียงแค่ถึงยามเฉิน* อากาศก็เริ่มร้อนระอุ ราวกับว่านั่งอยู่ในเตาไฟ

วันนี้ไป๋ซูหนี่ว์กำลังจัดการกับสมุนไพรที่เก็บมาได้ ทุกอย่างได้นำไปตากแห้ง ส่วนที่แห้งแล้วก็จะนำมาบดเก็บไว้ นางคงยุ่งอยู่กับสมุนไพรจนถึงช่วงเย็น

เดิมทีนางตั้งใจว่าคืนนี้จะกลับไปนอนกับบิดามารดา แต่ทว่าด้วยความที่สมุนไพรมีมาก กว่าจะเสร็จก็มืดพอดีนางจึงเปลี่ยนใจนอนที่บ้านหลังเล็กของนาง

รุ่งเช้าของอีกวันนางตื่นแต่เช้ามาทำกับข้าวไปให้บิดามารดา เมื่อไปถึงก็พบว่าทุกคนที่อยู่ในบ้านไม่ว่าจะเป็นบิดามารดาหรือแม้กระทั่งลูกศิษย์ในสำนัก ทุกคนล้วนถูกฆ่าตายจนหมดสิ้น

กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว ข้าวของในบ้านถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย

ภาพการตายของบิดามารดาทำให้ไป๋ซูหนี่ว์ถึงกับหลั่งน้ำตาไม่หยุด ร้องไห้เสียใจจนแทบสิ้นสติ

ด้วยความที่บ้านของบิดามารดาสร้างอยู่กลางหุบเขาอ้ายฉิง ห่างไกลจากผู้คน ดังนั้นนางจึงมิอาจรู้ว่าได้ว่าด้วยเหตุใดทุกคนจึงถูกฆ่าตาย และใครเป็นคนฆ่า

หลังจากจัดการกับศพของทุกคน ไป๋ซูหนี่ว์ก็ไปอาศัยอยู่กับชาวคณะละครม่านฉิน

ห้าปีต่อมา…..

ฤดูหนาวในรัชศกเหยียนตงปีที่สิบ หิมะในช่วงเดือนสิบสองเริ่มโปรยปราย สองข้างทางถูกปกคลุมไปด้วยหิมะจนขาวโพลนไปตลอดทาง

แต่ทว่ากลับมีรถม้าของคณะละครม่านฉินสามคันวิ่งฝ่าหิมะมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวงอย่างไม่เร็วไม่ช้า

ข้างในรถม้าคันแรกพ่อ แม่ น้องสาวของเจาซานเซิน และไป๋ซูหนี่ว์กำลังนั่งหลับคอตกเอียงไปเอียงมา ไป๋ซูหนี่ว์ที่นั่งอุดอู้อยู่ในรถม้ามาตลอดทาง ลุกขึ้นบิดขี้เกียจสองสามที ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตู

“นี่อาเซิน เราใกล้จะถึงเมืองหลวงกันหรือยัง ข้านั่งจนก้นข้าชาไปหมดแล้ว”

เจาซานเซินที่กำลังสะบัดแซ้บังคับรถอย่างระมัดระวัง ตะโกนกลับไป “อีกไม่นานก็จะถึงแล้ว”

ไป๋ซูหนี่ว์ก้าวออกมานั่งข้างๆ เจาซานเซิน

“เจ้าจะออกมาทำไมกันอาหนี่ว์ ข้างนอกอากาศเย็นเดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้”

ไป๋ซูหนี่ว์ยื่นมือไปตบไหล่ของเจาซานเซินเบาๆ

“ข้าก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น เจ้าก็อย่าได้บ่นเป็นตาแก่สิ อีกอย่างก็ใกล้จะถึงเมืองหลวงแล้วนี่” เจาซานเซินได้แต่ส่ายหน้าไปมากับความดื้อรั้นของไป๋ซูหนี่ว์

เจาซานเซินเป็นบุตรชายคนโตของเจาปู้จีและกู่ฉิงหมิง สองสามีภรรยาหัวหน้าคณะละครม่านฉิน เขามีน้องสาวอีกคนปีนี้อายุสิบแปด นามว่าเจาเพ่ยเอ๋อร์

เดิมทีเจาปู้จีนั้นเป็นชาวยุทธภพ เมื่อครั้งที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้ก็ได้พ่อของไป๋ซูหนี่ว์ช่วยชีวิตเอาไว้ เมื่อได้พูดคุยและอยู่ด้วยการนานวัน ทั้งสองจึงรู้สึกถูกชะตาจึงได้สาบานเป็นพี่น้อง

ภายหลังเจาปู้จีได้พบรักกับกู่ฉิงหมิงลูกสาวของคณะละครม่านฉินหลังแต่งงานมีครอบครัว ทั้งสองครอบครัวก็ไปมาหาสู่กันจึงทำให้เกิดความสนิทสนมคุ้นเคย

ทั้งเจาซานเซินและไป๋ซูหนี่ว์ต่างเติบโตมาด้วยกัน เจาซานเซินนั้นคอยช่วยเหลือไป๋ซูนี่ว์มาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งพ่อแม่ของเจาซานเซินก็รักใคร่เอ็นดูนางเหมือนกับบุตรสาวแท้ๆ

ดังนั้นเมื่อครอบครัวของไป๋ซูหนี่ว์ต้องประสบเคราะห์ร้าย พ่อแม่ของเจาซานเซินจึงรับนางมาอยู่ด้วย

การเดินทางตลอดทั้งวันทั้งคืน ในที่สุดรถม้าทั้งสามคันของคณะละครม่านฉินก็ถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยในยามเซิน*

ในตรอกหูเหอทางทิศเหนือของเมืองหลวง รถม้าวิ่งมาจอดด้านหน้าของหอเย่วเซียงลี่ เจาปู้จีและกู่ฉิงหมิงสองสามีภรรยาหัวหน้าคณะละครม่านฉินจึงลงไปทักทายหลงจู๊

เมื่อได้ทราบความต้องการของเจ้าของหอเย่วเซียงลี่ผ่านทางหลงจู๊แล้ว หลงจู๊จึงได้นำทางให้ทั้งสองนำรถม้าอ้อมไปทางด้านหลังของหอเย่วเซียงลี่ เพื่อเข้าพักที่เรือนรับรอง

ต่อให้จะมีเรือนรับรองให้แต่ทางคณะละครม่านฉินยังต้องจ่ายค่าเช่าให้กับทางหอเย่วเซียงลี่อยู่ดี เพราะถือว่าเข้ามาอยู่ในฐานะนายจ้างกับลูกจ้าง ซึ่งได้ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

แม้จะต้องจ่ายค่าเช่าก็ถือว่าไม่เป็นการเอาเปรียบแต่อย่างใด เพราะทางหอเย่วเซียงลี่ได้ตกลงทำสัญญาว่าจ้างคณะละครม่านฉินให้แสดงอยู่ที่นี่สามปี อย่างน้อยคณะละครก็ไม่ต้องร่อนเร่ไปอีกสามปี

“ที่นี่เป็นที่พักของพวกท่าน” หลงจู๊ชี้มือไปทางเรือนไม้ขนาดใหญ่ที่ภายในประกอบไปด้วยหลายห้องด้วยกัน เรียกว่าใหญ่โตที่สุดเท่าที่คนในคณะละครม่านฉินเคยอยู่มาด้วยซ้ำ

“ขาดตกบกพร่องสิ่งใด ทุกท่านสามารถเข้าไปหาข้าข้างในหอเย่วเซียงลี่ได้ตลอดเวลา” ระหว่างที่พูดหลงจู๊ก็ลอบสังเกตุทุกคนในคณะละครไปด้วย

“อีกอย่างนายหญิงของหอเย่วเซียงลี่กำชับให้ข้าพาพวกท่านเข้าไปหาเขาข้างในก่อน”

ทุกคนจึงเดินตามหลงจู๊เข้าไปในห้องรับรองพิเศษ เพื่อไปคาราวะเจ้าของหอ ซึ่งในนั้นก็มีสตรีวัยกลางคน และสตรีวัยรุ่นราวคราวเดียวกันกับไป๋ซูหนี่ว์ ทั้งสองแต่งกายด้วยผ้าไหมชั้นดี ท่าทางอ่อนโยน นั่งรออยู่ก่อนหน้าแล้ว

สตรีที่อยู่ในห้องรับรองคือเจิ้งเหยียนถังและเฉินลี่หลิน นายหญิงเจ้าของหอเย่วเซียงลี่

หลงจู๊จึงแนะนำชาวคณะละครม่านฉินให้รู้จักกับทั้งสองคน ชาวคณะละครต่างประสานมือคาราวะเจ้าของหอ

เมื่อได้พูดคุยและตอบคำถามหลายอย่างแล้ว ทุกคนจึงกล่าวลาเจ้าของหอเพื่อที่จะกลับไปพักผ่อน

ระหว่างที่ทุกคนทยอยเดินออกจากห้อง พลันมีเสียงหวีดร้องดังขึ้น

“ช่วยด้วย ใครก็ได้รีบตามหมอเร็วเข้า ฮูหยินหมดสติไป” เสียงนั้นเป็นเสียงของบ่าวรับใช้ของเจิ้งเหยียนถัง จู่ๆ นางก็หน้ามืดเป็นลมล้มพับลงไป ทำให้ทุกคนต่างตกใจ

ไป๋ซูหนี่ว์เห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปช่วยนาง พอจับชีพจรแล้วนางก็หยิบถุงหอมที่ใส่สมุนไพรชั้นดีเอาไว้หลายอย่างจากกระเป๋าใบเล็กที่ห้อยที่อยู่ข้างเอวนางออกมาให้เจิ้งเหยียนถังดม ไม่นานนางจึงฟื้นคืนสติ

*ยามเฉิน คือช่วงเวลา 07.00 – 08.59 น.

*ยามเซินคือช่วงเวลา 15.00 -16.59 น.

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel