บทที่๒│เมือขันธ์ (๒)
เมื่อคืนก็อีหรอบเดิม คีรีไม่ได้นอนเพราะรู้สึกเจ็บที่หน้าอก ซ้ำยังมีหยดน้ำตกกระทบใบหน้าจนต้องตื่น ซึ่งก็พบว่าผีคุณฝุ่นคือตัวการทั้งหมด ในขณะที่เขากระวีกระวาดปัดป่ายมือออกไปหวังสลัดวิญญาณอาฆาตให้พ้นทาง คนที่นอนอยู่ข้างๆ กลับไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย
จงเจตให้คีรีมานอนด้วยกัน เจ้าตัวบอกว่าอย่างน้อยๆ ได้เห็นหน้าวาริก่อนนอนก็ยังคลายความคิดถึงลงได้บ้าง ต่างจากเขาที่ไม่ได้อยากเจอแต่กลับได้เจออยู่ทุกคืนทุกค่ำ มิหนำซ้ำยังมาในสภาพที่น่าสะพรึงจนทำให้ใจหายอยู่บ่อยครั้ง
คนที่ไม่อยากเห็นก็มาหาจังเลย ทำไมไม่ไปหาคนที่อยากเห็นบ้างเล่าคุณฝุ่น
ช่วงเช้าตรู่คีรีก็ลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตา นับตั้งแต่วันที่ส่องกระจกแล้วภาพสะท้อนไม่ใช่ตัวเองเขาก็เกิดอาการกลัวกระจก ถึงกระนั้นก็พอจะส่องได้ครู่สั้นๆ และรีบหันหน้าหนีก่อนผีจะได้หลอก ถึงได้เห็นว่าสภาพของตัวเองมันดูแย่เต็มทน ถ้าวาริจะโกรธที่เขาทำให้ผิวพรรณของเจ้าตัวหมองคล้ำก็คงไม่แปลก แต่หากจะตั้งคำถามถึงเหตุผลก็คงไม่พ้นตัววาริเองที่ตามหลอกหลอนเขาอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย
ที่สำคัญเลยเขาก็ไม่มีปัญญาจะทำตามประสงค์ของเจ้าตัวด้วย ตอนเข้ายังไม่รู้เลยว่าเข้าอย่างไร แล้วจะให้ออกนี่เขาจะออกได้หรือ ร่างของเขาก็ถูกเผาไปแล้วด้วยซ้ำ และที่สำคัญเลยวาริกลายเป็นวิญญาณไปแล้วก็น่าจะเป็นอิสระแล้วไปสู่สุคติมิใช่หรือ เพราะหากเหตุการณ์มันพลิกผันให้เขาเป็นฝ่ายตายและวาริเป็นฝ่ายรอด ต่อให้รอดมาอยู่ในร่างของเขา เขาก็คงขอแค่ให้อีกฝ่ายใช้ชีวิตในร่างนั้นไปในทางที่ดี แล้วเขาจะไปตามทางในโลกวิญญาณ ไม่ผูกกรรมอะไรกับใครอีกแล้ว
แต่วารินี่สิ เขาเป็นฝ่ายเสี่ยงชีวิตไปช่วยแท้ๆ ก็ยังมาอาฆาตมาดร้ายกัน เป็นคนที่ใช้ไม่ได้เอาเสียเลย
คีรีก็ได้แต่หวังว่าพ่อหมอที่จงเจตจะพาไปหานั้นเก่งกาจจนสามารถปัดเป่าวิญญาณของวาริออกไป เพื่อที่เจ้าตัวจะได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี
เป็นความจริงที่เขายังไม่อยากตาย แม้ว่าชีวิตของคีรีจะไม่ได้หรูหรา ไม่ได้สุขสบาย ยังคงต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อเลี้ยงชีพตัวเอง แม้แต่บ้านสักหลังก็ยังไม่มี เขาต้องเช่าบ้านมาตั้งแต่จำความได้ เพราะการสร้างบ้านหลังหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย มันต้องใช้เงินจำนวนมาก ที่ดินก็ไม่ยักจะมีกับคนอื่นเขา คีรีไม่มีมรดกอะไรที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษเลยสักอย่าง
ถึงกระนั้นก็ตาม เขาก็ยังไม่ถอดใจกับการใช้ชีวิตในโลกใบนี้
มีอีกหลายสิ่งที่คีรีอยากทำ มีหลายที่ที่ยังอยากไปเยือน เพราะฉะนั้นต่อให้ต้องใช้ชีวิตในร่างกายคนอื่นเขาก็จะใช้ เขาไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ ก็มันลอยมาอยู่ของมันเอง ไม่ได้ไปบังคับขู่เข็ญเพื่อให้ได้มาซึ่งร่างกายของวาริเสียหน่อย กลับกัน เขาต่างหากที่พยายามช่วยเหลือไม่ให้วาริต้องเสียชีวิต
เขาทำสิ่งนั้นโดยไม่ทันฉุกคิดถึงผลที่จะตามมา ไม่ดูความพร้อมของตัวเอง นั่นคือความเลินเล่อของคีรี แต่นี่คือสิ่งที่วาริตอบแทนเขาอย่างนั้นน่ะหรือ ช่างเป็นดวงจิตที่ใจดำสิ้นดี
แต่วันนี้ก็จะเป็นวันสุดท้ายที่วาริจะได้ก่อกวนเขาแล้ว
คณะของจงเจตกอปรไปด้วยเจ้าตัว คีรี ลูกน้องคนสนิททั้งสองอย่างภานุและกิจจา ทั้งคู่ทำหน้าที่ขับรถโดยจะผลัดกันเป็นช่วงๆ เพราะต้องเดินทางไกลเกือบสิบชั่วโมงเพื่อไปยังอำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งเป็นที่อยู่ของพ่อหมอคนดังที่จงเจตบอกกับเขาไว้ว่าท่านมีอาคมแกร่งกล้า คงจะสามารถ ‘ปัดเป่า’ ดวงวิญญาณได้
ระหว่างทางเขาก็นึกสงสัยอะไรบางอย่างจึงยิงคำถามใส่คนข้างกาย “ว่าแต่คุณเจตทำใจได้เหรอครับ”
แม้ภานุและกิจจาจะทราบเรื่องทั้งหมดเป็นอย่างดี คีรีก็ยังเลือกที่จะเอ่ยถามด้วยเสียงกระซิบ
หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน “เรื่องอะไร”
“เรื่องที่จะไล่วิญญาณของคุณฝุ่นน่ะ”
จงเจตเงียบไปชั่วอึดใจ แล้วจึงทอดถอนลมหายใจอย่างปลงตก “แล้วจะทำไงได้ ก็ฝุ่นตายไปแล้วจริงๆ ฉันรักเขาเลยไม่อยากให้เขาต้องมาทรมานแบบนี้”
เขาไม่มีอะไรจะตอบ นึกเห็นใจที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเพราะมันไม่ส่งผลดีกับใครเลย
คีรีจำได้ว่าฟื้นมาเจอกับจงเจตที่ท่าทีไม่เป็นมิตร ตอนแรกก็คิดว่าเขาเกลียดวาริมาก แต่ความจริงแล้วจงเจตรักวาริมากต่างหาก “คุณฝุ่นจะต้องรับรู้แน่ๆ ครับว่าคุณรักเขามาก”
คนฟังแค่นหัวเราะอย่างนึกหยันตัวเอง “ไม่ต้องปลอบฉันหรอก ฝุ่นน่ะเขารู้อยู่แล้วว่าฉันรู้สึกยังไง แต่เขาไม่มีวันรักฉัน”
“ไม่จริงหรอกครับ ถ้าเขาไม่รักคุณเจตป่านนี้เขาหายไปแล้ว แต่เขายังอยากมีชีวิตอีกครั้ง มันก็แปลว่าคุณฝุ่นยังอยากอยู่กับคุณ”
ผู้กุมบังเหียนรัชสีห์กรุ๊ปผู้ยิ่งใหญ่ได้แต่ส่ายหน้าเป็นคำตอบ กับคนอย่างวาริ ต่อให้ตายไปแล้วคนเดียวที่อีกฝ่ายยังคิดถึงก็คงมีแค่ครรชิต หาใช่เขา
ไม่ว่าเวลาไหนหัวใจของวาริก็มีเพียงครรชิตที่สามารถเข้าไปอยู่ในนั้น
เขาเกลียดครรชิตเข้ากระดูกดำ นอกจากมันจะเป็นคู่แข่งทางการค้าตั้งแต่รุ่นก่อตั้งบริษัทแล้วก็ยังเป็นมารหัวใจ ถ้าไม่มีมันสักคนวาริก็จะรักแค่เขา
คนอายุมากกว่าเสเปลี่ยนเรื่อง “ทำไมถึงตัดสินใจไปลงไปช่วยฝุ่นล่ะ”
“ก่อนหน้าที่คุณฝุ่นจะกระโดดผมก็รู้สึกว่ามันทะแม่ง เลยจอดรถลงไปคุยน่ะครับ”
จงเจตนึกสนใจกับเรื่องที่คนข้างกายกำลังเล่าสู่กันฟัง “คุย?”
ใบหน้าเกลี้ยงเกลาทว่าอ่อนระโหยโรยแรงจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมพยักขึ้นลง ขอบตาคล้ำอย่างคนอดหลับอดนอนติดกันมาหลายวัน “เขาพูดกับผมสี่คำ หนึ่ง ยุ่ง”
คนตัวใหญ่แค่นยิ้ม
“สอง อย่ามายุ่ง สาม จะไปไหนก็ไป”
“สี่ล่ะ”
“แล้วก็โคตรน่ารำคาญ”
ร่างหนาแค่นหัวเราะ “ก็นั่นมันโคตรจะฝุ่นเลย” ก่อนจะปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ “โดนไล่แบบนั้นแล้วนายก็ยังจะช่วยน่ะรึ”
“ไม่เกี่ยวกันหรอกครับว่าคุณฝุ่นจะพูดอะไร มันสำคัญที่ต้องช่วย ไม่ว่าใครก็ต้องช่วย”
แล้วห้องโดยสารของซีดานสัญชาติยุโรปก็ตกอยู่ในความเงียบงัน คีรีจมอยู่กับห้วงความคิดของตนว่าช่วงชีวิตหลังจากนี้จะดำเนินไปในทิศทางใด เขาไม่ได้เป็นอะไรกับจงเจตและคงไม่มีวันเป็น อีกฝ่ายก็รู้ความจริงแล้วว่าร่างนี้เป็นของวาริก็จริง แต่จิตวิญญาณหาใช่เจ้าของเดิมแต่ถูกเขายึดครองด้วยความบังเอิญ ก็คงต้องแยกย้ายกันไปตามทาง
เขาคงไม่กลับไปอยู่ที่พัฒนานิคมอีกแล้ว อาจจะหางานทำที่กรุงเทพฯ ใครๆ ก็บอกว่าเมืองหลวงมีงานให้ทำเยอะแยะ เขาเองก็น่าจะหาได้
แต่แล้วเขาก็คิดอะไรดีๆ ออก “คุณเจตครับ”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงเป็นการอนุญาตให้ถาม
“ถ้าจบเรื่องนี้แล้วผมขอทำงานที่บริษัทคุณได้ไหมครับ”
ท่านประธานรับคำหนักแน่น “ได้”
ผู้น้อยอย่างคีรีก็ยิ้มร่าที่อีกฝ่ายใจดีและมีเมตตาต่อกัน “ขอบคุณครับ ไม่ว่าคุณให้ผมทำตำแหน่งไหนผมก็จะตั้งใจทำงานเพื่อตอบแทนบุญคุณของคุณ”
เจอกันที่โรงพยาบาลเห็นว่าเอาแต่สาดวาจาร้ายกาจใส่กันก็คิดว่าจะเป็นคนใจร้าย ที่ไหนได้ จงเจตเป็นคนใจดีที่สุดที่เขาเคยพบเลยด้วยซ้ำ ทั้งเชื่อและเข้าใจในเรื่องเหลือเชื่อที่เกิดขึ้น แม้จะรู้ว่าเขาไม่ใช่วาริก็ยังพามาอยู่ที่เพนต์เฮาส์สุดหรู ไหนยังสัญญาว่าจะช่วยเหลือให้ทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติ บทจะของานทำก็ยังเมตตากันง่ายๆ
น้ำใจของจงเจตตอบแทนเท่าไรก็ไม่มีวันพอ
หลังจากเดินทางกันมาได้ประมาณเก้าชั่วโมงเศษๆ ก็จวนจะถึงที่หมาย พวกเขาออกเดินทางตอนสิบโมงเช้าและมาถึงคอนสารช่วงหนึ่งทุ่ม นั่นเพราะพ่อหมอบอกไว้ว่าพิธีกรรมนี้ต้องทำช่วงกลางคืน คณะของจงเจตถึงได้มากันในเวลานี้ ซึ่งหนึ่งทุ่มของชนบทไม่เหมือนหนึ่งทุ่มในเมืองหลวง ออกจะต่างกันราวฟ้ากับเหว
ยิ่งยามที่ตัวรถเคลื่อนผ่านถนนที่ไร้ผู้คนสัญจรไปมา ไฟทางมีเพียงน้อยนิด สองข้างทางมองออกไปเป็นท้องนาสุดลูกหูลูกตา ก็ยิ่งส่งให้รู้สึกวังเวงกว่าปกติ
ให้หลังไม่ถึงสิบนาทีซีดานคันหรูก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปในซอยที่ไร้บ้านเรือน สองข้างทางไร้แสงสว่าง กระทั่งมองเห็นไฟจากบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่สุดปลายทาง คีรีเพ่งมองบ้านหลังนั้นขณะที่รถก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้า เขาโพล่งขึ้น “บ้านหลังนั้นหรือเปล่าครับ หรือว่าต้องไปอีก”
หนนี้เป็นกิจจาที่ตอบ “หลังนี้ครับ มาถึงแล้ว”
ทันทีที่มาถึงที่หมาย ทั้งสี่หนุ่มก็พากันลงจากรถเพื่อเดินเข้าไปในเขตของบ้านเรือนไทยสภาพทรุดโทรม รายล้อมไปด้วยแมกไม้นานาพรรณจนส่งให้ความอึมครึมปกคลุมไปทั่วบริเวณ ยามลมพัดจนกิ่งไม้เสียดสีกันก็มักจะเกิดเสียงคล้ายสิ่งมีชีวิตกำลังเคลื่อนไหว สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้แก่ผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี
คีรียืนหลบหลังจงเจต ยามอีกฝ่ายก้าวเดิน เขาจึงค่อยก้าวตาม
ตอนนั้นเองก็มีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งเดินตรงมาหาพวกเขา ยกมือไหว้อย่างมีมารยาท “สวัสดีครับ พ่อหมอรออยู่ด้านหลังแล้ว เดี๋ยวเดินตามผมมาเลยนะ จวนจะถึงเวลาเริ่มพิธีแล้วครับ”
ทั้งสี่ถูกพามาบริเวณที่กว้างหลังบ้านแทนที่จะขึ้นไปด้านบนเรือน แต่คีรีก็ไม่นึกตงิดใจ เขาในตอนนี้หากผู้มีคาถาอาคมบอกอะไรก็พร้อมเชื่อฟัง ขอแค่ปัดเป่าวิญญาณอาฆาตของวาริออกไปให้พ้นตัวได้ก็เพียงพอแล้ว
ลานพิธีมีเทียนถูกจุดและตั้งไว้บนพื้นนับจำนวนไม่ได้ สายลมพัดปะทะกายจนสะท้านแต่กลับไม่ทำปฏิกิริยาอะไรกับแสงเทียนเลย ตรงกลางมีหลุมขนาดเท่าๆ โลงศพถูกขุดไว้ นอกวงล้อมของเทียนที่ส่องแสงสว่างไสวมีชายชรานั่งอยู่บนเสื่อหนึ่งผืน ถาดที่บรรจุของบางอย่างตั้งไว้รอบตัว และเมื่อเพ่งพินิจดูผนวกกับเดินไปใกล้ๆ ก็พบว่ามันเต็มไปด้วยของน่าสะอิดสะเอียน ทั้งเลือด ตับไตไส้พุงของสัตว์ที่ส่งกลิ่นเหม็นโชยมาเตะจมูกจนคนมาใหม่ต้องยกมือปิดจมูกไปตามๆ กัน
คีรีคิดในใจทันทีว่านี่มันพิธีอะไรกัน เหตุใดช่างแลดูโสมมนัก
ทั้งยังมีรูปปั้นของสิงสาราสัตว์มากมายหลายชนิด
พ่อหมอสังวาลผินหน้ามาทางกลุ่มคนจากเมืองหลวง “ทุกคนยกเว้นเอ็งมานั่งหลังข้า”
ทั้งสามจึงเดินปิดจมูกไปนั่งหลังชายชุดขาวเจ้าของผมสีดอกเลา โดยที่เด็กหนุ่มวัยละอ่อนคนนั้นก็เดินแยกไปอีกทาง ก่อนจะกลับมาพร้อมสายสิญจน์และใช้มันพันรอบมือเขาที่ถูกบังคับให้ต้องยกมาพนมระนาบอก
ชายชรากล่าว “เอ็งแขวนพระไหม”
เขาส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ครับ”
“งั้นเดินไปนอนในหลุม เร็วเข้า ประเดี๋ยวจะเสียฤกษ์” แล้วสำทับมาอีกประโยค “จำเอาไว้ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นอย่าลุกออกจากหลุมก่อนพิธีจะสำเร็จ ไม่อย่างนั้นข้าคงรับผิดชอบชีวิตของเอ็งไม่ได้”
คีรียังคงยืนอยู่ที่เดิม “พ่อหมอจะจัดการวิญญาณที่ตามหลอกหลอนให้ผมใช่ไหมครับ” เขาก็แค่นึกสงสัยว่าพิธีมันแปลกประหลาดเหมือนไม่ค่อยใช่เรื่องที่ดี และการไล่วิญญาณร้ายของวาริก็ไม่น่าจะต้องให้เขาทำถึงขนาดนี้ เรื่องจริงกับในสื่อบันเทิงอาจจะไม่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว แต่อะไรแบบนี้เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลยสักครั้ง
จริงๆ...
แปลกมาก
“ใช่ รีบไปนอนเสีย ข้าจะได้เริ่มพิธี”
จงเจตมิวายสมทบมาด้วยท่าทีใจดีอย่างเคย ส่งยิ้มให้กับคีรีราวต้องการสื่อว่ามันจะไม่เป็นอะไร “เด็กดีของฉัน ทำตามที่พ่อหมอบอกเถอะนะ แล้วนายจะได้หลุดพ้นจากเรื่องพวกนี้”