บทที่๓│พบพาน (๑)
บทที่ ๓
พบพาน
บ้านพ่อครูพัลลภคือที่หมายของคีรีและหนุ่มน้อยวัยยี่สิบสองนามว่าสมา
ระหว่างทางคนต่างถิ่นก็เอ่ยเรียกสารถีจำเป็นของตน “น้องแสน”
“ครับ”
พอคีรีบอกว่าจะใบ้หวยสามตัวตรงให้ สมาก็พลิกจากหลังมือเป็นหน้ามือทันที เมื่อกี้ยังด่าเช็ด ตอนนี้มีหางเสียงเฉย
“พ่อครูที่ว่านี่เป็นพ่อครูสายดีหรือเปล่า”
“ดีครับ พ่อครูเป็นหมอธรรมของชาวบ้าน ไว้ใจได้” ตอบเสร็จก็ยิงคำถามใส่คนเนื้อตัวมอมแมมที่ตัวเองรับขึ้นรถ “แล้วพี่คีนไปทำอะไรมาครับ ทำไมถึงได้เลอะโคลนแบบนี้”
“เรากลัวผีไหม”
“ไม่กลัวครับ ผมฝากตัวเป็นศิษย์ของพ่อครูจะกลัวผีได้ไง ผีต่างหากต้องกลัวผม”
“คือ...พี่หนีผีมาน่ะ”
คู่สนทนาเงียบไปราวครึ่งนาที ก่อนตอบ “จริงเหรอครับ”
“อื้อ หนีมาจากบ้านของพ่อหมอที่ชื่อสังวาล”
“หา!”
ปฏิกิริยาเช่นนั้นทำให้คีรีมุ่นคิ้ว “ทำไม มีอะไรเหรอ”
“พี่ไปบ้านนั้นทำไม นั่นมันคนเล่นของ”
จริงๆ แล้วเขาไม่แปลกใจเท่าไรเพราะเพิ่งประสบความน่าสะพรึงกลัวมา แต่พอได้ฟังจากปากคนในพื้นที่ก็อดจะช็อกไม่ได้ เมื่อครู่ถ้าเขาไม่พยายามดิ้นรนเอาตัวรอดมันแปลว่าจะต้องเอาตัวเองมาตายที่นี่จริงๆ สินะ
“ตาแก่นั่นมันเป็นพวกเดรัจฉานวิชา”
คีรีไม่ได้โต้ตอบอะไร เช่นเดียวกับสมาที่ตั้งหน้าตั้งตาบิดรถมอเตอร์ไซค์เพื่อที่จะได้ไปถึงที่หมายโดยเร็ว
ปกติสมาจะค้างที่บ้านของพ่อครู แต่วันนี้แม่โทร. เรียกกลับไปทานหมูกระทะ แต่พอทานเสร็จเรียบร้อยก็จัดการบิดรถกลับบ้านพ่อครู คิดไม่ถึงว่าระหว่างทางจะเก็บพี่ชายสุดมอมได้คนหนึ่ง แต่เห็นว่าใบ้หวยแม่นก็ลองเชื่อใจดูสักครั้ง ไหนยังมาคุยกันจนรู้ว่าหนีมาจากบ้านพ่อหมอสังวาลด้วยแล้วเขาก็คิดว่าตัวเองตัดสินใจถูกที่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
แน่นอนว่าเรื่องหวยก็ส่วนหนึ่ง
ใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงบ้านเรือนไทยสองชั้น ทว่าสภาพดีกว่าบ้านหลังนั้นมากโข เขาลงไปยืนที่พื้นพลางมองไปรอบๆ ที่นอกจากทำเพื่อสังเกตพื้นที่โดยรอบแล้วยังสอดส่องว่ามีวิญญาณตัวไหนตามมาหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีอะไรเลย ฝูงผีที่รุมทึ้งเขาก็ไม่มี ควายธนู วัวกระทิง ไม่มีโผล่มาในครรลองสายตาสักกะตัว
“ขึ้นบนบ้านไปไหว้พ่อครูกันครับ”
สิ้นประโยคนั้นก็เกิดหลุมบางอย่างในความรู้สึกของคนทั้งสอง ที่มันค่อยๆ แผ่ขยายกว้างขึ้น เมื่อสายตาของสมามีจุดกระทบที่เนื้อตัวของพี่ชาย ไม่ต่างกับคีรีที่หลุบตาลงต่ำเพื่อมองสภาพของตัวเองแล้วเกิดความหดหู่ขึ้นอย่างน่าประหลาด
สมายิ้มเจื่อน “งั้นพี่รอผมอยู่ตรงนี้แป๊บหนึ่ง ผมก็ไม่กล้าถือวิสาสะทำอะไรโดยไม่บอกเขาก่อน เดี๋ยวผมจะขึ้นไปบอกพ่อครูก่อนแล้วกัน”
ฝ่ามือที่ถูกเคลือบไปด้วยดินโคลนเอื้อมไปจับชายเสื้ออีกฝ่ายไว้ “จะมาจริงๆ ใช่ไหม ไม่ใช่ว่าจะทิ้งพี่ไว้ตรงนี้คนเดียวนะ”
“ครับ ผมไปไม่นาน”
คีรีจึงปล่อยให้คู่สนทนาเป็นอิสระแล้วยืนมองเจ้าตัวกึ่งวิ่งกึ่งเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง
เมื่อต้องอยู่คนเดียวอีกครั้งหลังเพิ่งผ่านเรื่องราวสุดแสนจะเหลือเชื่อ เขาก็ระลึกได้ว่า ณ เวลานี้ไม่มีอะไรที่ไม่น่ากลัวเลย ไม่รู้ว่าวิญญาณพวกนั้นจะยังตามมาอยู่หรือไม่ แต่ก็เหมือนว่าพวกมันจะหายไปตั้งแต่เขาขึ้นมาซ้อนท้ายสมา
เด็กนี่มีของดีแน่นอน
เสียงตึงตังบอกกับเจ้าของบ้านที่นั่งบริกรรมคาถาเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้อาคมในตัวว่ามีใครบางคนมาเยือน และใครคนนั้นก็หาใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็น “เอ็งไม่กระโดดตีลังกาเข้ามาเลยล่ะแสน บ้านข้าจะได้ทรุดให้มันจบๆ ไปสักที”
สมาจึงเคลื่อนไหวช้าลง เขาค่อยๆ ก้าวเพื่อไม่ให้เกิดเสียงเท้ากระทบกับพื้นไม้
เจ้าของบ้านแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนว่ารู้สึกหน่ายใจ “อย่ากวนตีน”
ลูกกรอกของพ่อครูพัลลภผุดยิ้มแหย ยอบกายนั่งพับเพียบลงตรงหน้าคนมีอาคมที่ตนนับถือ “พ่อครูครับ ผมมีเรื่องสำคัญจะบอก”
“เรื่อง? แล้วนั่นเนื้อตัวไปโดนอะไรมาทำไมเลอะแบบนั้น”
“นี่แหละครับที่ผมจะบอก” เมื่อเห็นว่าคู่สนทนาพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้พูด เขาก็ไม่รอช้า “ระหว่างทางมาที่นี่ผมเจอพี่คนหนึ่ง เขาบอกว่าเขาใบ้หวยแม่นมาก”
“ให้เลขอะไรมา”
สมาส่ายหน้า “ยังไม่ได้ให้ครับ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เรื่องของเรื่องคือพี่เขาหนีผีจากบ้านพ่อหมอสังวาลมาครับ”
“บ้านนั้นรึ ไปทำอะไรที่นั่นล่ะ พี่เอ็งน่ะ”
“เขายังไม่ได้เล่าให้ผมฟัง”
เพราะพัลลภเป็นหมอธรรม เขาย่อมช่วยเหลือทุกคนที่ตกทุกข์ได้ยากอยู่แล้ว แน่นอนว่าไม่ช่วยฟรีๆ เขาก็ต้องกินต้องอยู่ มาทำงานตรงนี้เป็นอาชีพหาใช่งานอาสา
“แล้วมันอยู่ไหน”
“รออยู่ข้างล่างครับ”
“ไปเรียกขึ้นมาที่นี่” คนอายุน้อยกว่าอ้ำอึ้งจนเจ้าของบ้านขมวดคิ้วใส่พร้อมจ้องเขม็ง “อะไรอีก”
“ผมว่าพ่อครูลงไปดูเองดีกว่าครับ สภาพพี่เขาค่อนข้างมอมแมม”
พัลลภพยักหน้ารับพลางลุกขึ้นยืน ขายาวก้าวไปทางบันไดเพื่อไปยังบริเวณหน้าบ้าน บ้านหลังนี้เป็นบ้านเรือนไทยโบราณ ชั้นล่างเป็นใต้ถุนโล่งๆ มีเพียงตั่งไว้ให้ผู้คนที่มาเยือนได้นั่งพัก และมีห้องสุขาสำหรับแขก บันไดถูกทอดจากพื้นหน้าบ้านเพื่อขึ้นมายังชั้นสอง ก่อนจะเจอกับต้นพิกุลที่ขึ้นอยู่ก่อนสร้างบ้าน เขาจึงเว้นให้มันโตแทรกขึ้นมายังชั้นสอง
ห้องทางซ้ายมือเป็นห้องนอนของเขา ขวามือเป็นของลูกศิษย์ ตรงกลางถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมต่างๆ
ทว่าเดินไปยังไม่ทันพ้นต้นพิกุล เสียงหวีดร้องก็ดังขึ้นจนทั้งสองต้องหันมามองหน้ากัน พวกเขาตั้งท่าจะไปยังที่มาของเสียง แต่ฝีเท้าที่ตรงมาทางนี้ก็บอกกับพัลลภว่าเจ้าของเสียงโหวกเหวกโวยวายได้ขึ้นมาแล้ว
พร้อมกับแรงชนอย่างแรงของคนที่วิ่งไม่ดูตาม้าตาเรือ ทว่าท่อนแขนแข็งแรงของหนุ่มใหญ่วัยสามสิบแปดก็คว้าเข้าที่เอวคอดกิ่วของร่างแน่งน้อยได้ทันก่อนที่อีกฝ่ายจะล้มก้นจ้ำเบ้า
เสียงโวยวายจึงชะงักไปเมื่อคีรีไม่ได้อยู่คนเดียว นัยน์ตาวาวจดจ้องไปยังใบหน้าคร้ามคมของคนที่โอบกอดเขาไว้ คิ้วเข้มได้รูปรับกับนัยน์ตาเรียว หางตาชี้ขึ้นส่งผลให้ใบหน้าดุดัน จมูกโด่งเข้าคู่กับริมฝีปากหนา ผิวกายไม่คล้ำแต่ก็หาได้ขาวผ่อง เป็นผิวสีแทนโดยเฉลี่ยของชายไทย
บนอกแกร่งมียันต์สร้อยสังวาลพาดไว้ ไล่สายตาลงมาก็เจอกับยันต์สามยอดที่อยู่ตรงกลางอก ซ้ายขวามีเสือคู่ศัตรูพ่ายประดับบารมีด้านละหนึ่งตัว เสริมให้คนผู้นี้ดูน่าเกรงขามจนคนมองรู้สึกพรั่นพรึงจนเผลอเม้มริมฝีปากล่างไว้แน่น
ชายหนุ่มร่างสูงโน้มใบหน้าลงมา เอ่ยเสียงเข้ม “เดินระวังหน่อย”
⋆ ˚。⋆୨୧˚ ˚୨୧⋆。˚ ⋆
ขออนุญาตแจ้งว่านิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องไม่ยาวมากนะคะ ประมาณ 70,000 คำ / 260,000 ตัวอักษร จะทำอีบุ๊กในราคาร้อยต้นๆ คลอดประมาณช่วงปลายเดือน ฝากเอ็นดูด้วยนะคะ ระหว่างนี้จะพยายามลงทุกวันค่ะ
ด้วยรัก
บีวีเหมียว