บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 หลัวเหมย บุตรสาวของอนุ

ยามเช้าอากาศแจ่มใส ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แต่บ้านสกุลหลัวกลับยินเสียงเอะอะโวยวาย

ในโถงใหญ่ หญิงสาวในชุดสีเขียวอ่อนนั่งบนพื้น หลังจากถูกหลัวฮูหยินทุบตีไปแล้วหลายครั้ง และถูกเจ้าบ้านอย่างหลัวเหิงด่าทอไปแล้วอีกหลายรอบ ไม่เพียงเท่านั้น ตั้งแต่เช้า นางยังถูกหลัวซูหนิง พี่สาวต่างมารดาเข้ามาในห้อง ลากลงจากเตียงอย่างไร้ปรานีปราศรัย

กระนั้น นางกลับไม่มีน้ำตาสักหยด มีเพียงสีหน้ารู้สึกผิด

จะบอกว่านางทนเจ็บทนเสียงด่านั้นก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว แต่เพราะที่ผ่านมานางเจอเหตุการณ์เช่นนี้จนชินชาเสียแล้ว และไม่รู้ว่าตนจะร้องโวยวายไปเพื่ออะไร ในเมื่อทุกคนในบ้านสกุลหลัวไม่มีใครปกป้องนางเลย

“เหมยเอ๋อร์ เจ้ารู้ไหมว่าข้าวางแผนเช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว แต่เจ้ากลับกล้า!” หลัวเหิงผู้เป็นเจ้าบ้าน ตวาดใส่หญิงสาวบนพื้น

“พี่ใหญ่...”

หญิงชุดเขียวอ่อนที่นั่งบนพื้นและกำลังถูกประณามมีนามว่า ‘หลัวเหมย’ เป็นน้องสาวต่างมารดาของหลัวซูหนิง เมื่อนางเงยหน้าเรียกพี่สาว อีกฝ่ายกลับสะบัดหน้าหนี ไม่สนใจคำพูดของนาง ทว่านางก็ยังพูดต่อ

“ท่านอยากแต่งกับใต้เท้าสีจริงๆ หรือ แต่ครั้งนี้ข้าช่วยท่านนะ”

หลัวซูหนิงหันมาถลึงตาใส่หลัวเหมย แน่นอนว่า นางไม่ได้อยากแต่งงานกับคนแก่อย่างใต้เท้าสีเทียนหยาง นางกับเขาห่างกันหลายปีเชียวละ นางอายุสิบแปด แต่ฝ่ายนั้นอายุสามสิบกว่าๆ หากว่านางแต่งงานกับเขาไปแล้ว นางไม่ต้องเคารพและเชื่อฟังเขาเหมือนพ่ออีกคนหรอกหรือ ไม่เอาหรอกนะ สามีแก่จะเอามาอะไรได้!

อันที่จริง หลัวซูหนิงชอบลูกชายคหบดีบ้านสกุลจาง ซึ่งมีอายุไล่เลี่ยกับนางมากกว่า แต่กระนั้น นางก็บอกบิดามารดาตรงๆ ไม่ได้

“เหลวไหล!” หลัวซูหนิงตะคอกใส่น้องสาวต่างมารดา ให้ยอมรับโง่ๆ แล้วโดนบิดาลงโทษ เรื่องแบบนั้นนางไม่เอาด้วยหรอก

หลัวฮูหยินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนตัวสั่น ไม่เพียงหลัวเหมยกล้าช่วยคน นางยังกล้าใส่ร้ายบุตรสาวของตนอีกหรือ

ด้วยความโกรธ หลัวฮูหยินหยิกตามร่างของหลัวเหมยพลางตะโกนด่าไปด้วย

“นังเด็กคนนี้ การช่วยของเจ้าคือช่วยให้ลูกข้ามีมลทินล่ะสิไม่ว่า ข้าจะหยิกเจ้าให้ตายไปเลย นังตัวดี นังเด็กไม่มีแม่!”

คำด่าใดไม่เจ็บปวดเท่ากับคำต่อว่าว่านางไม่มีแม่

หลัวเหมยขอบตาแดงก่ำ คล้ายกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่

“เอาละๆ ฮูหยินพอเถอะ” หลัวเหิงในที่สุดก็ห้ามปราม “หากนางเป็นอะไรขึ้นมา ชาวบ้านต้องหาว่าข้าใจร้ายกับลูกอนุ แล้วข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

หลัวฮูหยินกำหมัดแล้วก้าวถอยออกมา สะบัดหน้าแรงๆ ใส่หลัวเหมยหนึ่งรอบ

“ข้าไม่ตีนางแล้วก็ได้ แต่นางต้องไม่ทำข้าโกรธอีก ห้ามพูดจาเหลวไหล ห้ามใส่ร้ายซูหนิงด้วย”

“เหมยเอ๋อร์?” หลัวเหิงเอ่ยชื่อของบุตรสาวคนเล็กเพื่อเตือนให้นางขอโทษ

หลายปีมานี้ หลัวเหิงเลี่ยงไม่เคยเรียกหลัวเหมยเต็มๆ เหมือนเป็นการบอกกลายๆ ว่าเขาไม่ยอมรับนางเป็นลูก แต่ให้นางอยู่ในฐานะสาวใช้ ติดตามหลัวซูหนิง บุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอก

หลัวเหมยรู้ดีว่านางควรทำอะไรไม่ควรทำอะไร นางจึงก้มศีรษะให้กับหลัวฮูหยินพร้อมกล่าว

“ฮูหยินใหญ่ เหมยเอ๋อร์ขออภัยเจ้าค่ะ”

“ชิ!” หลัวฮูหยินสะบัดหน้าหนี

“เอาละ เรื่องของเหมยเอ๋อร์จบแค่นี้ก็พอ คราวนี้มาคิดเรื่องของใต้เท้าสีก่อนดีกว่า เรื่องนี้สำคัญที่สุด” หลัวเหิงว่า ก่อนจะยกมือขึ้นกุมขมับ

หลัวฮูหยินร้อนรนบอก “จะทำยังไงดีล่ะท่านพี่ เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว นังเด็กนี่พาใต้เท้าสีหนีออกไปก่อนที่แผนของเราจะเริ่มต้นขึ้น หลังจากนี้ก็มีแต่ต้องรอรับโทษจากใต้เท้าแล้ว ท่านพี่ หากจะมีใครรับโทษก็ไม่ควรเป็นพวกเราสามคนพ่อแม่ลูก”

ความหมายของหลัวฮูหยินก็คือ คนที่ต้องรับโทษควรเป็นหลัวเหมย!

หลัวเหิงหน้าเครียด “นี่ไงที่ข้าเรียกพวกเจ้ามา ก็เพื่อปรึกษากันว่าควรทำอย่างไรต่อ”

“ส่งของขวัญไปให้ใต้เท้าสีดีหรือไม่” หลัวฮูหยินแนะนำด้วยตาเหมือนมีแผนการบางอย่าง

“ใต้เท้าสีไม่ใช่คนเห็นแก่เงิน”

“แต่หากเป็นของขวัญที่มีซูหนิง ลูกสาวของเราถือไปให้ ท่านพี่เห็นว่าเป็นอย่างไร ข้าไม่เชื่อหรอกว่าใต้เท้าได้เห็นความงดงามของซูหนิงแล้วจะไม่ชอบนาง” หลัวฮูหยินอธิบายด้วยแผนร้าย

ดวงตาของหลัวเหิงเปล่งประกายเหมือนมีความหวัง “จริงสิ แผนนี้ข้าเห็นดีด้วย” พูดแล้วเขาก็มองบุตรสาวคนโต

ด้วยการประคบประหงม นับวันนางยิ่งงดงามผุดผาด สีเทียนหยางอย่างไรก็เป็นบุรุษ บุรุษล้วนชมชอบหญิงงาม เขาเองก็ไม่เชื่อหรอกว่าเมื่อฝ่ายนั้นเห็นบุตรสาวของเขาแล้วจะยังกล้าปฏิเสธ

หลัวซูหนิงร้อนรนยิ่งกว่าใคร เพราะคนที่นางไม่ต้องการแต่งงานด้วยก็คือใต้เท้าสีคนนั้น

“ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่ไป ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านใช้แผนอื่นก็ได้นี่เจ้าคะ”

“ซูหนิง เจ้าช่วยไปที่จวนใต้เท้าสี ไปขอโทษใต้เท้าแทนพ่อหน่อยเถอะนะ” หลัวเหิงไม่ฟังคำคัดค้านของบุตรสาว แต่พูดเกลี่ยกล่อมแทน “อีกอย่าง หากเจ้าได้พบใต้เท้าสีแล้ว เจ้าจะรู้ว่าเขาดูไม่แก่เลยสักนิด”

“ไม่เจ้าค่ะ” หลัวซูหนิงตะบึงตะบอน “ดูไม่แก่ก็คือแก่ ท่านพ่อคิดจะหลอกข้าหรือไงเจ้าคะ”

หลัวเหิงยกมือขึ้นลูบขมับ ก่อนจะลดมือลงและเกลี่ยกล่อมต่อไป

“เอาอย่างนี้ หากเจ้าอยากได้เครื่องประดับชุดใหม่ พ่อจะซื้อให้ทุกอย่าง แค่เจ้าถือของขวัญไปให้ใต้เท้าสีสักครั้ง ให้เขาได้เห็นความงดงามของเจ้าก็พอ ที่เหลือข้าจะจัดการเอง”

หลัวซูหนิงคิดว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน พบแค่ครั้งเดียว นางไม่น่าจะเสียหายอันใด แต่ทว่า...

“ข้ารับปากท่านพ่อก็ได้เจ้าค่ะ แต่ว่าข้าไม่ถือของไปเองหรอกนะ” หลัวซูหนิงพูดจาวางโต

“ได้สิ” หลัวเหิงตอนพูดกับบุตรสาวคนโต เขายังยิ้มแย้มและทำเสียงอ่อน แต่พอหันมาพูดกับบุตรสาวคนเล็ก น้ำเสียงและสีหน้ากลับตรงกันข้าม “เหมยเอ๋อร์ ติดตามพี่ของเจ้าไป คอยถือของให้นาง อย่าให้นางต้องลำบาก”

หลัวเหมยคิดอยู่แล้วว่าหน้าที่นั้นต้องเป็นของตน นางจึงตอบรับแต่โดยดี

“เจ้าค่ะ”

หลัวเหิงโบกมือด้วยความหงุดหงิด

“ไป ออกไปได้แล้ว ข้าเห็นหน้าโง่ๆ ของเจ้าแล้วหงุดหงิดยิ่งนัก”

ด้วยเหตุนั้น หลัวเหมยจึงเดินออกจากห้องโถง ฝีเท้าแต่ละย่างก้าวแผ่วเบา กิริยามารยาทของนางเรียบร้อยกว่าหลัวซูหนิงมากนัก บรรดาบ่าวในบ้านต่างเอ่ยชม ถึงแม้ไม่ได้พูดหรือแสดงออกอย่างนอกหน้า แต่ลับหลังต่างเห็นว่าหลัวเหมยนั้นกิริยาเข้าตาอยู่บ้าง และนี่จึงเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้หลัวฮูหยินและหลัวเหิงไม่พอใจ ปล่อยให้หลัวซูหนิงโขกสับใช้นางสารพัดไม่ต่างจากบ่าวไพร่คนหนึ่ง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel