บทที่๑│สิงสู่ (๒)
“ให้จับกระแทกเลยไหมถึงจะสำนึกได้ว่าเราเป็นผัวเมียกัน”
ชายหนุ่มตกตะลึงกับคำถามเชิงข่มขู่ของคู่สนทนา รอบนี้เขาสลัดมนตร์สะกดบ้าๆ นั่นได้ก่อนจึงรีบยื่นมือไปหวังดันตัวอีกฝ่ายออก แต่ชายคนนั้นกลับผละตัวไปก่อน
“เพิ่งคิดได้เหรอว่าเกลียดฉัน หลังจากที่ยั่วฉันมาได้เป็นปีๆ อะนะ”
ไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไรออกมา ประตูห้องพักฟื้นก็ถูกเปิดออกโดยคนด้านนอกที่มีถึงสองคน การแต่งกายแลดูภูมิฐานไม่ต่างจากคนคนนี้
พวกเขามาพร้อมถุงอาหารเต็มไม้เต็มมือ
“นายน้อยฟื้นแล้วเหรอครับ” ภานุเอ่ยถามพร้อมค้อมศีรษะให้คนป่วยอย่างมีมารยาท เห็นริ้วความคุกรุ่นบนใบหน้าคร้ามคมของผู้เป็นนายก็เลือกที่จะสงบปากสงบคำแล้วเดินนำเพื่อนสนิทอย่างกิจจาตรงไปยังโซฟา หลังนำของทั้งหมดที่ถือวิสาสะไปซื้อมาเองตั้งลงบนโต๊ะเป็นที่เรียบร้อยก็หันไปพูดกับคนที่มีศักดิ์สูงกว่าตน “นายทานข้าวก่อนนะครับ แล้วถ้าจะงีบสักตื่นเดี๋ยวพวกผมจะมาเฝ้าไข้นายน้อยให้”
เจ้านายของภานุสาดสายตาคมกริบใส่ผู้พูดทันที “ทำไมจะต้องเฝ้า คนแบบนี้ยังไม่ถึงฤกษ์ตายหรอก”
โดนสวนอย่างนั้นก็จนปัญญาจะตอบโต้ พอดีกับที่กิจจาสะกิดแขนยิกๆ ทั้งสองจึงตั้งท่าจะออกไป แต่แล้วก็นึกอะไรขึ้นได้เสียก่อน “แจ้งพยาบาลไปยังครับว่านายน้อยฟื้นแล้ว”
“ยัง ออกไปก็ฝากบอกด้วย”
ทั้งสองจึงรีบพาตัวเองออกจากห้องพักฟื้นของเมียเจ้านาย
คล้อยหลังบานประตูปิดลง กิจจาก็โพล่งขึ้น “ไอ้พบไอ้เวร! มึงก็ไปอาสาไม่เข้าเรื่องเดี๋ยวก็ได้โดนพ่องับหัวหรอก” เขาทอดถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ก็รู้ว่านายรักนายน้อยยิ่งกว่าอะไร ขนาดเกิดเรื่องพรรค์นั้นยังไม่คิดจะเลิก”
กิจจามั่นใจว่าสิ่งที่ตนเองคิดนั้นถูกต้อง เพราะตอนที่ทราบข่าวว่าคนรักหายออกไปจากบ้านเจ้านายก็กระวนกระวายจนอยู่ไม่สุข ยิ่งได้รับข่าวร้ายว่าวาริประสบอุบัติเหตุทางน้ำในพื้นที่พัฒนานิคม เจ้าตัวก็ตรงดิ่งมายังจังหวัดลพบุรีทันที ไหนยังนอนเฝ้าทั้งคืนข้าวปลาก็ไม่ยอมทาน ไม่เรียกรักเรียกห่วงจะเรียกอะไร
เจ้านายของเขาเอาชนะคนได้เป็นร้อยเป็นพัน แต่กลับพ่ายให้กับวาริครั้งแล้วครั้งเล่า
“ว่าไปนั่น มึงไม่รู้เหรอกิตว่าศัตรูควรเก็บไว้ใกล้ตัว ปล่อยไปก็ได้ใจเปล่าๆ สู้เก็บไว้ให้ขยับตัวทำอะไรไม่ถนัดดีกว่า นายมึงไม่ใช่คนโง่”
“เรื่องธุรกิจอะไม่โง่ แต่-”
ภานุส่ายหน้าให้เพื่อน “ไม่ต้องพูด ปล่อยเขาไปเหอะ เขาไม่เคยรักใคร”
“ก็แล้วทำไมต้องมารักคนแบบนี้”
สองหนุ่มทอดถอนลมหายใจอย่างเหนื่อยล้ากับเรื่องหัวใจของนักธุรกิจหนุ่ม หลังแจ้งทางพยาบาลเรียบร้อยก็เดินทางกลับไปยังพัฒนานิคมเพื่อที่จะเป็นฝ่ายประสานงานให้กับพลเมืองดี
คล้อยหลังการไปของคนทั้งสอง ห้องพักฟื้นก็กลับมาสงบอีกครั้ง
ผู้ชายคนที่อ้างตนว่าเป็น ‘ผัว’ ของคนป่วยเลือกที่จะเดินไปนั่งที่เดิม ไม่สนใจอาหารที่ตั้งอยู่ใกล้กันแต่กลับคว้าไอแพดมาถือไว้แล้วเพ่งสายตาไปที่หน้าจอด้วยท่าทีขะมักเขม้น เขาจึงไม่คิดจะถามอะไรแม้จะมีเรื่องที่สงสัยอยู่มากก็ตาม
ครู่สั้นๆ จากนั้นพยาบาลก็เดินเข้ามาพร้อมรถเข็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ เขาใช้ความเป็นมิตรของตัวเองในการชวนหญิงสาวชุดขาวคุย จึงได้รู้ว่าตัวเองเข้าโรงพยาบาลเพราะจมน้ำ
เรื่องนั้นจำได้อยู่แล้ว ก็เขาเป็นคนกระโดดลงไปช่วยพ่อหนุ่มเจ้าอารมณ์คนนั้นเองกับมือ
อดจะนึกถึงไม่ได้ ใจก็หวังให้คนผู้นั้นรอดชีวิต เพราะขนาดว่าเขาจมดิ่งจนคิดว่าคงต้องตายแน่ๆ ยังรอดมาได้ อีกฝ่ายก็คงไม่ต่างกัน “พี่ครับ แล้วอีกคนเขาพักอยู่ห้องไหนครับ”
พยาบาลสาวมุ่นคิ้วให้ผู้ป่วย “คะ?”
“คนที่ตกน้ำกับผมน่ะครับ ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”
เจ้าหล่อนมองคนป่วยที คนเฝ้าไข้ที “เอ่อ คุณมาคนเดียวนะคะ” เพราะเธอเป็นบุคลากรทางการแพทย์ มีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นในจังหวัดก็มักจะรู้ถึงกันหมด กรณีนี้ก็ด้วย แต่จู่ๆ ก็ปากหนักไม่กล้าบอก “เรียบร้อยแล้วค่ะ ยังไงก็พักผ่อนเยอะๆ นะคะ ถ้าน้ำเกลือถุงนี้หมดก็กลับบ้านได้ค่ะ”
เขารับคำอย่างว่าง่ายแล้วจึงหันไปทางผู้อาศัยร่วมห้องที่ก็เพิ่งรู้ว่าโดนจ้องอยู่ก่อนแล้ว ก็ไหนว่าทำเหมือนสนใจงานในมืออยู่ไง
“คุณพอจะทราบไหมครับว่าผู้ชายอีกคนที่-”
“ที่ช่วยชีวิตนายใช่ไหม” คีรีรีบส่ายหน้า เพราะเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายช่วยคนคนนั้น
คนตัวสูงแค่นหัวเราะอย่างไม่ปิดบังความรู้สึกที่ต้องพบเจอกับความเลือดเย็นของคนป่วยไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
“ขนาดว่าเขายอมสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเหลือนาย นายก็ยังมองไม่เห็นความดีของเขาน่ะรึ สายตาถั่วๆ ของนายมันมองเห็นแค่ความดีของไอ้คมหรือไง!”
คีรีไม่สนใจว่าไอ้คมที่อีกฝ่ายเอาแต่พูดถึงคือใคร เมื่อความสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ที่ประโยคข้างต้น “คุณหมายความว่าไง อะไรคือสละชีวิต คุณคนนั้นเขาไม่รอดเหรอครับ”
ชายร่างสูงพยายามควบคุมอารมณ์ให้เป็นปกติ “อือ เขาเสียแล้ว ถ้านายได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วฉันจะพาไป ตอนนี้ไอ้พบกับไอ้กิตก็ไปจัดการทางนั้นให้อยู่”
ห้องพักฟื้นพิเศษนั้นมีโทรทัศน์ในห้อง และคีรีเพิ่งจะได้สังเกตว่าเงาที่สะท้อนกลับมาไม่ใช่ตัวเอง นัยน์ตาเรียวรีเบิกกว้างก่อนพยายามปีนลงจากเตียง แม้จะไม่รู้แน่ชัดว่าอะไรเป็นอะไรแต่ก็สังหรณ์ใจว่าคงเกิดเรื่อง ‘บางอย่าง’ กับตนเองเข้าให้แล้ว ตั้งแต่ตื่นมาเจอใครที่ไหนไม่รู้เอาแต่พูดจาค่อนขอด ไหนยังเรียกขานเขาว่าฝุ่นแทนที่จะเป็นคีน
ทว่ายังไม่ทันที่เท้าจะแตะพื้น คนที่นั่งอยู่บนโซฟาก็ปรี่มาหาด้วยใบหน้าดุดันทันที “จะไปไหน”
“ผม...ผม” เขาอ้ำอึ้งไปครู่หนึ่ง “อยากเข้าห้องน้ำครับ”
คีรีจึงได้รับการช่วยเหลือจากอีกฝ่าย ในท้ายที่สุดเข้าก็เขามาอยู่ในห้องน้ำ
ภาพสะท้อนจากกระจกเงาบอกกับเขาว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้คือผู้ชายคนนั้น คนที่ตัดสินใจกระโดดสะพาน ไม่ใช่เขา ไม่ใช่คีรี
ความตระหนกกระแทกใจเข้าเต็มเปา เขาปากคอสั่นรีบยื่นมือขึ้นมาลูบคลำใบหน้าของตนเองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา แต่ภาพที่สะท้อนก็บอกว่าทุกอย่างเกิดขึ้นจริง ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ผ่านการบำรุงอย่างดีต่างกับใบหน้าของเขาที่มีผิวคล้ำแดดเนื่องจากงานประจำอย่างพนักงานขนส่ง
ผมรองทรงสูงสีดำไม่เคยผ่านการย้อมก็แปรเปลี่ยนเป็นผม Two Block และ Mullet สีชานมเทาหม่น ฝ่ามือสากหยาบกร้านจากการตรากตรำทำงานก็นุ่มลื่นเพื่อยืนยันว่าผ่านการดูแลรักษาอย่างดี ผิวขาวราวน้ำนม รอบเอวคอดกิ่วอย่างกับผู้คนที่อยู่หน้านิตยสาร ซี่ฟันเรียงตัวสวยงาม กลิ่นกายหอมกรุ่น
นี่ไม่ใช่คีรี นี่มันคนเจ้าอารมณ์คนนั้นชัดๆ
แล้วเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ความทรงจำสุดท้ายเขาได้จมดิ่งลงใต้น้ำพร้อมๆ กับเจ้าของร่างนี้ รู้ตัวอีกทีก็ลืมตาตื่นมาในโรงพยาบาลในร่างของคนอื่น ถ้าเป็นเช่นนั้นคนที่เสียชีวิตก็คือคนคนนั้นที่อยู่ในร่างของเขาอย่างนั้นหรือ
ดวงตาเบิกโตด้วยความตกใจขีดสุด เขาตกใจมากกว่าทุกครั้ง
เพราะแบบนั้นก็แปลว่าร่างกายของเขาตายไปแล้วน่ะสิ!
ในขณะที่ดวงตาเบิกกว้าง ภาพสะท้อนจากกระจกกลับไม่เป็นเช่นนั้น รอยยิ้มผุดพรายขึ้นบนใบหน้าที่อยู่ในกระจกเงาแม้ว่าเขาจะมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ยิ้มอยู่ก็ตาม
คีรีตะลีตะลานกระชากสายน้ำเกลือทิ้งอย่างไม่ไยดีแล้วจึงวิ่งออกจากห้องน้ำเพื่อไปหาคนที่นั่งอยู่บนโซฟา “คุณ! ช่วยผมด้วย”
คนตัวใหญ่หรี่ตาแคบ “อะไร”
“ผีหลอกครับ ผีมันหลอกผม”
คนฟังแค่นหัวเราะ เขาเดาไม่ออกเลยว่าวาริมาไม้ไหน รู้เพียงคนคนนี้มีมารยาร้อยเล่มเกวียนและพร้อมหยิบยกมันมาใช้กับเขาเสมอ ซึ่งหลังจากตาสว่างแล้วเขาก็ไม่คิดจะหลงกลอุบายอะไรของเจ้าตัว
ฝ่ามือหนายื่นไปกระตุกข้อมือบางจนร่างแน่งน้อยล้มลงบนตักแกร่ง กระซิบเสียงแผ่วเบาชิดริมหู “ไม่มีผีที่ไหนหลอกเก่งกว่าที่นายหลอกว่ารักฉันแล้วล่ะฝุ่น”