บทที่ 2 การจากลา - 1
ล่วงเข้าต้นยามซวี* ไป๋ซูหนี่ว์ที่ออกไปทำธุระข้างนอกก็เข้ามาพร้อมกับของกินและเสื้อผ้าในมือ นางเดินไปหยุดลงข้างเตียงที่เฉินฮุ่ยเจินนอนอยู่
“ท่านหลับอยู่หรือไม่” เมื่อได้ยินเสียงของนาง เขาจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น “ข้าได้เสื้อผ้ามาแล้ว น่าจะพอดีกับตัวของท่าน ข้าจะวางไว้ตรงนี้ ท่านใส่เสื้อผ้าเองได้ใช่ไหม”
เขาพยักหน้าแทนการตอบรับ
“เช่นนั้น ข้าจะออกไปต้มยาให้ท่านสักครู่ มีอะไรก็เรียกข้าได้ตลอดเวลา”
ผ่านไปสองเค่อ* ไป๋ซูหนี่ว์ถืออาหารกับถ้วยยาเข้ามา แต่ทว่าเขาก็ยังไม่สามารถใส่เสื้อได้ คงใส่ได้แค่กางเกง ท่าทางงกๆ เงิ่นๆ จากการบาดเจ็บทำให้เขาไม่สามารถใส่เสื้อได้
แสงเทียนที่สาดส่องลงบนตัวเขาทำให้มองเห็นกล้ามเนื้อบนตัวเขาอย่างชัดเจน เรียกว่าไม่มีส่วนไหนไม่น่ามอง นั่นยิ่งทำให้ใจของไป๋ซูหนี่ว์เต้นระรัวอีกครั้ง นางรีบรวบรวมสติ
“ข้าจะใส่ยาและเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ท่านก่อน เดี๋ยวท่านค่อยใส่เสื้อก็ได้”
คำพูดของไป๋ซูหนี่ว์ทำให้เขาตกใจเล็กน้อย อีกครั้งที่เขาไม่สามารถปฏิเสธนางได้ คงทำได้แค่ทำตามอย่างว่าง่าย
ระหว่างที่ไป๋ซูหนี่ว์จัดการกับร่างกายของเขา ชายหนุ่มได้แอบลอบมองไป๋ซูหนี่ว์อยู่เงียบๆ
นางเกล้ามวยผมแบบง่ายๆ ไว้ผมหน้าม้าแบบเด็กสาวทั่วไป ใบหน้าขาวเนียนละเอียด หน้าเล็กเท่าฝ่ามือ แต่ท่าทางคล่องแคล่วในการทำแผลนั้นถือว่าเชี่ยวชาญนัก ไม่น่าเชื่อว่าเด็กสาวท่าทางธรรมดาจะมีฝีมือทางการแพทย์มากขนาดนี้
“เสร็จแล้ว ท่านกินข้าว กินยาและรีบพักผ่อนเถอะ”
“อืม ว่าแต่เจ้าไปได้เสื้อผ้าพวกนี้มาจากไหน แล้วเสื้อผ้าของข้าล่ะ”
“เสื้อผ้าพวกนี้ข้าเข้าเมืองไปซื้อมา ส่วนเสื้อผ้าของท่าน ข้าซักแล้วตากอยู่ด้านหลัง จริงสิข้าจะนอนอยู่ฝั่งนี้” พลางชี้นิ้วไปที่เก้าอี้นอนตัวยาว “ถ้าท่านมีอะไรก็เรียกข้าได้ตลอดเวลาไม่ต้องเกรงใจ”
“ข้าเข้าใจแล้ว” แม่นางน้อยผู้นี้ช่างขวัญเทียมฟ้าจริงๆ กล้านอนห้องเดียวกันกับบุรุษแปลกหน้าโดยไม่เกรงอันตรายใดๆ
ตกดึกบรรยากาศเงียบสงัด เงาร่างของใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นข้างๆ เตียงของเฉินฮุ่ยเจิน แต่ทว่าเขายังไม่ทันที่จะลงมือก็ถูกเข็มปักเข้าไปที่ต้นคอ ทำให้ตัวเขาไม่สามารถขยับตัวได้ชั่วคราว
“เจ้าเป็นใคร” เสียงของไป๋ซูหนี่ว์ทำให้เฉินฮุ่ยเจินรู้สึกตัว แสงเทียนในห้องค่อยๆ สว่างขึ้น ทำให้เขาเห็นใบหน้าชายที่ยืนอยู่ข้างเตียงชัดเจน
เฉินฮุ่ยเจินเอ่ย “เขาคือคนของข้าเอง ”
ลู่จิวลูกน้องคนสนิทของเฉินฮุ่ยเจิน เขาตามร่องรอยของเฉินฮุ่ยเจินมาจนถึงบ้านของไป๋ซูหนี่ว์ เมื่อคิดอยากจะขยับปากพูดแต่ไม่สามารถพูดได้ ไป๋ซูหนี่ว์จึงได้ดึงเข็มออกจากต้นคอเขา
ด้วยความที่เข้าใจผิดคิดว่าไป๋ซูหนี่ว์เป็นคนทำร้ายเฉินฮุ่ยเจิน เมื่อเข็มถูกดึงออกลู่จิวจึงหยิบกระบี่ไปจ่อที่คอของไป๋ซูหนี่ว์อย่างรวดเร็ว
ไป๋ซูหนี่ว์ตะลึงงัน
“นายท่านข้ามาช้าไป ทำให้ท่านบาดเจ็บแล้ว” แววตาของลู่จิวแผ่ไอสังหารออกมา “ข้าจะจัดการคนผู้นี้เสีย”
“ลู่จิวเจ้าหยุด แม่นางคือผู้มีพระคุณ”
เมื่อได้ยินดังนั้นกระบี่ในมือของลู่จิวจึงค่อยๆ คลายลง “ผู้มีพระคุณเช่นนั้นหรือ”
เฉินฮุ่ยเจินพยักหน้า จากนั้นจึงค่อยๆ เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้กับลู่จิวฟัง เมื่อเข้าใจทุกอย่างแล้วลู่จิวจึงได้เอ่ยปากขอโทษไป๋ซูหนี่ว์ แล้วแยกย้ายกันไปนอน
เช้าวันรุ่งขึ้นไป๋ซูหนี่ว์กลับไม่พบลู่จิวแล้ว ระหว่างที่นางทำแผลให้เขาจึงได้เอ่ยขึ้น
“คนของท่านไปไหนแล้ว”
“ข้าให้เขาเดินทางไปทำธุระให้ข้าแล้ว ระหว่างนี้คงต้องรบกวนแม่นาง” สองวันมานี้เฉินฮุ่ยเจินเพิ่งจะสังเกตุเห็นว่านัยน์ตาของนางนั้นแตกต่างจากคนทั่วไป ทำให้ใบหน้าของนางน่ามองขึ้นอีกหลายส่วน
ไป๋ซูหนี่ว์ไม่ได้ต้องการรู้มากกว่านี้จึงตอบออกไปสั้นๆ ว่าอืม
ปัง!ปัง!ปัง!
“อาหนี่ว์ อาหนี่ว์ เจ้าอยู่ข้างในหรือไม่” เสียงเคาะประตูอย่างบ้าคลั่งทำให้ไป๋ซูหนี่ว์ต้องรีบเดินมาเปิดประตู
“เจ้ากะจะเคาะให้ประตูบ้านข้าพังไปเลยหรืออาเซิน”
“ต่อให้พังข้าก็เป็นคนซ่อมให้เจ้าอยู่ดี” พูดไปพลางยกไหล่ไปมาอย่างอารมณ์ดี
ไป๋ซูหนี่ว์ได้แต่ส่ายหัวไปมา “ว่าแต่เจ้ามาแต่เช้ามีธุระอันใดหรือ”
“ท่านแม่ให้ข้าเอาบัวลอยต้มน้ำขิงมาให้ท่านอานะ พอดีไม่เห็นเจ้าอยู่ที่นั่น ท่านอาเลยบอกว่าเจ้าอยู่ที่นี่” พลางส่งกล่องไม้ให้นาง “นี่ของเจ้ารับไปสิ”
“ฝากขอบคุณท่านป้าแทนข้าด้วยนะ”
“อืม ว่าแต่เจ้าจะไม่ให้ข้าเข้าไปข้างในหน่อยหรือ ข้าเดินมาไกลรู้สึกคอแห้งนิดหน่อย ขอข้าเข้าไปดื่มน้ำหน่อยได้ไหม”
“ไม่ได้ ไม่ได้ น้ำที่บ้านข้าหมดแล้ว” ท่าทางของไป๋ซูหนี่ว์มีพิรุธ เจาซานเซินจึงผลักตัวนางออกแล้วพุ่งตัวเข้าไปในห้อง เมื่อเข้าไปก็พบชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา แต่ใบหน้านั้นซืดเผือดนั่งอยู่ที่เตียง
“อาหนี่ว์ นี่เขาไปเป็นใครกัน” เจาซานเซินมองหน้าชายหนุ่มผู้นั้นสลับกับไป๋ซูหนี่ว์ไปมา
เมื่อไม่สามารถปิดบังได้ นางจึงได้เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ให้เจาซานเซินฟังอย่างละเอียด
“แล้วท่านอาทั้งสองรู้เรื่องนี้หรือไม่”
ไป๋ซูหนี่ว์ยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมา
“ห๊า เจ้าทำบ้าอะไรของเจ้าเนี่ย อันตรายเกินไปแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร แถมยังถูกคนตามฆ่า แล้วพวกที่ตามฆ่าเขาจะไม่ทำร้ายเจ้าไปอีกคนหรือ ข้าว่าเจ้ารีบให้เขาไปจากที่นี่เสีย”
“ข้ารู้ว่ามันอันตราย แต่เจ้าดูสภาพเขาตอนนี้สิ แม้แต่แรงเดินยังไม่มีเลย ถ้าให้เขาจากไปตอนนี้ เจ้าคิดว่าเขาจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร ข้าอุตส่าห์เก็บชีวิตเขามาได้ ยังไงข้าก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุดแหละ”
เจาซานเซินได้แต่ส่ายหน้าไปมา
เฉินฮุ่ยเจินเห็นท่าทีกังวลใจของเจาซานเซินจึงได้เอ่ยขึ้น
“ข้ารับรองว่าในระหว่างที่ข้าอยู่ที่นี่แม่นางผู้นี้จะไม่เป็นอันตรายอย่างแน่นอน ท่านวางใจได้”
“ท่านเอาอะไรมามั่นใจ ตัวท่านในตอนนี้ยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้เลย”
เฉินฮุ่ยเจิน ..............
“พอแล้ว พอแล้วอาเซิน เจ้าก็ช่วยข้าเก็บเรื่องนี้เป็นความลับแล้วกัน ข้าไม่อยากให้ท่านพ่อท่านแม่เป็นกังวล”
แม้จะไม่เห็นด้วยกับความคิดของนาง แต่จำเป็นต้องตกปากรับคำนางอย่างหามิได้
ในระหว่างที่เฉินฮุ่ยเจินพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านของนาง นางก็ดูแลเขาเป็นอย่างดี ระหว่างนี้ก็เทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านของตัวเองและบ้านของบิดามารดาเพื่อไม่ให้ทั้งสองสงสัยในตัวนาง
ผ่านไปหนี่งเดือนบาดแผลของเฉินฮุ่ยเจินได้ดีขึ้นมาก เรียกว่าเกือบหายเป็นปกติ แต่ยังคงเหลือร่องรอยแผลเป็นกับความเจ็บปวดตรงแผลเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่ออาการบาดเจ็บดีขึ้นแล้ว ก็ถึงเวลาที่เฉินฮุ่ยเจินต้องเดินทางกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง แต่ก็แอบอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง เพราะตลอดเวลาหนี่งเดือนที่ถูกนางดูแลเอาใจใส่อย่างดี ทำให้เขารู้สึกผูกพันธ์กับนางพอสมควร หลังเก็บของเสร็จเช้านี้เขาจึงตั้งใจออกมารอนางอยู่ที่หน้าบ้าน
*ยามซวี คือ ช่วงเวลา 19.00 - 20.59 น.
*เค่อ เป็นหน่วยนับเวลาของจีนโบราณ หนึ่งเค่อประมาณ 15 นาที
