บทที่ 3 ความทรุดโทรมของใต้เท้าผู้ตรวจการ
เรือนส่วนตัวของสีเทียนหยางแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ ด้านหน้าเป็นห้องทำงาน มีตั่งตัวยาวไว้สำหรับพักผ่อน ส่วนด้านในเป็นห้องนอน เป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ไม่ว่าใครก็เข้าไปไม่ได้
สีเทียนหยางอยู่ในห้องด้านหน้า ใบหน้าซีดเซียว เขาสวมเพียงชุดกลางสีขาวและเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มตัวหลวม ไม่ได้ผูกปม ผมเผ้าก็ไม่ได้มัด นั่งบนตั่งตัวยาว ท่าทางป่วยจริง
“คารวะใต้เท้าสี ข้าน้อยหลัวซูหนิงเจ้าค่ะ”
หลัวซูหนิงเมื่อเข้ามาถึงก็ทำความเคารพด้วยท่วงท่าแช่มช้อยดุจคุณหนูที่ถูกอบรมมาอย่างดี ตอนแรกนางไม่กล้ามองหน้าสีเทียนหยาง แต่ความอยากรู้อยากเห็น นางจึงช้อนสายตาขึ้นมอง พอมองได้แวบหนึ่ง นางก็ต้องรีบหลุบตาลง พลางบ่นบิดามารดาในใจยกใหญ่
คนคนนี้อย่างไรก็ไม่เหมาะสมกับนางที่ทั้งสาวและสวยจริงๆ นั่นแหละ อายุสามสิบกว่านับว่าแก่สำหรับนางแล้ว สภาพเขาตอนนี้ ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ปล่อยตัวเกินไปแล้ว ไม่... นางไม่แต่งงานกับเขาเด็ดขาด!
“เชิญคุณหนูหลัวนั่งก่อน”
สีเทียนหยางบอกด้วยเสียงแหบแห้ง ลอบมองอากัปกิริยาและสีหน้าของหลัวซูหนิง นางก็คือบุตรสาวที่หลัวเหิงภาคภูมิใจและต้องการจับคู่ให้เขา ถึงแม้อายุยังน้อย คาดเดาว่าสิบแปดปีเท่านั้น แต่ถือว่าหน้าตาดีไม่เบา ทว่าผู้หญิงสวยแล้วอย่างไรเล่า เหย่อหยิ่ง ดูถูกผู้อื่น นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชายอย่างเขาต้องการมาเป็นภรรยา
โดยเฉพาะผู้ชายอย่างสีเทียนหยาง ที่ครองตัวโสดจนอายุถึงสามสิบไม่ใช่เพราะเขาหาภรรยาไม่ได้ แต่เพราะเขายังไม่พบสตรีที่ทำให้เขาอย่างแต่งงานด้วย และหญิงสาวนางนั้น แน่นอนว่าต้องไม่ใช่อย่างหลัวซูหนิง
หลัวซูหนิง ตั้งแต่นางเดินเข้ามา สีหน้าและแววตานั้นแสดงออกถึงความรังเกียจ คงคิดว่าเขาแก่ไป ไม่เหมาะสมกับนางกระมัง ฉะนั้น เขาควรมองข้ามนางได้เลย
หลัวเหิงต้องการขายบุตรสาวให้เขามากขนาดนั้นเชียว? ไม่ถามความเห็นของบุตรสาว แย่มากจริงๆ
สีเทียนหยางไล่ตามองทางอื่น ดวงตาสะดุดเข้ากับร่างในชุดกระโปรงสีเขียวอ่อน เพียงแวบแรกก็ทำให้เขารู้สึกคุ้นตาอย่างยิ่ง ทว่านางเอาแต่ก้มหน้า เขาจึงไม่รู้แน่ชัดว่านางหน้าตาอย่างไร จะใช่ผู้หญิงที่ช่วยเขาเมื่อคืนไหม แต่ว่าก็ว่าเถอะ นางแต่งตัวไม่เหมือนสาวใช้และไม่เหมือนคุณหนู นางมีฐานะอะไรในบ้านสกุลหลัว?
“ใต้เท้าเจ้าคะ...”
ในที่สุด หลัวซูหนิงก็เอ่ยขึ้น ดึงความคิดของสีเทียนหยางกลับมา
“มีอะไรหรือ แม่นางหลัว”
“ท่านพ่อของข้าน้อยให้นำของขวัญมามอบให้ใต้เท้า ถ้าอย่างไรเชิญใต้เท้ารับไว้ด้วยนะเจ้าคะ”
สีเทียนหยางยิ้มบอก “คุณหนูหลัวนำของขวัญกลับไปเถิด ข้าสีเทียนหยางไม่รับของใครโดยไร้เหตุผล โดยเฉพาะสินบน”
“แต่ว่าใต้เท้า...” หลัวซูหนิงเห็นว่าแผนการของบิดามารดาไม่สำเร็จ นางก็แทบนั่งไม่ติดเก้าอี้ เงยหน้ามองสีเทียนหยางอย่างลืมตัว แต่พอเห็นสภาพโทรมๆ ของเขาแล้ว นางก็รีบก้มหน้าลงแทบไม่ทัน “นี่คือของขวัญแทนคำขอโทษ ที่บ้านสกุลหลัวต้อนรับใต้เท้าไม่ดี ใต้เท้าอย่าคิดว่าเป็นอย่างอื่นสิเจ้าคะ”
เห็นท่าทางรังเกียจของคุณหนูหลัวแล้ว สีเทียนหยางไม่เพียงไม่โกรธ แต่กลับพึงพอใจอย่างยิ่ง
“ก่อนรับตำแหน่งผู้ตรวจการ ข้าปฏิญาณต่อพระพักตร์ฮ่องเต้แล้ว ไม่เป็นขุนนางทุจริต ไม่รับสินบน และซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน คำไหนคำนั้น” เขาบอกด้วยท่าทางไม่อินังขังขอบ แต่น้ำเสียงมั่นคงจริงจัง
“ใต้เท้าสี...”
“คุณหนูหลัวไม่ต้องพูดแล้วละ ข้าก็เป็นเช่นนี้ ดื้อรั้นเกินกว่าใครจะเข้าใจ จะรับของต้องมีเหตุผล ในเมื่อไม่มีเหตุผลให้รับ ข้าก็จะไม่รับ”
พูดแล้ว ดวงตาของสีเทียนหยางเลื่อนไปตกอยู่ที่ร่างบางชุดเขียวอ่อนที่ยืนข้างๆ หลัวซูหนิง คล้ายว่าร่างนั้นมีแรงดึงดูดให้เขาสนใจกว่าความสวยของคุณหนูหลัว มือทั้งสองข้างของนางสั่นเทา แต่กำกระโปรงแน่น คล้ายกำลังฝืนทนกับอะไรบางอย่าง
นางเป็นอะไรกันนะ...
“แค่กๆ” จู่ๆ สีเทียนหยางก็ไอดุจคนป่วย “วันนี้ข้าไม่ค่อยสบาย คุณหนูหลัวนำของขวัญกลับไปเถิด”
“แต่ว่า...” หลัวซูหนิงไม่เคยเสียหน้ามาก่อน อย่างน้อยไม่มีผู้ชายคนไหนกล้าปฏิเสธนาง หรือของกำนัลจากบ้านสกุลหลัวไม่ดีพอ
“กลับ... กลับกันเถอะเจ้าค่ะ” หลัวเหมยที่ยืนฟังมาตลอดเข้าใจว่าใต้เท้าผู้ตรวจการท่านนี้ไม่สามารถเอาใจได้โดยง่าย นางจึงแย้งคำพูดของพี่สาว
ปกติแล้วหลัวซูหนิงหาใช่เชื่อคำพูดของหลัวเหมยง่ายๆ แต่เวลานี้ นางจำต้องเชิดหน้าลุกขึ้นยืน พูดกับใต้เท้าผู้ตรวจการด้วยท่าทีเหย่อหยิ่ง
“เช่นนั้น... ใต้เท้าสี ข้าน้อยหลัวซูหนิงขอลาเจ้าค่ะ”
ระหว่างพูด หลัวซูหนิงไม่กล้ามองใบหน้าของสีเทียนหยางแม้แต่น้อย แต่เดินตามบ่าวชายออกไป และให้หลัวเหมยเดินรั้งท้าย
หลัวเหมยเมื่อเห็นพี่สาวยอมออกจากเรือนของใต้เท้าผู้ตรวจการแต่โดยดี นางกลับไม่นึกโล่งใจ แม้ตลอดเวลาเขาไม่ได้มองนาง แต่ทำไมนางถึงรู้สึกว่าดวงตาของเขาจับจ้องติดตามหลังนางอยู่ตลอด จนนางครั่นคร้ามไปทั้งตัว
เพิ่งคิด ข้อแขนของนางก็แน่นตึง นางหันไปมองตามสัญชาตญาณ พบว่ามีมือใหญ่จับกุมข้อแขนนางอยู่ ด้วยความสงสัย นางไล่สายตามองไปเรื่อยๆ ใบหน้าที่ปรากฏตรงหน้าคือ... ใต้เท้าผู้ตรวจการ!
“เจ้าชื่ออะไร” เขาไม่สนใจว่านางกำลังตกใจ แต่เอ่ยถามหน้านิ่ง
หลัวเหมยอ้าปากกว้าง พูดอะไรไม่ออก
เมื่อคืนตอนช่วยเขาหลบหนีออกจากบ้านสกุลหลัว นางมองหน้าเขาได้ไม่ชัด แต่ยามนี้ ใต้เท้าผู้ตรวจการยืนอยู่ใกล้นางมาก ไม่เพียงเขาไม่ได้แก่โทรมอย่างที่ใครต่อใครคิด แต่ใบหน้าในกรอบที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงยังหล่อเหลาเอามากๆ คิ้วเข้ม ดวงตาคม ริมฝีปากหยักได้รูป...
“เหม่ออะไรกันเล่า” เขาถามอีกครั้ง “เจ้าชื่ออะไร”
นางดึงสติกลับ แล้วส่ายหน้า บอกด้วยความหวาดกลัว
“ปะ เปล่าเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้เหม่ออะไรเจ้าค่ะ ใต้เท้า... ปล่อยมือด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
สีเทียนหยางมีหรือจะทำตามคำพูดของหญิงสาวคนหนึ่ง เขาสะบัดแขนเสื้อ และใช้หลังมืออีกข้างลูบแก้มของนาง ก่อนจะไล่ลงมาที่ปกคอเสื้อ ตั้งใจใช้หลังมือเปิดดูร่องรอยบางอย่างเพื่อให้แน่ใจ ระหว่างนั้น เขาก็พูดขึ้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจนาง
“หน้าของเจ้าคุ้นเหลือเกิน เราเคยเจอกันหรือไม่”
นางสั่นศีรษะแรงๆ เพื่อยืนยันว่าตนไม่เคยพบเขามาก่อน แต่ทว่า สีหน้าของนางกลับแสดงออกถึงอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นั่นเพราะนางไม่เคยโกหกใครมาก่อน โดยเฉพาะผู้มีอิทธิพลอย่างใต้เท้าผู้ตรวจการ
ถึงกระนั้น จะให้นางบอกได้อย่างไรว่าเมื่อคืน... เมื่อคืนเขาได้ครอบครองเรือนร่างของนางแล้ว หากพูดเช่นนั้นนางต้องถูกข้อหาแอบอ้างความสัมพันธ์แน่!
“เหมยเอ๋อร์ เจ้าทำอะไรอยู่ ทำไมไม่ตามข้าออก... ใต้เท้า?”
หลัวซูหนิงที่เดินออกจากเรือนไปได้ระยะทางหนึ่ง แต่กลับไม่เห็นว่าหลัวเหมยคนโง่เดินตามหลังจึงย้อนกลับมาดู ภาพที่เห็น ทำให้นางตกใจอย่างยิ่ง
ใต้เท้าสีนอกจากจะแก่โทรมคราวบุพการีแล้ว ยังชื่นชอบเด็กสาวอีกด้วยหรือ วิปลาสหรืออย่างไร น่ากลัวเหลือเกิน!
หลัวซูหนิงมองภาพนั้นด้วยความตระหนก ขยะแขยง แต่แล้วความคิดหนึ่งกลับวาบเข้ามาในหัว โดยหวังจะใช้เรื่องนี้มากอบโกยผลประโยชน์ให้ตัวเอง!