๓.๑ สิ่งที่ต้องสูญเสีย
๓
สิ่งที่ต้องสูญเสีย
รถยุโรปคันหรูสมฐานะลูกชายเจ้าของโรงพยาบาลเอกชน แล่นออกจากคฤหาสน์ที่ใหญ่โตหรูหรามากที่สุดในย่านชุมชนแถบนั้น แม้จะเป็นช่วงกลางวันแต่ถนนก็ไม่ได้โล่งเลยสักนิด ซึ่งเป็นเรื่องปกติของกรุงเทพฯ ที่การจราจรหนาแน่นมากกว่าเมืองใดๆ อยู่แล้ว บวกกับเป็นเวลาเที่ยงพอดีทำให้รถรายิ่งมากกว่าเดิม รถคันนั้นจึงแล่นได้ไม่เร็วมากนัก และความโดดเด่นของรถที่สวยและดูแพงกว่ารถทั่วไป เลยกลายเป็นอาหารตาของรถคันอื่นๆ และคนที่ยืนรอรถอยู่ข้างทางไปโดยปริยาย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมถึงชายหนุ่มที่ใส่ชุดนักศึกษาผูกเนกไทอย่างเรียบร้อย ที่กำลังยืนรอรถเมล์อยู่ที่ป้ายรถประจำทาง
มันเป็นช่วงเวลาเที่ยงวันของการฝึกงานวันแรก แต่เขาต้องกลับมากินข้าวที่บ้านและเอาเอกสารบางอย่างไปให้ทางฝ่ายบุคคลของบริษัทที่ต้องการเพิ่มเติม ตลอดช่วงครึ่งวันแรกเขาแทบจะไม่มีสมาธิกับการฝึกงาน เพราะบ่อยครั้งที่ใจพะว้าพะวงและนึกเป็นห่วงสาวน้อยผู้เป็นที่รัก ซึ่งติดต่อกันไม่ได้ตั้งแต่ช่วงค่ำของเมื่อวาน ทว่าเขาก็พยายามควบคุมตัวเองให้จดจ่ออยู่กับการเรียนรู้ และทำหน้าที่นักศึกษาฝึกงานให้ดีที่สุด
หัวใจของคนยืนรอรถกระตุกวาบ เมื่อสายตามองเห็นรถหรูคันนั้นแล่นผ่าน เขาไม่ได้สะดุดตัวรถเท่ากับคนที่นั่งเคียงคู่กับคนขับอยู่ด้านหน้า ผู้หญิงหน้าตาน่ารักหมดจดคนนั้น คือคนที่ซุกซ่อนอยู่ในใจของเขามาหลายปี แม้เพียงเห็นผ่านๆ เขาก็จำได้แม่น
“เอม...” เสียงขรึมๆ พึมพำชื่อนั้นผ่านริมฝีปากออกมา
เขาไม่อยากอคติ ไม่อยากตัดสินกับเพียงภาพที่เห็น เขาไม่เชื่อว่าน้องเอมของเขาจะเห็นแก่ความหรูหราสะดวกสบาย ทว่ามันก็อดคิดไม่ได้ว่านั่นคือสิ่งที่เหมาะสมกับเธอ เธอดูสุขสบายมากกว่านั่งซ้อนท้ายรถจักรยานของเขา หรือบางทีเขาควรถอยห่าง เพื่อให้ผู้หญิงที่รักได้รับสิ่งที่ดีที่สุด
กวินภพเผลอกำมือเข้าหากันแน่น เมื่อตระหนักถึงสถานะที่แท้จริงของตัวเอง ว่ามันช่างต่างกันลิบลับราวฟ้ากับเหว แต่ใจอีกฝ่ายก็แย้งขึ้นมาว่า แม้วันนี้เขาจะยังติดลบและไร้ซึ่งต้นทุนชีวิต ทว่าหนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล เขาควรมุ่งมั่นกับสิ่งที่ตั้งใจ เพื่อในวันหนึ่งหากว่าเอมมาลินยังรักมั่น เขาจะทำให้พ่อของเธอยอมรับเขา และพิสูจน์ตัวเองให้คุณธนินได้เห็นว่า เขาสามารถดูแลและทำให้เอมมาลินมีความสุขได้
เอมจองพี่อิสร์แล้วนะ
คำพูดอันแสนหวานในวันวานยังก้องอยู่ในหู มันคือน้ำทิพย์ที่ชโลมใจยามที่ต้องเผชิญกับความหวั่นไหวหวาดหวั่นเช่นเดียวกับในตอนนี้
แต่...
ขอเพียงน้องเอมยังรักมั่น…
พี่อิสร์ก็จะหนักแน่นและไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด…
ขณะที่ใครหลายคนมองเข้ามาในรถอย่างอิจฉา และคิดว่าคนทั้งคู่จะต้องมีความสุขมากแน่ๆ กับความร่ำรวยหรูหราที่เหมือนกับพระเจ้าประทานมาเป็นของขวัญ ทว่าแววตาของคนที่นั่งอยู่ในรถกลับไร้ชีวิตชีวาอย่างสิ้นเชิง มันเป็นอย่างนั้นตั้งแต่ขึ้นรถมา กระทั่งลงจากรถแล้วก้าวเข้าไปในห้างสรรพสินค้าชื่อดังด้วยกัน
“น้องเอมอยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย” แทนไทหันมาถามสาวน้อยที่เดินเงียบๆ อยู่ข้างกายอย่างเอาใจใส่เป็นพิเศษ
“อะไรก็ได้ค่ะ”
“งั้นไปกินไอศกรีมกันนะ กินอะไรหวานๆ เย็นๆ เผื่อน้องเอมจะสบายใจขึ้น”
สิ่งที่แทนไทเลือกก็ยังเป็นไปตามศาสตร์ที่ตัวเองเรียนมา และเอมมาลินก็ทำเพียงแค่พยักหน้าตอบรับ แล้วเดินตามเขาเข้าไปในร้านไอศกรีม
ไอศกรีมรสช็อกโกแลตคือรสที่แทนไทสั่งให้ เอมมาลินตักเข้าปากได้ไม่กี่คำก็นั่งเขี่ยเล่น จนไอศกรีมในถ้วยละลายทิ้งเกือบหมด
เมื่อเห็นว่าสาวน้อยยังไม่มีทีท่าว่าจะสบายใจขึ้น จิตแพทย์หนุ่มก็พาเธอไปดูหนัง ซึ่งในโรงหนังเอมมาลินก็ยังคงนั่งเงียบๆ คล้ายดั่งว่าเรื่องราวในภาพยนตร์ ไม่ได้อยู่ในความสนใจของเธอเลย
เกือบสี่โมงเย็นกว่าหนังเรื่องนั้นจะจบ คราวนี้เอมมาลินดูมีปฏิกิริยาตอบโต้มากขึ้น โดยเฉพาะในระหว่างทางที่แทนไทขับรถพาเธอกลับไปส่ง
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างในวันนี้นะคะ” เอมมาลินหันมากล่าวขอบคุณ ขณะรถของแทนไทกำลังแล่นใกล้เข้าบ้าน บ้านที่ไม่ใช่บ้านของเธออีกต่อไป
“พี่ยินดี ถ้าเอมมีอะไรให้พี่ช่วยอีกก็บอกนะ”
“เอมอาจจะไม่ได้รบกวนพี่หมออีกแล้ว แต่ถ้ามีโอกาสเอมคงได้ตอบแทนบุญคุณค่ะ”
“ทำไมเอมพูดจาแปลกๆ เหมือนกับว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีก”
“ใครจะไปรู้อนาคตคะ เอมก็พูดไปอย่างนั้น เพราะอะไรๆ ในวันข้างหน้ามันอาจจะไม่แน่นอน” น้ำเสียงยามพูดนั้นหม่นเศร้า แม้จะฝืนมากเพียงใดก็ตาม แต่แทนไทเข้าใจเพียงว่า เป็นเพราะเอมมาลินกำลังจะจากบ้านไปไกล โดยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วสาวน้อยกำลังคิดอะไรอยู่
“เอมแค่ไปเรียนต่อ อีกสี่ปีก็กลับมาแล้ว ยังไงเราก็ได้เจอกันอีก อย่าลืมสิว่าพ่อของเราเป็นเพื่อนกันนะ”
“ค่ะ” เอมมาลินตอบรับแค่สั้นๆ ก่อนจะชี้นิ้วไปข้างหน้าซึ่งเป็นซอยทางเข้าหมู่บ้านจัดสรร “พี่แทนจอดให้เอมลงตรงนั้นก็ได้ค่ะ”
“เอมไม่ให้พี่ไปส่งที่บ้านเหรอ”
“เอมจะแวะหาเพื่อนน่ะค่ะ”
“อ้อ...” แทนไททำเสียงรับรู้ แล้วตีไฟเลี้ยวซ้ายพร้อมกับหักพวงมาลัยเข้าข้างฟุตบาท
“ขอบคุณพี่แทนอีกครั้งนะคะ เอมไปนะ” เอมมาลินกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะผลักประตูรถลง แล้วเดินเข้าไปในซอยที่ตัวเองคุ้นเคยเป็นอย่างดี
อีกห้านาทีต่อมา ร่างบางก็มายืนหน้าบ้านซึ่งอยู่ท้ายสุดของซอย สายตาสอดส่ายหาเจ้าของบ้าน เมื่อไม่เจอจึงกดกริ่งเรียก รอไม่นานกรองทองก็เปิดประตูออกมา และทันทีที่รั้วบ้านเปิดออก ไร้สิ่งขวางกั้น เอมมาลินก็โผเข้าไปกอดหญิงวัยกลางคนที่ตนรักดั่งแม่คนที่สองเอาไว้แน่น พร้อมกับเอ่ยเรียกด้วยเสียงสั่นเครือ
“น้ากรอง...”
“หนูเอม เป็นอะไรลูก” กรองทองกอดตอบอย่างอ่อนโยนเพื่อปลอบใจ และค่อนข้างตกใจเมื่อรู้สึกได้ว่าร่างบางในอ้อมกอดนั้นสั่นเทา
“พี่อิสร์อยู่มั้ยคะ”
“พี่อิสร์ไปฝึกงานวันแรกลูก ตอนนี้คงเลิกงานแล้ว นี่ก็น่าจะกำลังกลับ เข้าบ้านก่อนมั้ย ไปรอพี่อิสร์ในบ้านก็ได้” กรองทองจะจูงแขนเล็กเข้าในบ้าน ทว่าเอมมาลินรั้งเอาไว้พร้อมกับส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ
“ไม่ค่ะน้ากรอง เอมมีเวลาไม่มากค่ะ เอมแค่จะมาลาน้ากรองกับพี่อิสร์”
“ลาไปไหนหนูเอม เกิดอะไรขึ้น”
“เอมจะไปอยู่กับน้าอรที่ภูเก็ตค่ะ”
“แล้วบอกคุณพ่อหรือยังลูก” กรองทองเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ดูจากสีหน้าและแววตาของเอมมาลิน เธอก็รู้ว่าสถานการณ์น่าจะไม่สู้ดีนัก
“ไม่ค่ะ พ่อไม่รักเอมแล้ว เอมก็เลยตัดสินใจว่าจะไม่ไปเรียนต่อ เอมไม่อยากอยู่เป็นส่วนเกิน ไม่อยากทำให้พ่อสิ้นเปลืองเงินทองในส่วนที่ควรจะเป็นของพ่อกับครอบครัวใหม่”
“ใจเย็นๆ ก่อนนะลูก น้าว่าคุณพ่อรักและหวังดีกับหนูเอม เพียงแต่อาจจะมีเรื่องที่ไม่เข้าใจกันเท่านั้นเอง เชื่อน้านะคะเด็กดีว่าอีกไม่นานทุกอย่างจะดีขึ้น มีอะไรก็คุยกับคุณพ่อตรงๆ น้าเชื่อว่าคุณพ่อพร้อมจะรับฟัง และถ้าหนูเอมโตขึ้นกว่านี้ หนูเอมอาจจะเข้าใจคุณพ่อ” กรองทองเอ่ยออกมาอย่างเป็นกลาง อย่างคนที่เป็นแม่คนและเข้าใจหัวอกของพ่อแม่ ลูกชายของเธอก็ขาดพ่อ เธอรู้ดีว่าลึกๆ แล้วกวินภพก็คงว้าเหว่ ทว่าเธอก็พยายามเติมเต็มให้ลูก แต่พ่อของเอมมาลินอาจจะไม่สามารถเติมเต็มความรักให้ลูกสาวได้เท่าที่ควร ด้วยเพราะเขาแต่งงานใหม่ มีภรรยาและมีลูกเพิ่มขึ้นมา จึงทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเขากับลูกสาวคนโต