บทย่อ
ร่างบางดำดิ่งลึกลงเรื่อยๆ ร่างกายทุรนทุรายเพื่อความอยู่รอด แต่ใจเธอยอมแพ้แล้ว มันอึดอัด มันหนาวเหน็บ นี่สินะความตาย ความตายของเธอที่พี่อิสร์ต้องการ เอมทำให้แล้วนะคะ หวังว่าการกระทำของเอมในครั้งนี้ จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เอมทำให้พี่อิสร์มีความสุข ขอให้ความรักความแค้นระหว่างเราจบลงแค่นี้ เอมเจ็บ เจ็บจนไม่อยากจะหายใจแล้วเช่นกัน ขอบคุณที่บอกให้เอมมาตาย มันน่าจะเป็นหนทางดับทุกข์ที่ดีที่สุดของเอมแล้ว ลาก่อนค่ะพี่อิสร์...นิยายเรื่อง ใจร้าย เป็นเล่มที่ 5 ในชุดเมียที่(ไม่)รักซึ่งในชุดนี้มีทั้งหมดห้าเรื่อง ดังนี้ค่ะ๑. เมียคืนแรม (ปรัชญ์-ธรินดา)๒. เมีย(ไม่)พลอยโจน (ปราณต์-นัสริน)๓. ตะวันพ่ายจันทร์ (รังสิมันต์-จันทริกา)๔. กริชเพียงขิม (ศาสตรา-ภัคธีมา)๕. ใจร้าย (กวินภพ-เอมมาลิน)
๑.๑ เอมจองพี่อิสร์แล้วนะ
๑
เอมจองพี่อิสร์แล้วนะ
สภาพการจราจรยามพลบค่ำยังคงแออัดเช่นเดียวกับทุกวัน อากาศช่วงปลายเดือนเมษายนซึ่งเป็นฤดูร้อน ยิ่งทำให้เมืองที่แออัดไปด้วยผู้คนและตึกรามบ้านช่อง ทวีความร้อนอบอ้าวมากขึ้นไปเป็นเท่าตัว ผู้คนที่อยู่บนยวดยานและสัญจรไปมาบนท้องถนน สีหน้าล้วนแต่ปราศจากรอยยิ้ม หากทว่ากลับเป็นข้อยกเว้นสำหรับชายหนุ่มในชุดกางเกงยีนเสื้อช็อปสีแดงเลือดหมูที่ปักตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยชื่อดัง โครงหน้าคมคร้ามหล่อเหลาเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ดวงตาเปล่งประกายแห่งความสุขออกมาอย่างน่าอิจฉา เหมือนดั่งว่าสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายเหล่านั้นไม่สามารถทำอะไรเขาได้
ร่างสูงเกือบหกฟุตก้าวลงจากรถเมล์ แล้วตรงไปยังร้านบะหมี่ข้างทาง ที่มีหญิงวัยกลางคนกำลังจัดวางเก้าอี้อยู่ หนังสือในมือสองสามเล่มกับถุงพลาสติกที่มีต้นไม้ชนิดหนึ่งอยู่ข้างในถูกวางไว้ใกล้ๆ กับรถเข็น ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบกระวีกระวาดไปช่วย ท่าทางการหยิบจับโต๊ะอะลูมิเนียมสีแดงขณะนำมันมากางเป็นไปอย่างคล่องแคล่วและกระตือรือร้น ปราศจากอาการเก้กังเคอะเขินโดยสิ้นเชิง และในอีกไม่กี่นาทีต่อมา โต๊ะสี่ห้าตัวกับเก้าอี้พลาสติกเข้าชุด ก็พร้อมให้ลูกค้าที่เป็นขาประจำและขาจรได้นั่งกินบะหมี่ริมทาง
“สอบกี่วิชาลูก ทำไมวันนี้กลับค่ำจัง” กรองทองถามลูกชายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่ได้มีท่าทีเคลือบแคลงระแวงสงสัยหรือตำหนิติเตียนใดๆ เพราะลูกชายของตนเป็นเด็กดีตลอด ไม่เคยทำตัวเหลวไหล เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กกระทั่งเรียนอยู่ปีสาม แม้พฤติกรรมบางอย่างจะมีเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามวัย แต่ก็ไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง เหมือนดั่งคนบนฟ้าส่งลูกชายคนนี้มาเป็นของขวัญ ช่วยเยียวยาความเจ็บปวดในชีวิตของเธอ
“สอบสองวิชาครับแม่ สอบเช้าวิชาหนึ่ง บ่ายวิชาหนึ่ง จริงๆ อิสร์สอบเสร็จตั้งแต่บ่ายสี่โมงแล้วละ แต่ที่ไม่ได้กลับบ้านเลยก็เพราะอิสร์ไปเอาต้นไม้ที่สั่งไว้”
“ต้นอะไรเหรอลูก”
“ต้นไม้ของขวัญวันเกิดน้องเอมน่ะครับ พรุ่งนี้วันเกิดน้องเอม”
“จริงสินะแม่ลืมไปเลย งั้นพรุ่งนี้พาน้องมากินข้าวที่บ้านนะลูก เดี๋ยวแม่จะทำเค้กส้มของโปรดหนูเอมไว้รอ”
“ครับ”
เป็นคำตอบรับสั้นๆ แต่กรองทองรู้ดีว่าลูกชายของตนจะทำตามที่พูด กวินภพกับเอมมาลินคบหากันด้วยความรักแบบบริสุทธิ์และอยู่ในสายตาเธอมาตลอดหลายปี มันเริ่มจากความสัมพันธ์แบบพี่ชายกับน้องสาว ก่อนจะพัฒนาเป็นความรู้สึกลึกซึ้งที่มากกว่าความผูกพัน แม้ตนจะรู้อยู่แก่ใจดีว่าสักวันความรักของลูกต้องมีอุปสรรค เพราะฐานะทางครอบครัวที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กรองทองก็ไม่ได้คิดจะห้ามปรามใดๆ ด้วยเห็นแก่ความสุขของเด็กสองคน และเชื่ออยู่ลึกๆ ว่าลูกชายของตนเป็นคนดีและเป็นคนเก่งมากพอ ที่จะฝ่าฟันขวากหนามซึ่งอาจเกิดขึ้นในวันข้างหน้าไปได้
ร้านบะหมี่ข้างทางเริ่มคึกคักเมื่อเวลาล่วงผ่านไปเรื่อยๆ หนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดทำหน้าที่เสิร์ฟบะหมี่ให้โต๊ะนั้นโต๊ะนี้อย่างแข็งขัน โดยไม่มีความเขินอายเลยแม้แต่น้อย ทำให้สายตาของลูกค้าหลายคนต่างมองเขาอย่างชื่นชมและภูมิใจแทนคนเป็นแม่
เวลาผ่านไปจนถึงสามทุ่ม รถสปอร์ตราคาหลายล้านแล่นมาจอดที่หน้าร้านบะหมี่ ดึงสายตาคนทั้งร้านให้หันไปมองด้วยความสนใจ เพราะนอกจากความสวยและราคาของรถแล้ว เด็กหนุ่มสองคนที่ลงมาจากรถคันนั้นก็น่าสนใจไม่แพ้กัน คนหนึ่งหล่อเหลาดูดีสะอาดสะอ้าน อีกคนแม้จะเซอร์ๆ แต่ก็เท่และหล่อเข้มชวนมอง ซึ่งจากองค์ประกอบภายนอก ทั้งรถและบุคลิกของทั้งสอง ก็ทำให้รู้ได้ทันทีว่าทั้งคู่คงเป็นทายาทของมหาเศรษฐี เพียงแต่คนมองยังไม่แน่ใจว่าเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาทั้งสองคนนั้น มาทำอะไรที่ร้านบะหมี่ข้างทางแบบนี้
กระทั่งสองหนุ่มตรงเข้าไปหาแม่ค้าและยกมือขึ้นไหว้ ก่อนจะขยับมาทักทายชายหนุ่มวัยเดียวกัน คนที่แอบเฝ้ามองดูอยู่เงียบๆ จึงรู้คำตอบ
“มาทำอะไรวะตะวัน ปรัชญ์” กวินภพเอ่ยถามเพื่อนสนิททั้งสองคน หลังจากยกชามบะหมี่ไปเสิร์ฟให้ลูกค้าเสร็จแล้ว
“มาหาแกน่ะสิ จะชวนไปนั่งชิล” คนที่ตอบคือรังสิมันต์ซึ่งเป็นเจ้าของรถหรูที่จอดอยู่ริมฟุตบาท
“ไม่ว่างว่ะ ช่วยแม่ขายบะหมี่อยู่ วันนี้คนเยอะด้วย”
“ก็กะอยู่ว่าแกจะตอบแบบนี้ ฉันกับไอ้ปรัชญ์ก็เลยจะมาช่วยแกขาย ขายหมดแล้วเราค่อยไปกัน” รังสิมันต์กับปรัชญ์พยักพเยิดอย่างกระตือรือร้น บ่งบอกว่าเตรียมตัวล่วงหน้ามาอย่างดี ความจริงเขาหรือปรัชญ์สามารถเหมาบะหมี่หมดร้านได้สบายๆ แต่ก็ไม่ทำ เพราะรู้นิสัยของกวินภพดีว่าเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรีมากแค่ไหน หากเขากับปรัชญ์ทำแบบนั้น กวินภพคงโกรธจนไม่มองหน้าแน่ๆ
“เฮ้ย…ไม่ต้องเลย พวกแกสองคนไปนั่งรอ เดี๋ยวฉันกับแม่ขายเอง”
“เหอะน่า แกอยู่เฉยๆ ให้ฉันกับไอ้ปรัชญ์ช่วย รับรองว่าบะหมี่ร้านแกหมดภายในครึ่งชั่วโมง”
“พวกแกจะอะไรนักหนาวะ ไปเที่ยวกันสองคนก็ได้นี่หว่า” กวินภพอดจะบ่นเพื่อนไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรนัก แม้เขาจะมีวิถีชีวิตที่แตกต่างจากเพื่อนสนิท ทว่าก็ไม่ได้ตัดขาดกิจกรรมที่ควรจะมีร่วมกับเพื่อนฝูงเป็นบางครั้งบางคราว ซึ่งแม่เขาเองก็เข้าใจดี
“ไอ้ไปน่ะไปได้ แต่ขาดแกมันก็ไม่ครบแก๊งดิวะ อีกอย่างวันมะรืนฉันกับไอ้ปรัชญ์ก็ต้องไปฝึกงานแล้วนะเว้ย ใจคอแกจะไม่ไปเลี้ยงฉลองสั่งลาฉันสองคนหน่อยเหรอวะ”
“ไปฝึกงานไม่ใช่เหรอ ต้องสั่งลาอะไรกันนักหนา หรือว่าพวกแกจะไม่กลับมา”
“กลับดิวะ ไม่ได้ตายนี่หว่า แต่มันนานไง ตั้งสามเดือนเลยนะเว้ย”
“โอเคๆ ไปก็ไป แต่ขอช่วยแม่ขายบะหมี่กับเก็บร้านก่อน”
“มีฉันสองคนช่วย รับรองว่าแป๊บเดียว”
พูดจบรังสิมันต์กับปรัชญ์ก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ โดยรังสิมันต์เป็นคนเรียกลูกค้าเข้าร้าน ส่วนปรัชญ์ช่วยเสิร์ฟและเก็บชามที่ลูกค้ากินเสร็จแล้ว ไม่นานร้านก็แน่นขนัดไปด้วยผู้คนจนโต๊ะไม่มีที่ว่าง
ดวงตาเข้มขรึมมองเพื่อนทั้งสองคนแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ รังสิมันต์กับปรัชญ์ดูสนุกสนานกับสิ่งที่กำลังทำ เพราะนั่นคือความแปลกใหม่สำหรับพวกเขา คงไม่บ่อยนักหรอกที่ลูกมหาเศรษฐีจะได้มาทำอะไรแบบนี้
คิดแล้วเขาก็นึกตลกกับโชคชะตาของตัวเองเหมือนกัน เขามีชีวิตที่ลำบากและจนแสนจน ทว่ารอบตัวกลับมีแต่เหล่าบรรดาทายาทมหาเศรษฐี มิตรภาพเหล่านี้คงเกิดจากการที่เขาได้มีโอกาสได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับประเทศกระมัง จึงนำพาให้เขาได้รู้จักกับเพื่อนอย่างรังสิมันต์ซึ่งเรียนภาควิชาอุตสาหการเช่นเดียวกับเขา และรังสิมันต์ก็ทำให้เขาได้รู้จักกับปรัชญ์ ที่แม้ว่าจะเรียนภาควิชาโยธา ทว่าปรัชญ์ก็เป็นเพื่อนสนิทของรังสิมันต์ที่มาจากเชียงใหม่ด้วยกัน เขากับปรัชญ์พลอยสนิทสนมกันไปโดยปริยาย
นอกจากนี้ยังมีรุ่นพี่อีกสองคนที่เขารู้จักตอนเข้าเรียนปีหนึ่ง คือปราณต์พี่ชายของปรัชญ์กับศาสตราเพื่อนของปราณต์ซึ่งซิ่วจากคณะอื่นมาเรียนวิศวอุตสาหการ ทำให้ศาสตรากลายมาเป็นรุ่นพี่สาขาที่เขาเรียน ตอนนี้ปราณต์เรียนจบและบรรจุเป็นหมอที่โรงพยาบาลในเชียงใหม่ ส่วนศาสตรากำลังเรียนต่อปริญญาโทด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรมการเกษตรอยู่ต่างประเทศ ขณะที่รังสิมันต์และปรัชญ์เองก็มีแผนจะเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศหลังจากจบปริญญาตรี เพราะทั้งคู่ต้องทำหน้าที่บริหารกิจการของครอบครัวเช่นเดียวกับศาสตรา
กวินภพไม่เคยอิจฉาพี่หรือเพื่อนคนไหน ด้วยเขาเข้าใจดีว่าโชคชะตาไม่ได้กำหนดมาให้ทุกคนมีเส้นทางชีวิตที่เหมือนกัน เขาพอใจกับความสุขที่เป็นอยู่ตอนนี้ ได้อยู่กับแม่ ได้ดูแลแม่ และมีแสงสว่างดวงเล็กๆ แสนอบอุ่นที่เขาแอบเก็บไว้ในหัวใจโดยไม่เคยบอกใครให้รู้
อาจจะด้วยคืนนี้เป็นคืนวันศุกร์ หรือด้วยเพราะมีเด็กเสิร์ฟวีไอพีหน้าตาดีระดับเดือนมหาวิทยาลัยมาช่วย บะหมี่ที่ร้านกรองทองจึงหมดไวกว่าปกติ กวินภพเข็นรถไปส่งแม่ที่บ้าน จากนั้นจึงออกไปนั่งดื่มกับเพื่อนๆ ซึ่งกว่าจะแยกย้ายกันกลับก็ดึกพอสมควร เพราะวันพรุ่งนี้เป็นวันหยุด และทั้งหมดสอบปลายภาคเสร็จทุกวิชาแล้ว ที่เหลือหลังจากนี้ก็คือต่างคนต่างไปฝึกงาน รังสิมันต์เลือกไปฝึกงานที่เชียงใหม่ ปรัชญ์ลงใต้ตามประสาคนขวางโลกและไม่ลงรอยกับแม่ ยามใดที่แม่บอกให้ไปขวา ปรัชญ์จะต้องไปซ้าย แม่บอกให้ไปเหนือ ปรัชญ์ก็จะสวนทางลงใต้ ส่วนตัวเขาฝึกงานในกรุงเทพฯ เพื่อจะได้อยู่ใกล้ๆ และช่วยแม่ขายบะหมี่ในตอนเย็นเหมือนเดิมด้วย