บท
ตั้งค่า

บทที่๒│เมือขันธ์ (๑)

บทที่ ๒

เมือขันธ์

จงเจตไม่อยากเชื่อในเรื่องที่วาริ หรือไม่ก็คีรีได้บอก ในมุมมองของเขานั้นคนคนนี้มีเล่ห์เหลี่ยมรอบตัว ผนวกกับเรื่องเหลือเชื่อเช่นนี้ก็ยากเกินกว่าจะปักใจเชื่อ จะเป็นไปได้อย่างไรที่วิญญาณของวาริจะออกจากร่างแล้วมีวิญญาณดวงอื่นเข้ามาอาศัยแทน เรื่องพรรค์นั้นมีแต่ในละคร หาใช่จะเกิดขึ้นได้จริงๆ เสียหน่อย

ถึงกระนั้นท่าทีที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่ายหลังจากฟื้นมาก็เข้าข่ายน่าสงสัย

อีกไม่กี่กิโลเมตรจะถึงที่หมายแล้ว หลังไตร่ตรองมาพักใหญ่เขาก็เอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ “ฉันชื่อเจต จงเจต”

“คุณเชื่อผมแล้วใช่ไหมครับ”

ใบหน้าคมคายส่ายไปมา “ไม่รู้ ฉันก็สับสน”

“ผมอยากให้คุณเชื่อผม ผมไม่ได้โกหกอะไร แต่คิดว่าถ้าคุณเชื่อจริงๆ เราจะหาทางออกได้ เพราะนอกจากคุณแล้วผมก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปพูดกับใคร ผมตัวคนเดียวไร้ญาติขาดมิตรเพราะครอบครัวก็เสียไปหมดแล้ว ตอนนี้ร่างกายผมก็ไปนอนอยู่ในโลง จะเอาร่างนี้ไปคุยกับคนที่นั่นคงไม่มีใครเชื่อ มีแต่คุณแล้วครับที่จะช่วยผมได้”

ข้อมูลนี้ก็ถูกต้อง เขารู้ว่าพลเมืองดีไม่มีญาติที่ไหน

เขายังไม่ปักใจเชื่อ พร้อมๆ กับที่เริ่มไหวเอนอยู่พอประมาณ

“ผมไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองตื่นขึ้นมาอยู่ในร่างคุณฝุ่นได้ยังไง ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองตายไปแล้วด้วยซ้ำ”

จงเจตลองหยั่งเชิง ในส่วนของการตัดสินใจจะเชื่อนั่นเป็นเรื่องของเขา “แล้วที่บอกว่าผีฝุ่นล่ะ”

“คุณฝุ่นมาทวงร่างคืนครับ เขาทำให้ผมกลัว”

สารถีเงียบไปชั่วอึดใจ “...งั้นรึ”

พอดีกับที่มาถึงวัด ทั้งสองจึงเดินเข้าไปด้านในศาลาที่เป็นที่ตั้งของการสวดอภิธรรมศพของคีรี รุ่งวิจิตร ที่เจ้าตัวก็ได้มาร่วมงาน

ที่นั่นเขาได้พบเจอคนคุ้นหน้าคุ้นตาที่ต่างก็มาเพื่อส่งดวงวิญญาณของเขาให้ไปสู่สุคติ พวกเขาจับกลุ่มคุยกันถึงคุณงามความดีของคีรีจนเจ้าของชื่อน้ำตารื้น อย่างน้อยช่วงชีวิตนี้ก็ยังมีคนจดจำสิ่งดีๆ ที่เขาเคยได้ทำไว้ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างช่วยพวกพี่สาวร้านนั่งชิลจับงู และอีกสารพัดเรื่องที่เขาเคยทำในตอนที่ยังมีชีวิต...อยู่ในร่างของตัวเอง

ผู้ใหญ่คนหนึ่งที่อยู่แถวบ้านเอ่ยกับคีรีในร่างของวาริว่า “พ่อหนุ่มรอดก็ดีแล้ว เพราะงั้นต่อไปนี้ก็ใช้ชีวิตให้ดีให้สมกับที่เจ้าคีนมันยอมแลกชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเราด้วยนะ ป้าไม่ขออะไรมากหรอก แต่ขอให้ใช้ชีวิตที่เหลือแทนลูกหลานป้าคนนี้ด้วย”

คีรียกมือไหว้พร้อมน้ำตาที่คลอหน่วย “ขอบคุณนะครับป้านา ผมจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างดีเลยครับ”

สิ้นประโยคนั้นสายตาคมกริบก็จดจ้องยังร่างแน่งน้อยอย่างไม่คิดละสายตาไปไหน

มือเหี่ยวย่นตามวัยยกขึ้นมาลูบหัวเด็กหนุ่ม “ดีแล้วลูก ชีวิตคนเรามันมีทางออกเสมอ ขอแค่ตั้งใจหาให้ดีแล้วก็จะเจอทางนั้นเอง ว่าแต่รู้จักชื่อป้าด้วยเนอะ”

จงเจตหรี่ตาแคบ ใบหน้าเรียบสนิทราวใช้ความคิด

“ได้ยินคนอื่นเรียกครับ”

“อ้อ”

นั่นไม่จริง เจ้าของร่างสมส่วนยังไม่ได้ยินคำว่า ‘ป้านา’ จากปากใครเลย วาริเป็นคนแรก

ไม่สิ คีรี เป็นคีรีต่างหาก เรื่องพิศวงเช่นนี้มันได้บังเกิดขึ้นแล้วจริงหรือ ถ้าจริงแล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วถ้าไม่ใช่เรื่องจริงจะสามารถนิยามสิ่งที่อีกฝ่ายเป็นด้วยคำใด ใครจะตอบคำถามของเขาได้ว่าเหตุใดวาริถึงรู้เรื่องที่เกี่ยวกับคีรี ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรรู้เลยสักนิด

ไม่เห็นจะมีอะไรสมเหตุสมผลเลยสักอย่าง

จงเจตทำใจยอมรับไม่ได้ว่าคนรักของเขาเสียชีวิตไปแล้ว ในเมื่อคนที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็คือวาริ

งานศพจบลงไปแล้ว และไม่ว่าจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่แต่เขาก็เลือกที่จะพาคีรีมาอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ โดยที่อีกฝ่ายก็ยอมตามมาแต่โดยดีเมื่อเขาบอกว่าจะช่วยทุกวิถีทางเพื่อให้ทุกอย่าง ‘เป็นอย่างที่ควรจะเป็น’ ทำให้ตอนนี้อดีตพนักงานขนส่งพัสดุมาอยู่ในเพนต์เฮาส์สุดหรูของหัวเรือรัชสีห์กรุ๊ปในฐานะนายน้อย หรือก็คือคนรักของจงเจต รัชสีห์ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานบริษัทรัชสีห์บริวเวอรี่ บริษัทผลิตเบียร์อันดับต้นๆ ของประเทศ

คีรีไม่ดื่มก็จริงแต่เขาเป็นคนไทย จะไม่รู้จักหรือเคยเห็นเบียร์ยี่ห้อนี้ผ่านตาคงเป็นไปไม่ได้ ทำให้เขารู้สึกถึงความมั่งคั่งของผู้ชายที่อ้างตัวว่าเป็นผัวเจ้าของร่างนี้ แต่กระนั้นมันก็ไม่ใช่ที่ที่เขาควรอยู่อยู่ดี เมื่อทุกค่ำคืนที่ผ่านมาตั้งวันที่ฟื้นมาในร่างของวาริ กระทั่งย้ายมาอยู่กับจงเจตที่เมืองหลวง แม้เตียงนอนและสภาพแวดล้อมจะดีอย่างกับอยู่ในฝัน แต่มันเป็นนรกดีๆ ของเขานี่เอง

เมื่อทุกคืนที่ผ่านมาไม่เคยได้นอนเต็มอิ่มเลยสักคืน เขามักจะรู้สึกเจ็บที่หน้าอกคล้ายว่าถูกอะไรหนักๆ ทับไว้ ยามลืมตาขึ้นมากลางดึกก็จะพบกับร่างของวาริเหยียบตัวเองจนหายใจแทบไม่ออก แต่ละวันผ่านไปอย่างยากลำบาก เขาอดนอนและทานอะไรไม่ลง จากใบหน้าขาวผ่องที่ดูอิ่มฟู บัดนี้มีรอยดำใต้ตา ร่างกายอิดโรย

ทุกครั้งที่นอนจะเจอวิญญาณของวาริตามมาหลอกหลอนจนไม่กล้าหลับ ไม่แน่ว่าอีกไม่นานเขาอาจจะตายตามวาริก็ได้

จงเจตบอกว่าจะช่วยเหลือทุกอย่างแต่นอกจากพาไปหาหมอเพื่อเช็กร่างกายก็ไม่เห็นว่าเคยทำอะไรมากกว่านั้น ผลตรวจบอกว่าร่างกายของเขาเป็นปกติ ไม่ได้เห็นภาพหลอน สมองไม่มีอะไรผิดปกติ

แต่กลับเห็นวิญญาณอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

เอาอะไรมาปกติกัน

คีรีอยากหลุดพ้นจากเรื่องบ้าๆ เช่นนี้เต็มกลืน เขาทรมานเหลือเกินที่ไม่ได้พักผ่อน

เย็นวันนั้นจงเจตกลับมาจากที่ทำงาน ร่างสูงเรียกให้เขาไปนั่งคุยที่ห้องโถง

“คีน”

เจ้าของนัยน์ตาคมเข้มยอมรับในที่สุดว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่วาริ แต่เป็นคีรี

“ครับ”

“ฉันหาทางช่วยนายได้แล้ว”

นี่อาจเป็นยิ้มครั้งแรกของคีรีตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา

“จริงเหรอครับคุณเจต คุณหาทางช่วยผมได้แล้วเหรอครับ”

ใบหน้าคร้ามคมพยักขึ้นลงด้วยท่าทีใจดี “ใช่ ที่ผ่านมาฉันรู้ว่านายทรมาน แต่ฉันไม่ได้นิ่งนอนใจ แค่กว่าจะเฟ้นหาคนที่ไว้ใจได้ที่จะจบเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องง่าย ปกติฉันไม่ใช่คนงมงายเลยไม่ค่อยสันทัดกับวงการอาคมพวกนี้ ก็เลยใช้เวลานานหน่อย แต่ครั้งนี้มันเกินจะควบคุมแล้วน่ะถึงจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ต้องให้คนมีความรู้เข้ามาจัดการ”

ชายหนุ่มดีใจจนน้ำตาคลอเบ้า ยกมือไหว้คนอายุมากกว่าด้วยความเคารพและซึ้งในน้ำใจ

“ขอบคุณมากเลยครับ ต่อไปนี้ไม่ว่าคุณเจตจะพูดจะสั่งอะไรผมก็จะทำตามโดยไม่มีข้อแม้ สำหรับความเมตตานี้ที่คุณจะให้แก่กัน ตอบแทนเท่าไรก็ไม่พอครับ”

รอยยิ้มอ่อนโยนผุดพรายขึ้นบนใบหน้ามหาเศรษฐีของประเทศ “วันนี้ฉันเคลียร์งานหมดทุกอย่างแล้ว”

“ครับ?”

“พรุ่งนี้เราจะเดินทางไปหาพ่อหมอ”

คีรีกะพริบตาถี่ “พรุ่งนี้เลยใช่ไหมครับ”

“อาฮะ”

“แปลว่าพ้นพรุ่งนี้ไปผมก็จะได้นอนหลับเต็มอิ่มกับคนอื่นเขาสักทีใช่ไหม”

คู่สนทนาพยักหน้าประกอบคำพูด “ใช่แล้วคีน พ้นพรุ่งนี้ไปนายจะไม่ทรมานอย่างที่ผ่านมาแล้ว”

“ขอบคุณคุณเจตมากเลยครับ ผมกะไว้แล้วเชียวว่าคุณจะต้องช่วยผมได้”

ฝ่ามือหนาลูบไปที่กลุ่มผมสีชานมอย่างแผ่วเบา “ใช่ มีแค่ฉันคนเดียวที่ช่วยนายได้”

ชายหนุ่มระบายยิ้มให้สัมผัสแสนอ่อนโยนที่มาพร้อมน้ำเสียงและแววตาใจดี

“เพราะงั้นนายต้องเป็นเด็กดีของฉันนะ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel