บทที่ 2 ช่วยเหลือหรือรับเคราะห์
ถึงสกุลหลัวเลี้ยงดูหลัวเหมยเหมือนเลี้ยงดูสาวใช้คนหนึ่ง แต่มารดาของนางเป็นคุณหนูตระกูลวาณิชมีชื่อในเมืองเฉาหลัวทางใต้ แม้ว่าตอนนี้ ตระกูลของมารดาไม่ได้โดดเด่นเหมือนเมื่อก่อนแล้วก็ตาม ทว่าก่อนที่มารดาจะเสีย นางได้สั่งสอนความเป็นกุลสตรี กิริยามารยาทให้หลัวเหมยไม่น้อย
หลัวเหมยตั้งแต่ออกมาจากห้องโถง นางก็จัดเตรียมของ และช่วยหลัวซูหนิงประทินโฉมแต่งตัวจนงดงามสะดุดตาเป็นที่สุด
หลัวซูหนิงลูบผมตัวเอง มองคันฉ่องพลางว่า “เจ้าคิดว่าหากคุณชายจางเห็นข้าในตอนนี้ เขาจะส่งแม่สื่อมาสู่ขอข้าทันทีไหม”
“พี่ใหญ่สวยมาก คุณชายจางแน่นอนว่าต้องชอบพี่ใหญ่อยู่แล้ว” หลัวเหมยเอ่ยชมจากใจจริง
“เหมยเอ๋อร์ เจ้านี่ปากหวานนัก” หลัวซูหนิงยืดอก ภูมิใจในความสวยของตน แต่พอนึกถึงบางเรื่องได้ นางจึงเอ่ยถาม “อ้อ ว่าแต่ หลังจากเจ้าพาใต้เท้าสีไปส่งที่ว่าการแล้ว เจ้าไปที่ไหนอีกหรือ ทำไมกลับมาตอนใกล้เช้า”
พูดไปแล้ว หลัวซูหนิงก็อดสงสัยไม่ได้ เพราะเกิดความร้อนใจจนนอนไม่หลับ คิดว่าจะให้หลัวเหมยช่วยเรื่องของสีเทียนหยาง จึงได้เดินไปห้องของนาง แต่แล้วกลับเห็นหลัวเหมยวิ่งออกจากห้องด้วยลักษณะหลบๆ ซ่อนๆ สุดท้ายจึงรู้ว่าหลัวเหมยพาใต้เท้าสีหลบหนีออกจากบ้านตระกูลหลัวไป ถึงเป็นเรื่องดี หากก็รู้สึกว่าน่าสงสัย
“ไม่ได้ไปไหนเจ้าค่ะ เพียงแต่ท่านพ่อสั่งบ่าวให้ปิดประตูหน้าหลัง ข้าเลยเข้าบ้านไม่ได้ ได้แต่รออยู่ข้างนอก กระทั่งประตูเปิดตอนฟ้าสาง ข้าถึงเข้าบ้านได้” หลัวเหมตอบ ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าราบเรียบ เหมือนว่าสิ่งที่นางเผชิญเมื่อคืนเป็นเรื่องธรรมดา
“สมน้ำหน้าเจ้าแล้ว แต่ก็... ขอบใจเจ้ามาก”
แม้รู้ว่าหลัวเหมยต้องนอนนอกบ้าน แต่หลัวซูหนิงไม่มีแววเห็นใจหลัวเหมยสักนิด ถึงสาเหตุนั้นจะเป็นเพราะหลัวเหมยช่วยเหลือนางก็ตาม ยิ่งน้องสาวต่างมารดาคนนี้ได้รับความลำบากมากเท่าไร นางยิ่งรู้สึกยินดีมากเท่านั้น
หลัวเหมยยืนก้มหน้า
ตอนนั้นเอง สาวใช้ประจำตัวหลัวซูหนิงเดินเข้ามารายงาน
“คุณหนูใหญ่เจ้าขา รถม้าเตรียมเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
“ดี ไปกันเถอะ” หลัวซูหนิงบอก จากนั้นลุกขึ้นเดินนำหน้าหลัวเหมยและสาวใช้ ระหว่างเดินไปขึ้นรถม้า นางกระซิบบอกหลัวเหมยเบาๆ “ยังไงมอบของขวัญเสร็จแล้ว รีบออกมาเลยนะ ข้าจะไปตลาดฝั่งถนนใกล้บ้านคุณชายจางต่อ”
หลัวเหมยพยักหน้าตอบอย่างเชื่อฟัง
“เจ้าค่ะ”
เมื่อรถม้ามาถึงหน้าประตูจวนสกุลสี บ่าวชายที่ทำงานแถวหน้าประตูจวนวิ่งออกมา ก่อนเอ่ยถาม
“คุณหนู พวกท่านมาหาใครหรือขอรับ”
หลัวเหมยถึงแม้ไม่เต็มใจ แต่นางก็ก้าวเดินลงจากรถด้วยความรู้งาน
“พี่ชายท่านนี้ พวกเรามาจากบ้านสกุลหลัว จะขอพบใต้เท้าสี ไม่ทราบว่าใต้เท้าสีอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
บ่าวชายร้องขึ้น “อ้อ ใต้เท้าป่วย สงสัยคุณหนูต้องมาวันอื่นแล้วขอรับ”
พอได้ยินว่าสีเทียนหยางป่วย ในอกของหลัวเหมยมีความรู้สึกโล่งใจอยู่บ้าง ไม่รู้เป็นเพราะอะไร นางถึงโล่งใจที่ไม่ต้องพบหน้าเขา
“ขอบคุณพี่ชายมาก พวกเราขอตัว...”
หลัวเหมยยังพูดไม่ทันจบ เสียงแหวของหลัวซูหนิงดังขึ้นจากในรถม้า
“เหมยเอ๋อร์ จะไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้นะ ข้าไม่อยากมาที่นี่อีกรอบ นี่เจ้าคนใช้ เจ้าไปบอกใต้เท้าว่าหลัวซูหนิง คุณหนูใหญ่จากบ้านสกุลหลัวมาเยี่ยมไข้ใต้เท้าก็ได้นี่ ไป รีบไปบอกใต้เท้าเดี๋ยวนี้”
“พี่ใหญ่... แต่ใต้เท้าป่วยอยู่นะเจ้าคะ”
“เหมยเอ๋อร์ เจ้าไม่ฉลาดแล้วยังซื่อบื่ออีก นั่นคือข้ออ้าง ใต้เท้าต้องการหลบหน้าคนสกุลหลัวต่างหาก” หลัวซูหนิงเข้าใจเช่นนั้น เพราะเมื่อคืนบิดาของนางทำอะไรกับสีเทียนหยางบ้าง นางย่อมรู้ดี
บ่าวชายเห็นว่าเจ้าของรถม้าตัวจริงไม่ยอมไปหากว่ายังไม่ได้พบใต้เท้า เขาจึงเอ่ยขึ้น “ขอรับ เช่นนั้นข้าน้อยจะเข้าไปเรียนใต้เท้าว่าคุณหนูหลัวมารอพบ”
หลัวซูหนิงหลังจากต่อว่าหลัวเหมยจนบ่าวชายต้องยอมเข้าไปรายงานสีเทียนหยาง นางก็เอนหลังอยู่ในรถม้า ส่วนหลัวเหมยเดินกลับไปกลับมา ภาวนาขออย่าให้ใต้เท้าเรียกพวกนางเข้าพบเลย แต่ทว่า คำภาวนาในใจของนางไม่บังเกิดผล
ตอนบ่าวชายเดินออกมา เขามองหลัวเหมยชั่วครู่ จากนั้นหันไปรายงานคนที่อยู่ในรถม้าว่า “คุณหนูหลัว ใต้เท้าให้พวกท่านเข้าพบขอรับ”
หลัวซูหนิงเดินลงจากรถม้าด้วยท่วงท่าสูงส่งและเหย่อหยิ่ง นางปรายตามองบ่าวชายก่อนบอกด้วยเสียงเย็นชาว่า “ก็แค่นี้แหละ”
บ่าวรับใช้จวนสกุลสียิ้มแหยตอบ “ขอรับ”
เมื่อเห็นว่าบ่าวชายของจวนสกุลสีไม่เดินนำทางเสียที หลัวเหมยจึงเดินเข้าไปบอก
“ต้องรบกวนพี่ชายแล้วนะเจ้าคะ เชิญพี่ชายนำทางเถิด”
“อ้อ ข้าลืมไป เชิญคุณหนูหลัว เชิญแม่นาง”
ระหว่างเดินทางเข้าไปในเรือนของสีเทียนหยาง บ่าวชายเอี้ยวหลังกลับมามองบ่อยๆ ดูว่าคุณหนูแสนเหย่อหยิ่งคนนั้นสนใจตนหรือไม่ เมื่อเห็นว่าหลัวซูหนิงมองสวนข้างทางอย่างสนอกสนใจ เขาก็มองสาวใช้ที่ตามมาด้วยอีกคน ฝ่ายนั้นท่าทางโง่งม เขาจึงหันมามองหลัวเหมยที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นตัดสินใจพูดกับนาง
“แม่นาง ข้ามีอะไรจะบอก ที่ใต้เท้าอยากพบไม่ใช่คุณหนูหลัวหรอก แต่ใต้เท้าอยากรู้ว่าใครที่เป็นคนช่วยใต้เท้าไว้เมื่อคืนต่างหาก ดูๆ ไปแล้ว ข้าเดาว่าแม่นางต้องเป็นผู้มีพระคุณของใต้เท้าแน่ๆ เพราะเจ้าดูเป็นคนดีและฉลาด อะแฮ่ม ข้าพูดมากไปแล้ว อ้อ ถึงเรือนของใต้เท้าพอดี”
หลัวเหมยทำสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นก็ก้มหน้างุด
แย่แน่แล้ว หากว่าสีเทียนหยางจำนางได้ นางจะทำอย่างไรดีล่ะ ทว่า อีกใจนางกลับลังเล ไม่หรอก เขาอาจจำนางไม่ได้ เมื่อคืนนางพาเขาเดินอยู่ในความมืด แม้แต่ตอนนั้น... พวกเราก็ยังอยู่ในที่มืด เขาไม่มีทางมองเห็นหน้านางได้อย่างชัดเจนหรอก
หลัวเหมยทั้งหวาดกลัวและรู้สึกแปลกๆ ในเวลาเดียวกัน แต่เหนืออื่นใด พอคิดถึงเรื่องเมื่อคืน นางก็ลืมไปว่าตั้งแต่นางถูกหลัวซูหนิงลากลงจากเตียง นางต้องกัดฟันทนฝืนร่างกายมาตลอด นางพยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติ ทั้งที่จริงนางปวดระบมตั้งแต่เอวไปจนถึงน่องขาแทบแย่
การช่วยใต้เท้าสีเหมือนดาบสองคม
เพื่อช่วยเขา ไม่คิดเลยว่านางต้องมารับเคราะห์แทน!