บทที่๓│พบพาน (๒)
“เดินระวังหน่อย”
คีรีพยักหน้าขึ้นลงอย่างเชื่องช้า รับคำเสียงอ่อย “ครับ ขอโทษครับ” แล้วจึงค่อยๆ ดันตัวออกจากวงแขนเพื่อมายืนให้เรียบร้อย อีกฝ่ายก็ปล่อยมือออกจากเอวจนเขาเป็นอิสระ จึงได้เห็นว่าเนื้อตัวของคนตัวสูงเลอะไปด้วยดินโคลนจากตัวเขา
ชายหนุ่มต่างถิ่นรีบค้อมศีรษะให้ “ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณเปื้อน”
“ไม่เป็นไร เปื้อนก็อาบน้ำได้” แม้คำพูดจะดูใจดีแต่ใบหน้าไม่เปื้อนรอยยิ้มสักเพียงนิด แม้แต่แววตาคมเข้มยังไร้ความเป็นมิตร “แล้วทำไมถึงวิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาในนี้ได้”
คำถามแกมตำหนิทำให้คีรีเอ่ยคำขอโทษไปอีกครั้ง ก่อนจะเปิดปากอธิบาย “ผมยืนรอน้องแสนอยู่ข้างล่างครับ ตอนแรกก็ไม่มีอะไรแต่จู่ๆ ดันมีเงาตะคุ่มอยู่ตรงแนวไม้ข้างบ้าน ผมไม่ได้ตาฝาดนะครับคุณ แต่ที่ผมเห็นไม่ใช่ต้นไม้แน่ๆ เป็นคนครับ ผมหมายถึงว่ามันอาจจะไม่ใช่คนก็ได้ผมถึงได้รีบวิ่งขึ้นมา ขอโทษจริงๆ ครับแต่ผมกลัวผี”
จบประโยคอธิบายยาวเหยียดก็มีเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นจากด้านหลัง
“ไม่ใช่ผี”
ด้วยความตกใจ คีรีสะดุ้งโหยงพร้อมขยับกายเข้าไปประชิดตัวร่างสูงที่เปลือยท่อนบนอีกครั้ง ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวสวมเพียงกางเกงขาก๊วยสีดำตัวเดียวเท่านั้น
วงแขนแข็งแรงโอบรอบเอวคอดเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะเสียหลัก ก่อนสายตาคมเข้มจะตวัดไปทางคนมาใหม่ “ได้มาไหม”
“ได้ครับ”
“อืม ไปจัดการให้เรียบร้อย”
แล้วมรุตซึ่งเป็นศิษย์เอกของพัลลภก็เดินไปทางห้องครัวพร้อม ‘กบ’ จำนวนสองตัว ทิ้งให้คีรีมองตามจนแผ่นหลังนั้นถูกกลืนไปกับพุ่มพิกุล ถึงได้หันกลับมาทางเจ้าของร่างสมส่วน
เขาหน้าเจื่อนทันควัน “ขอโทษครับ ผมไม่ทันได้ตั้งสติให้ดี” ซึ่งมันก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ หลังจากที่เจอเรื่องเช่นนั้นมา เขาคิดว่าวิญญาณร้ายพวกนั้นตามมาทัน ถึงได้รีบวิ่งขึ้นมาเพราะอย่างน้อยๆ ก็ยังมีคนอื่น ดีกว่าอยู่คนเดียวเป็นไหนๆ
พัลลภหันไปทางลูกศิษย์ที่อยู่เยื้องๆ กัน “ไปช่วยไอ้แมะทำกบ เดี๋ยวพี่เอ็งข้าช่วยเอง”
“ครับพ่อครู”
พ่อครู...?
คนนี้น่ะหรือพ่อครูที่สมาหมายถึง
เมื่ออยู่กันเพียงสองคนเขาก็ปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ เอ่ยสั่งเสียงเรียบ “ตามมา”
คีรีเดินตามร่างหนาไปเงียบๆ ในหัวเขามีคำถามมากมาย อาจจะเพราะ ‘พ่อครู’ ในจินตนาการของเขานั้นเป็นภาพของชายชรา อย่างพ่อหมอสังวาลก็ว่า ไม่ยักจะคิดถึงพ่อครูหนุ่มร่างกำยำเช่นนี้ หน้าท้องเป็นลอนกล้ามอย่างที่คนออกกำลังกายมักจะมี ท่อนแขนแข็งแรงราวท่อนเหล็กที่เพียงตวัดรอบเอวก็ทำให้เขาขยับตัวแทบไม่ได้
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าพ่อครูพัลลภของสมาจะเป็นหนุ่มหล่อเช่นนี้
เขาว่าเขาก็หล่อแล้ว แน่นอนว่าไม่มีใครบอก เขาบอกตัวเอง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น มาเจอจงเจตก็ว่าหมอนั่นหน้าตาดีไม่หยอก แต่ผู้ชายคนนี้อยู่สูงสุดของห่วงโซ่อาหารเลยก็ว่าได้
พัลลภหน้าตาดีมากจริงๆ
“อาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อยแล้วค่อยมาคุยกัน ข้าอยากรู้ว่าทำไมเอ็งถึงไปเกี่ยวพันกับพ่อหมอสังวาลได้”
“ครับ ผมจะเล่าความจริงให้พ่อครูฟังทุกอย่าง”
เจ้าตัวไม่ได้ตอบอะไร แค่พยักพเยิดหน้าไปทางห้องน้ำ “เข้าไปก่อน เดี๋ยวจะหาเสื้อผ้ามาให้ใส่”
“ขอบคุณครับ”
ร่างสูงเดินแยกออกไป แต่เพียงไม่กี่ก้าวก็หันกลับมาทางคนตัวเล็ก “ใส่เกงเลได้ไหม” ว่าพลางชี้ไปที่กางเกงของตน คีรีก็ไม่เรื่องมากรีบพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
พัลลภปลีกตัวไปเตรียมของใช้พื้นฐานในการจัดการธุระส่วนตัวให้แขก คีรีจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำและเริ่มทำความสะอาดเนื้อตัวทันที เพียงแค่สายน้ำไหลปะทะร่างกายเขาก็เผลอทอดถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่คล้ายว่าได้ยกภูเขาออกจากอก ปล่อยให้สายน้ำเย็นจากฝักบัวไหลชโลมไปทั่งร่างกาย เปลือกตาปิดลงหวังวางทุกอย่างลงจากบ่าสักพัก
ชายหนุ่มรู้ว่าเรื่องนี้จะยังไม่จบง่ายๆ และแม้ชีวิตเขาจะไม่ได้ดีเลิศเลอ แต่ก็ไม่ยอมตัดใจแล้วตายจากไปง่ายๆ อย่างแน่นอน เขาได้โอกาสให้มีชีวิตหนที่สอง แม้จะอาศัยในร่างคนอื่นก็ตามแต่สวรรค์ลิขิตมาแล้วว่าให้เขาได้ใช้ชีวิตต่อไปในร่างของวาริ คนที่เขาใช้ชีวิตแลกชีวิตจนเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขาก็จะใช้ชีวิตอย่างดี ไม่ยอมตายเพราะภูตผีพวกนั้นเด็ดขาด
เสียงเคาะประตูดังอยู่สองครั้ง ตามมาด้วยเสียงทุ้มต่ำอันน่าเกรงขามของพ่อครูพัลลภ “เอาเสื้อผ้ามาให้น่ะ ตั้งไว้ข้างหน้านะ” แล้วเสียงฝีเท้าที่ดังห่างไปเรื่อยๆ ก็บอกกับเขาว่าอีกฝ่ายได้จากไปแล้ว
เพราะเกรงว่าคนตัวใหญ่จะรอ เขาจึงรีบอาบน้ำสระผมให้เรียบร้อยในเวลาสิบนาทีกว่าๆ ก่อนจะออกจากห้องน้ำในสภาพที่สวมกางเกงขาก๊วยสีน้ำตาลเข้าคู่กับเสื้อยืดสีขาว ผ้าเช็ดตัวถูกพาดไว้ที่ศีรษะเพราะต้องเช็ดผม ส่วนเสื้อผ้าตัวเก่าก็ซักด้วยน้ำเปล่าแล้วถือออกมาด้วย
พัลลภอยู่ในชุดใหม่ เนื้อตัวสะอาดสะอ้านบอกได้ดีว่าเขาอาบน้ำแล้ว เพียงแต่กางเกงที่สวมใส่ยังเป็นกางเกงขาก๊วยสีดำเช่นเดิม
นัยน์ตาคมลากมาหยุดอยู่ที่สองมือ “เอาไปทิ้งเสีย มันสกปรกแล้ว”
“ถ้าซักก็น่าจะสะอาดมั้งครับ อันนี้ผมแค่ซักกับน้ำเปล่าเฉยๆ”
“ทิ้ง”
เพียงคำเดียวที่มาพร้อมกับแววตาดุดัน เขาก็นำมันไปทิ้งไว้ในถังขยะทันที ก่อนเดินไปนั่งพับเพียบอยู่ด้านหน้าตั่งที่มีเจ้าของบ้านนั่งอยู่ด้านบน ใกล้กันเป็นโต๊ะหมู่บูชา
คีรีเงยหน้าขึ้นสบสายตากับอีกฝ่าย ยกมือพนมขึ้นเพื่อขอบคุณในน้ำใจที่มอบให้แก่กัน
“ก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณความช่วยเหลือของพ่อครูมากจริงๆ ครับ ถ้าไม่ได้น้องแสนช่วยไว้แล้วพามาหาพ่อครู ตอนนี้ผมคงไม่รอดแล้ว”
คนฟังรับคำในลำคอ ยิงคำถามใส่ด้วยเสียงราบเรียบ “เอ็งชื่ออะไร”
“คีนครับ” ก่อนจะเงียบไปชั่วอึดใจ “แต่ร่างกายนี้ชื่อฝุ่น”
นัยน์ตาคมจดจ้องไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม สำรวจใบหน้าขาวผ่อง ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาราวลูกคุณหนูในเมืองหลวง ไม่น่าจะต้องตกมาอยู่ในสภาพคลุกดินโคลนอย่างที่ได้เจอกันเลย ไหนยังเรื่องที่เพิ่งจะออกจากปากเมื่อสักครู่ด้วย
น่าแปลกใจนัก
“ข้ารู้สึกเหมือนเอ็งจะพาเรื่องน่าสนใจมาให้” แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่าเดิม “เล่ามาให้หมด”
“ผมจะเล่าครับ แต่เรื่องของผมมันเหลือจะเชื่อ พ่อครูจะเชื่อหรือเปล่าครับ”
ใบหน้าคมคายยังคงเรียบสนิท “ข้ามีชีวิตอยู่กับเรื่องเหลือเชื่ออยู่แล้ว”
นั่นก็จริง
พ่อครูพัลลภสำทับแกมย้ำเตือน “อย่าคิดบิดพลิ้ว เพราะการช่วยเหลือก็ขึ้นอยู่กับลมปากของเอ็งด้วย”
คีรีพยักหน้ารับคำอย่างหนักแน่น แล้วจึงเริ่มเปิดปากเล่าในสิ่งที่เกิดขึ้น “ผมชื่อคีน บ้านเกิดอยู่ที่ลพบุรี เป็นพนักงานส่งของในพัฒนานิคม”
พอดีกับที่มรุตและสมาจัดการแร่เนื้อกบเสร็จเรียบร้อยจึงเดินมาร่วมรับฟังเรื่องราวความเป็นมาของพี่ชายไอ้แสน
“ส่วนร่างนี้ชื่อฝุ่น เป็นคนกรุงเทพฯ”
ใช้เวลาพักใหญ่กว่าคีรีจะร้อยเรียงเรื่องราวทั้งหมดออกมาเป็นคำพูดเพื่อถ่ายทอดให้ทั้งสามได้รับรู้ ตั้งแต่วันแรกที่เขาได้พบกับวาริที่บ้านเกิด การจมน้ำที่เป็นจุดเปลี่ยนของทุกอย่างในชีวิต ตัวจงเจตที่หลอกล่อเขาให้เข้ามาติดกับจนถูกพวกวิญญาณเล่นงานจนเกือบเอาตัวแทบไม่รอด
เล่ามาถึงตอนหนีผีหัวซุกหัวซุนก็มีเสียงหนึ่งขัดขึ้น เป็นพัลลภ “เอ็งสลัดผีได้ด้วยชินบัญชรรึ”
ใบหน้าเกลี้ยงเกลาทว่าอิดโรยพยักขึ้นลง “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ แต่มันก็สลัดไม่หลุดเสียทีเดียว ยิ่งพอเริ่มเตลิดท่องผิดท่องถูกก็เหมือนจะช่วยอะไรได้ไม่มาก แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย จนวิ่งมาเจอน้องแสน ตอนนั้นเองที่ไม่มีอะไรตามมา ทั้งพวกผีหน้าตาน่ากลัว ทั้งควายธนู วัวกระทิงที่ก็ไม่รู้ว่าโกรธแค้นกันมาตั้งแต่ชาติปางไหน รวมถึงผีเจ้าของร่างนี้ด้วย”
มรุตที่เงียบมาตั้งแต่แรกก็โพล่งขึ้นด้วยนึกชื่นชม “เก่งพอตัวที่รอดมาได้”
“ขอบคุณครับ”
ชายหนุ่มวัยสามสิบกล่าวต่อ “ฟังจากที่เล่ามามันคือพิธีเมือขันธ์ เป็นการเรียกวิญญาณให้กลับเข้าร่าง แต่เพราะร่างไม่ว่างเลยต้องทำพิธีเตรียมร่างก่อน อธิบายง่ายๆ เหมือนแก้วที่มีน้ำอยู่จะเติมน้ำใหม่เลยก็ไม่ได้ ต้องเทน้ำเก่าทิ้งแล้วเทน้ำใหม่ใส่ไปแทน เหมือนที่เจ้าของร่างตัวจริงจะได้กลับเข้าไปอยู่แทน ซึ่งคีนที่ร่างถูกเผาไปแล้ว ถ้าออกปุ๊บก็ตายสถานเดียว”
คีรีอดจะเบะปากไม่ได้ เขาเกือบตายแล้วจริงๆ
“ตอนแรกผมก็คิดว่าเขาจะปัดเป่าวิญญาณของคุณฝุ่นออกไปให้พ้นผม ประมาณว่าให้ไปเกิดน่ะ ไม่คิดเลยว่าคนพวกนั้นจะฆ่าผมได้ลงคอ พอรู้สึกตัวว่าถ้าอยู่ตรงนั้นต่อจะต้องตายก็ไม่คิดอะไรนอกจากหนีเลยครับ วิ่งป่าราบเลยล่ะ นาใครต่อนาใครไม่รู้ ผมผ่ากลางหมด เผลอๆ พรุ่งนี้โดนด่าเละแน่นอน”
คนอายุน้อยสุดหัวเราะขึ้นมาอย่างนึกขัน “ถึงว่าจู่ๆ ก็โผล่มา แต่โดนด่าก็ดีกว่าโดนฆ่านะพี่”
“อืม นั่นสิ” ก่อนกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม “แต่ดีจริงๆ ที่น้องแสนเป็นคนมาเจอพี่ ถึงได้พาพี่มาที่นี่ อีกอย่างตั้งแต่เจอน้องแสนก็สลัดพวกนั้นทิ้งได้” ชายหนุ่มแกล้งหรี่ตาแคบ “มีของดีแน่เลยเรา เอามาแบ่งพี่บ้างนะ”
แต่แล้วคนตอบโต้ในประโยคนั้นกลับไม่ใช่สมา แต่เป็นพ่อครูผู้เคร่งขรึม
“ของดีที่สุดก็ข้านี่แหละ”