บท
ตั้งค่า

บทที่๑│สิงสู่ (๓)

ช่วงโพล้เพล้ของวันนั้นจงเจตพาคนตัวเล็กไปยังวัดที่เป็นสถานที่จัดงานฌาปนกิจของพลเมืองดี ที่อุตส่าห์เสียสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และเพื่อนมนุษย์คนนั้นดันเป็นคนที่นั่งอยู่ข้างกาย เขาจึงให้ความสำคัญกับผู้เสียชีวิตที่ก็ได้ทราบว่าอีกฝ่ายไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน ถึงได้อาสาจัดงานให้อย่างสมเกียรติ เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ได้ช่วยชีวิตของคนรักเขาไว้

ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยลอบมองใบหน้าด้านข้างของวาริ ที่ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาก็เอาแต่ทำตัวแปลกๆ ทั้งคำพูดคำจาหรือแม้แต่การแสดงออก ถึงกระนั้นเขาก็คิดว่ามันเป็นแค่การแสดงละครตบตาของอีกฝ่าย เป็นมารยาอย่างหนึ่งที่เพิ่งหยิบมาใช้งาน

แล้วจะได้รู้ว่าใช้กับเขาไม่ได้อีกต่อไป

หัวใจของคีรีเต้นไม่เป็นจังหวะ แค่คิดว่าร่างกายของตัวเองตายไปแล้วเขาก็เหมือนจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ผนวกกับที่มีรอยยิ้มของคนในกระจกตามหลอกหลอนก็ทำเอาชายหนุ่มแทบจะเป็นประสาทอยู่รอมร่อ

ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะต้องมาพบเจอเรื่องราวยุ่งเหยิงเช่นนี้

ในที่สุดคีรีก็ร้องไห้โยเยเหมือนเด็กๆ ไม่ต่างจากตอนสูญเสียสมาชิกในครอบครัว เพียงแต่ครั้งนี้เขาสับสนมากกว่าครั้งไหนๆ ที่ต้องทราบข่าวว่าคนที่เสียชีวิตคือตัวเอง

มันเป็นไปได้อย่างไรกัน คนเราสามารถมาอยู่ในร่างของคนอื่นได้แน่หรือ แล้ววิญญาณของผู้ชายคนนั้นล่ะ หายไปไหนแล้ว ตายไปพร้อมร่างกายของเขาหรือไม่

สองมือกุมแน่น หัวใจบีบรัด ในขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นมามองถนนกลับเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างทาง แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านแลดูคุ้นตาเหมือนเคยเห็นมาก่อน แต่เมื่อรถเคลื่อนไปใกล้ๆ ร่างนั้นก็โผล่พรวดมาตัดหน้าจนหัวใจของคีรีกระตุกวูบ ร่างถูกกระแทกอย่างแรงกระทั่งใบหน้าแนบชิดไปกับกระจก สองสายตาประสานกันด้วยความบังเอิญ ของเหลวสีแดงกระเด็นเปรอะไปทั่วทั้งแผ่นกระจก

คีรีส่งเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจจนสารถีอย่างจงเจตเกือบเสียหลัก

ชายหนุ่มรีบนำรถเข้าเทียบไหล่ทางอย่างไม่สบอารมณ์ที่เกือบจะประสบอุบัติเหตุเพราะคนข้างๆ ดันทำให้เสียสมาธิ

“นายจะฆ่าฉันหรือไงฝุ่น!”

เขาสวนทันควัน เสียงเขาสั่นเครือจนแทบจะจับใจความไม่ได้ “คุณ...คุณ เมื่อกี้” หัวใจบีบรัดจนต้องยกมือมากุมหน้าอกไว้ “เห็นไหม”

จงเจตมุ่นคิ้ว “เห็นอะไร”

“คุณคนนั้น”...คนที่เป็นเจ้าของร่างนี้

เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ ไม่ได้เสียชีวิตตรงนี้เสียหน่อย

คีรีพยายามทำใจดีสู้เสือลงไปดู เขารู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ แต่ก็อยากดูให้เห็นกับตาว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นหรือเขาแค่หลอนไปเอง

จงเจตฉงนหนักกับท่าทีแปลกๆ ของวาริ เขาเอ่ยปากรั้งอีกฝ่ายไว้แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว จึงตามลงไปอย่างไม่อิดออด ใจของเขาก็เต้นคร่อมจังหวะจนต้องใช้เวลาพักหนึ่งกว่าจะกลับมาเป็นปกติ เพราะเมื่อครู่ก็เกือบจะเกิดอุบัติเหตุจริงๆ หากตกใจแล้วหักพวงมาลัยเข้าข้างทางจนเสียหลัก แต่เศษเสี้ยวของสติก็ยังคงทำให้บังคับได้อย่างดี

เมื่อลงมาแล้วคีรีก็พบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยของอุบัติเหตุเมื่อสักครู่ ไม่มีร่างของผู้ชายคนนั้น ไม่มีรอยเลือดที่กระเซ็นไปทั่วแผ่นกระจก เขากวาดตาดูรอบข้างก็ไม่พบอะไร ทุกคนยังคงใช้ชีวิตปกติ รถที่ขับขี่ผ่านไปมาก็ไม่มีใครให้ความสนใจกับพวกเขา

เสียงเข้มเจือความหงุดหงิดดังขึ้น “อะไรของนาย คิดจะทำอะไรอีก”

คีรีอ้อมแอ้มตอบ “ขอโทษครับ ผมน่าจะตาฝาดไปเอง”

แล้วจึงหมุนตัวเพื่อเดินกลับไปนั่งในรถ แต่แล้วก็เกิดอาการขาตายเมื่อเจอกับชายผู้นั้นยืนอยู่อีกฟากของถนน ตอนแรกเจ้าตัวอยู่ในชุดเสื้อผ้าปกติ ทว่าตอนนี้กลับมีน้ำหยดจากอาภรณ์ ใบหน้าเขียวช้ำประดับด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือกที่ทำเอาคนมองหนาวสั่นไปถึงขั้วหัวใจ

คีรีรีบสอดกายเข้าไปนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ในรถ และไม่ว่าคนข้างๆ จะเอ่ยถามอะไรเขาก็ไม่ตอบ ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองเพราะเกรงว่าจะเจอกับภาพที่ระทึกขวัญ

ครู่หนึ่งก็มีเสียงแหบพร่าของใครสักคนดังขึ้นจากทางขวามือ ‘กลัวเหรอ’

เป็นเสียงผู้ชายก็จริง และแม้จะเพิ่งได้ยินเสียงของสารถีเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็พอจะทราบว่านี่ไม่ใช่เสียงของคนตัวใหญ่คนนั้น แต่มันเป็นเสียงของคนที่เขาเคยช่วยชีวิตเมื่อคืนที่ผ่านมา

ลมหายใจของคีรีสะดุดกึก สองมือกำชายเสื้อไว้แน่น ขนกายลุกซู่อย่างพร้อมเพรียงกันเมื่อรู้สึกถึงความเย็นที่สัมผัสผิวเนื้อของตน คีรีตัวสั่นจนกักเก็บน้ำตาไว้ไม่อยู่ คนข้างๆ ก็จับสังเกตได้

จงเจตยื่นมือซ้ายไปสะกิดที่ต้นแขน “เป็นอะ-”

คีรีสะดุ้งโหยงจนถดกายไปชิดประตู “ไม่เป็นอะไรครับ” ก่อนสำทับไปอีกประโยค “อย่ามาจับตัวผม”

สารถีแค่นเสียงขึ้นจมูก “จะมาหวงเนื้อหวงตัวอะไรตอนนี้ ทีเมื่อก่อนยั่วฉันอยู่ทุกวัน”

คีรีไม่แน่ใจว่าเจ้าของร่างนี้ประพฤติตัวเช่นไรก่อนที่เขาจะเข้ามาสิงสู่ แต่ที่สั่งห้ามมาจับตัวไม่ได้หมายถึงร่างใหญ่ แต่เป็นคนที่ไม่ได้รับเชิญให้ขึ้นรถต่างหาก

ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นวิญญาณ ไม่มีสัมผัสที่หก เขาเคยอยากมีมันมากเมื่อครั้งสูญเสียครอบครัวไป นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่อยากเห็นวิญญาณ เขายังอยากเจอพ่อ แม่และย่าของตนเอง แต่ไม่มีสักครั้งที่จะสมหวัง แม้แต่ฝันถึงยังไม่เคย ทว่าตอนนี้อย่างกับว่าเขาได้เปิดตาที่สามจึงได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นอย่างวิญญาณ ซึ่งก็ไม่ใช่วิญญาณที่อยากเห็นด้วย

เสียงแหบพร่าติดเยาะเย้ยยังดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ

‘กลัวทำไม’

เขาเงียบ นึกอยากยกมือมาปิดหูเพื่อที่จะไม่ต้องได้ยินเสียงของอีกฝ่ายที่ดังขึ้นเพื่อสั่นประสาทของตน

‘ก็ผีเหมือนกันนี่ ตายแล้วมาอยู่ในร่างคนอื่นเขาทำไม’ มือขาวซีดยังคงเคลื่อนมาเรื่อยๆ กระทั่งมาหยุดอยู่ที่ลำคอ คีรีหายใจไม่ทั่วท้องแม้ว่าอีกฝ่ายจะทำเพียงแตะเบาๆ เขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ เลยด้วยซ้ำ

เสียงตะคอกด้วยความโกรธจัดดังขึ้นข้างหู ‘มึงมาอยู่ในร่างของกูทำไม!’

คีรีก้มหน้างุด เนื้อตัวสั่นเทิ้มพร้อมน้ำตาหลั่งไหลไม่ขาดสาย ยิ่งสร้างความฉงนให้แก่ร่างหนามากกว่าเก่า

“ฝุ่น เป็นอะไรไป”

เสียงของบุคคลที่สามยังดังทะลุโสตประสาท ‘เอาร่างกูคืนมา!’

ชายหนุ่มสะอื้นไห้ ยกมือมาปิดหูไว้ทั้งสองข้างหวังให้เสียงนั้นตามมาหลอกหลอนไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้มาอยู่ในร่างนี้ ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงไม่ตายทั้งๆ ที่ร่างกายตายไปแล้ว แต่วิญญาณกลับเข้ามาสิงสู่ในร่างของคนอื่น เขาไม่เคยตั้งใจให้ทุกอย่างเป็นเช่นนี้ มันอยู่เหนือความคาดหมายและใจจริงคีรีต้องการแค่ช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์เท่านั้น เขาต้องการพาคนคนนั้นขึ้นมาจากน้ำให้ได้ แต่ก็ทำไม่ได้จนตัวเองต้องตายตกไป

ไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะได้ลืมตาตื่นมามีลมหายใจอีกครั้ง แม้จะอยู่ในร่างคนอื่นก็ตาม แต่เขาไม่ได้ตั้งใจจะขโมยร่างกายของใครสักหน่อย จะมาโกรธแค้นกันได้อย่างไร

ฝ่ามือเย็นยะเยือกที่วางทาบบริเวณลำคอค่อยๆ ออกแรงบีบ ‘อย่าคิดว่ามึงจะมีความสุขที่ได้แย่งร่างของกูไปเลย’

คีรีสำลักน้ำลายอย่างหนัก เขาพยายามยกมือมาฉุดดึงฝ่ามือนั้นให้คลายออก แต่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถปลดพันธนาการนั้นได้ สร้างความฉงนให้คนมองอย่างจงเจตเป็นอย่างมาก

รถถูกจอดเทียบไหล่ทางเป็นครั้งที่สองเมื่อจงเจตเห็นว่าวาริยกมือมาบีบคอตัวเอง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความทรมาน ฝ่ามือหนาจึงเอื้อมไปช่วยดึงออก ยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่พักหนึ่งกว่ามือของวาริจะปล่อยให้ลำคอขาวผ่องเป็นอิสระ แต่บัดนี้กลับมีริ้วสีแดงขึ้นจนน่ากลัว

ปกติวาริหาใช่คนแรงเยอะ แต่วันนี้ช่างแปลกนัก

“ฝุ่น นายเป็นอะไรไปน่ะ”

คีรีรู้ว่าฝุ่นไม่ใช่ชื่อของตนเองและน่าจะเป็นชื่อของชายคนที่ทำร้ายตน แต่พออีกฝ่ายถามก็อดจะตอบไม่ได้ “คุณครับ ผมกลัว”

หนนี้เขาปรับเสียงให้นุ่มนวลกว่าเก่า อาจจะเพราะแววตาของวาริเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น มันคลอไปด้วยน้ำสีใสจนน่าสงสารจับใจ นาทีนี้ถึงจะโง่ให้วาริหลอก จงเจตก็เต็มใจให้หลอก

“กลัวอะไร เฮียอยู่ตรงนี้แล้ว” ว่าพลางดึงรั้งคนตัวเล็กมากอดปลอบ ลูบไล้แผ่นหลังบอบบางอย่างอ่อนโยน “ไม่มีอะไรต้องกลัว”

จงเจตเกลียดตัวเองเหลือเกินที่ไม่เคยเอาชนะคนคนนี้ได้เลย ทั้งๆ ที่ทุกอย่างระหว่างเขากับวาริเป็นเพียงแผนของครรชิต คนที่วาริรักจริงๆ มันแค่ส่งวาริมาเป็นหนอนบ่อนไส้เพื่อล้วงข้อมูลบริษัทของเขา แล้ววาริก็ทำ ทำโดยไม่รู้สึกผิดต่อเขาสักนิด

แต่เขารักไปแล้ว...

ย้ำกับตัวเองเป็นพันๆ ครั้งว่าอย่าให้อภัยคนคนนี้ อย่าเชื่อใจหรือหลงกลอะไรอีก แต่แค่เห็นน้ำตาของคนรัก กำแพงหัวใจที่พยายามก่อขึ้นเพื่อเป็นป้อมปราการก็พังครืนลงมาในพริบตา

ตอนนั้นเอง คีรีไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของวิญญาณอาฆาตตนนั้นแล้ว

“ผมกลัวคุณฝุ่น”

ฝ่ามือหนาชะงักงัน ร่างสูงค่อยๆ ผละตัวออกจากคู่สนทนาแล้วจ้องหน้าอย่างเค้นคำตอบอยู่ในที

คนตัวเล็กกล่าวชัดถ้อยชัดคำ “ผีคุณฝุ่นคือสิ่งที่ผมกลัวครับ”

“เล่นตลกอะไร”

“ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร จนตอนนี้ก็ยังไม่รู้จักชื่อของคุณด้วยซ้ำ แต่ที่รู้คือผมไม่ใช่ฝุ่นที่คุณเอาแต่เรียกหา ผมชื่อคีน”

จงเจตจำข้อมูลเบื้องต้นของพลเมืองดีได้ คีน คีรี รุ่งวิจิตร ชาตะ ๑๘ เมษายน ๒๕๔๒ มรณะ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๗

เพราะวาริเองก็เกิดวันที่สิบแปด เดือนเมษายนในปีเดียวกันกับพลเมืองดี

ทั้งวาริและคีรีอายุยี่สิบห้าเท่ากัน...

“อย่าพูดบ้าๆ”

คีรีส่ายหน้าพัลวัน “ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนชื่อฝุ่น ได้รู้ชื่อของเขาก็เพราะคุณเอาแต่เรียก เพราะผมไม่ใช่เขา ผมคือคีน คีนที่พวกเราสองคนกำลังไปงานศพของเขาไงครับ คนคนนั้นคือผมคนนี้”

“ไม่จริง นายคือฝุ่น นายคือเมียของฉัน”

“ผมไม่ใช่ฝุ่น ผมชื่อคีน คีน คีรี รุ่งวิจิตร นั่นต่างหากคือผม”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel