บทที่ 4.2 มากกว่าความลับ
หญิงสาวจึงออกเดินตามหาเป้าหมายของเธอต่อไป...และพบว่าห้องรับแขกอีกห้องที่มีแสงไฟสลัวเล็ดลอดออกมา ประตูของมันถูกแง้มอยู่ มัทนาจึงถือวิสาสะชะโงกหน้าเข้าไปดูเหมือนกับห้องแรก ทว่าห้องนี้กลับแตกต่างเพราะมันเงียบเชียบราวกับว่าไม่มีคนอยู่ที่นี่
หญิงสาวค่อย ๆ ก้าวเดินฝ่าความมืดเข้าไป ระหว่างที่กำลังเดินอย่างระมัดระวังเธอได้เหยียบเข้ากับกองเสื้อผ้าที่ถูกกองวางอยู่บนพื้น หญิงสาวนึกสงสัยเธอจึงได้เดินตรงเข้าไปด้านในอีก ทันใดนั้นเสียงประหลาดก็ดังหลอนขึ้นท่ามกลางความมืด
มัทนาเงี่ยงหูฟังเพื่อจับสำเนียง พลันเสียงครืดคราดของลมหายใจราวคนกำลังจะขาดใจก็ดังขึ้นอีก หญิงสาวกลอกตาไปมาอย่างสับสนท่ามกลางความมืดมิดของห้อง ระหว่างนั้นเสียงครางในลำคอก็ดังคลอไปกับบรรยากาศ ด้วยความประหลาดใจหญิงสาวจึงค่อยเอื้อมมือคลำไปบนกำแพงเพื่อหาสวิตช์ปรับแสงไฟที่เธอรู้อยู่ว่ามันควรจะอยู่ตรงมุมใดของห้อง
เมื่อหลอดเดย์ไลท์เริ่มทอแสงอ่อนทำให้นัยน์ตาสวยของหญิงสาวพอที่จะรับรู้ได้ว่าอะไรเป็นอะไร จึงทำให้เธอหุนหันออกจากห้องไปในทันที...
หญิงสาวถอดรองเท้าทิ้งแล้ววิ่งมาหยุดอยู่ใกล้กับห้องรับแขก เธอใช้มือปิดปากตัวเองแน่น เพราะริ้วน้ำตากำลังหลั่งไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย หากว่าเธอปล่อยมือที่ใช้ปิดปากตัวเองไว้เสียงสะอื้นจากหัวใจคงก้องไปทั่วทั้งบริเวณเป็นแน่
มัทนาใช้มือของเธอปาดน้ำตาที่อาบใบหน้าออกขณะที่ค่อย ๆ สงบสติอารมณ์ลง เธอกระพริบตาถี่ ๆ อยู่หลายต่อหลายครั้งแต่ก็ยังรู้สึกว่าดวงตาของเธอยังคงพร่ามัว หญิงสาวจึงเอื้อมมือไปฉวยเอากระดาษทิชชูจากบริเวณนั้นเพื่อเช็ดคราบน้ำตาภายใต้เลนส์แว่นแฟชั่นอันโต
“คุณมัท!!...นี่คุณก็มาด้วยเหรอเนี่ย! ? ” เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยทักดังมาจากข้างหลัง มัทนาเบี่ยงตัวหลบไม่หันไปตอบ เชิงปฏิเสธตัวตนของตนเองเป็นนัย แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะยังสงสัยจึงเดินมาปรากฏตัวต่อหน้าของเธอ
“คุณมัท คุณมัทจริง ๆ ด้วย” มัทนายกแว่นขึ้นใส่กลบเกลื่อนแววตาที่ช้ำไปด้วยน้ำตาเมื่อครู่ ริมฝีปากของเธอยกยิ้มเบาบางอย่างเป็นมิตร
“ค่ะ...” หญิงสาวตอบสั้น ๆ ด้วยคิดว่ามันจะจบลงโดยง่าย
“มานานแล้วซิครับเนี่ย...”สายตาของชายหนุ่มเหลือบมองต่ำลงกับพื้น
มัทนาพยักหน้าตอบเบา ๆ ไม่แปลกที่เขาจะคิดได้เช่นนั้นกับเธอ เพราะก็เห็นอยู่ว่าเธอไม่มีรองเท้าและดูเหมือนว่าเพิ่งจะเดินพ้นประตูบ้านออกมา แต่แท้ที่จริงแล้วมัทนาตั้งใจจะถอดมันทิ้งไว้ต่างหาก ทั้ง ๆ ที่มันเป็นรองเท้าคู่สวยคู่ที่เธอชอบที่สุด เพราะมันเป็นสิ่งของที่แอนดี้ซื้อมาให้เป็นของกำนัลในวันครบรอบคบหากันเมื่อปีที่แล้ว
และในเวลานี้มันก็จะยังเป็นสิ่งของที่ถูกใจเธอที่สุดอยู่ดี หากว่าก่อนหน้านี้ถ้าเธอไม่ได้เห็นภาพเริงรักท่ามกลางชายหนุ่มสามสี่คนของแอนดี้ภายใต้แสงไฟสลัว...
“ฉันขอตัวไปทางโน้นก่อนนะคะ” มัทนาหาทางปลีกตัวเองมาจากเพื่อนของแอนดี้ที่เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยเจอกันที่ไหน
แต่เอาเป็นว่าเขาจำเธอได้อย่างแม่นทีเดียวเลยก็เป็นอันพอ เพราะถึงขนาดที่เธอตั้งใจจำแลงแปลงตัวให้เป็นเหมือนหญิงสาวหลาย ๆ คนภายในงานแล้วเขาก็ยังจะจำเธอได้ แต่อาจเป็นไปได้ว่าเธอนุ่งน้อยห่มน้อยเลยเป็นจุดที่น่าสังเกตที่คนจะเห็นได้โดยง่าย
มัทนาเดินมาทางโน้นตามปากของเธอพูดบอก ทั้ง ๆ ที่เธอก็ไม่รู้ว่าทางโน้นที่ตัวเองพูดไปเรื่อยคือทางไหน และปลายทางของทางโน้นจะมีอะไร เธออยากจะกลับบ้านมากกว่า เธอไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป เธอไม่อยากเห็นหน้าแอนดี้แล้ว
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ต่อต้านกลุ่มไบเซ็คชวล แต่สิ่งที่เธอได้พบเจอนั้นเกินเส้นความคาดหวังที่เธอวาดไว้ไปมาก เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าลึก ๆ แล้วแอนดี้จะเป็นคนไม่ใฝ่ใจเรื่องเพศ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้รังเกียจแต่เธอก็ไม่ยินดีกับพฤติกรรมของเขา
มัทนาค่อย ๆ เดินห่างออกไปจากพื้นที่จัดงานอย่างไม่เหลียวหลังกลับมามอง ก่อนที่เธอจะขึ้นรถแล้วขับรถออกไปพร้อมกับน้ำตาที่ยังไหลรินอาบสองแก้มเป็นระยะ
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้รักแอนดี้ขนาดที่จะต้องตีอกชกหัวตัวเองได้ แต่การกระทำของเขาก็ทำให้คนที่มีจิตใจเข้มแข็งเช่นหินผาอย่างเธอรู้สึกสะเทือนอารมณ์ได้เช่นกัน
มัทนาครุ่นคิดไปพร้อมกับขับรถมุ่งหน้ากลับไปยังบ้านของเธอ เธอคิดว่าอยากหนีไปที่ไหนสักแห่งที่มองไปแล้วไม่มีแอนดี้อยู่ในพื้นที่ของความทรงจำ แต่ก่อนที่เธอจะทำอย่างนั้นคงต้องนึกถึงหนูหริ่งที่ยังเรียนหนังสืออยู่ เธอไม่รู้จะบอกเรื่องนี้กับหนูหริ่งอย่างไร จะอธิบายแบบไหนได้บ้าง เพราะขนาดเธอเอง ก็ยังไม่อาจอธิบายเรื่องที่พบเจอมาให้ตนเองได้เข้าใจเป็นอย่างดีได้เลย