๑.๓ เอมจองพี่อิสร์แล้วนะ
คลื่นความวาบหวามถาโถม สองลิ้นหยอกเย้ากันเนิ่นนาน ดอกลีลาวดีปลิดปลิวลอยร่วงลงพื้นหญ้า คล้ายดั่งโปรยปรายเพื่อล้อเลียนกับจุมพิตแสนหวานที่เกิดขึ้น ร่างบางในอ้อมแขนขยับเข้าหาเบียดชิดกว่าเดิม เมื่อความหวานซาบซ่านเริ่มมีความเร่าร้อนทางอารมณ์ซึมลึกแทรกเข้ามา มันเป็นแรงดึงดูดอย่างรุนแรงระหว่างสองหนุ่มสาวที่มีใจปฏิพัทธ์ต่อกัน มันช่างเย้ายวนชวนให้ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความปรารถนาที่จะดำเนินไปตามครรลองธรรมชาติ แต่กวินภพรู้ดีว่ามันยังไม่ถึงเวลา เขาจำต้องยับยั้งชั่งใจ โดยการคลายวงแขนของตัวเองและดันร่างบางออกห่างเบาๆ
คราวนี้คนที่ต้องเขินและเงียบเหมือนเป่าสากคือเอมมาลินเอง พวงแก้มใสมีสีแดงระเรื่อแต่งแต้มลามเลียไปจนถึงต้นคอ มันเป็นจูบแรกของเธอ แต่เป็นจูบแรกของพี่อิสร์ด้วยหรือเปล่าเธอก็ไม่แน่ใจ ถ้าใช่…ทำไมพี่อิสร์ถึงจูบเก่ง ทำเอาวาบหวามท้องน้อยปั่นป่วนไปหมดแบบนี้
“ไงคนเก่ง ทำไมเงียบไป” กวินภพเอ่ยยั่วเย้า เมื่อคนตรงหน้ายืนหน้าแดงระเรื่อโดยไม่ยอมพูดยอมจา เหมือนกับเป็นคนละคนกับสาวน้อยช่างยั่วเมื่อครู่นี้
“แค่กำลังคิดว่าพี่อิสร์เคยจูบกับใครมาก่อนหรือเปล่า” แม้จะยังอยู่ในอาการเขินสุดขีด แต่เอมมาลินก็ต้องหาคำตอบให้ตัวเอง
“คิดว่าเคยมั้ย”
“ไม่รู้ ไม่กล้าคิด ไม่อยากคิด” ทั้งน้ำเสียง สีหน้า แววตา เต็มไปด้วยความแง่งอน เมื่อพี่อิสร์ไม่ยอมตอบคำถามตรงๆ แถมพูดจายอกย้อนคล้ายดั่งต้องการให้เธอคิดมากอีก
“ถ้าพี่เคยล่ะ เอมจะว่ายังไง”
“ไม่ว่ายังไง ก็แค่เสียใจที่ไม่ได้เป็นจูบแรกของพี่อิสร์”
กวินภพยิ้มกว้าง ก่อนจะยกมือขึ้นแนบพวงแก้มใสและไล้นิ้วไปมาเบาๆ ตาจ้องมองใบหน้างดงามอย่างมีความหมายเต็มเปี่ยมไปด้วยรัก
“ไม่ต้องเสียใจไปหรอก นี่เป็นจูบแรกของพี่”
“จริงนะคะ” ตากลมโตฉายแววระริก เช่นเดียวกับปากนุ่มที่ยิ้มกว้างจนโลกสดใสอีกครั้ง
“จริงสิ หรือพี่เคยโกหก”
“งั้นให้เอมเป็นคนสุดท้ายด้วยได้ไหม”
“โลภมากจริง”
“นะคะ” น้ำเสียงออดอ้อน ตาเว้าวอนขอคำสัญญา เพราะรู้ดีว่าคนคนนี้คำไหนคำนั้น ถ้าเขารับปาก เขาจะทำตามที่พูดเสมอ
“เอมจะเป็นคนแรกและคนสุดท้ายที่พี่จะรัก…พี่สัญญา”
“สัญญาแล้วนะ” นิ้วก้อยชูขึ้นรอให้นิ้วก้อยของอีกคนยกขึ้นมาเกี่ยว เพื่อเป็นการยืนยันคำสัญญาโดยสมบูรณ์
“สัญญา”
“เอมไม่อยากไปเรียนต่อเมืองนอกเลยค่ะพี่อิสร์ ไม่ไปได้ไหม” ใบหน้าหวานซบลงบนไหล่แกร่ง ยามพูดประโยคนั้นด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
“ไปเถอะนะ เพื่ออนาคตของเอม”
“เอมอยากข้ามเวลาได้จัง เอมอยากโต อยากเรียนจบ อยากมีชีวิตเป็นของตัวเองไวๆ จะได้ทำอะไรตามใจตัวเองได้โดยไม่ต้องมีใครบังคับให้ทำนั่นทำนี่”
“แค่สี่ปี อดทนหน่อยนะคนดี”
“แต่มันนานมากนะคะสำหรับคนที่แทบจะไม่มีความสุขเลยอย่างเอม ทุกวันนี้เอมอยู่ได้เพราะมีพี่อิสร์กับน้ากรอง เอมยังคิดไม่ออกเลยว่าถ้าเอมไม่มีพี่อิสร์กับน้ากรอง ชีวิตเอมจะเป็นยังไง”
“ไม่ต้องคิดหรอก เพราะตอนนี้เอมมีพี่มีแม่พี่ที่พร้อมจะเป็นกำลังใจและอยู่เคียงข้างเอมเสมอ”
“อย่าเลิกรักเอมนะคะ” มันเป็นคำขอที่แสนซื่อ แต่เต็มไปด้วยการเว้าวอน
“พี่ไม่มีวันเลิกรักเอม”
“เอมก็เหมือนกันค่ะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เอมก็จะไม่มีวันเลิกรักพี่อิสร์ พี่อิสร์จะเป็นรักแรกและรักเดียวของเอมตลอดไป”
“ถ้าอย่างนั้นก็อดทนนะ หลังจากเอมเรียนจบพี่จะซื้อแหวนให้ถ้าเอมยังอยากได้ จองนิ้วนางข้างซ้ายไว้แล้ว ห้ามให้ใครใส่แหวนให้ก่อนล่ะ”
“จริงนะคะ งั้นเอมจะรีบเรียนให้จบ แล้วรีบกลับมา ตอนนั้นต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ต้นนี้คงออกดอกแล้ว”
“พี่จะรอ...และจะดูแลต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ของเราไว้อย่างดี”
“ของเราเหรอคะ?”
“ใช่...ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ต้นนี้ คือต้นไม้ของเราสองคน”
“แล้วถ้าวันหนึ่งมีคนมาซื้อที่ตรงนี้ แล้วทำอย่างอื่นก่อนที่เอมจะกลับมาล่ะคะ เขาจะขุดมันทิ้งหรือเปล่า” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล เมื่อมันขึ้นชื่อว่าเป็นเครื่องพันธนาการความผูกพันระหว่างเธอและเขา ความรักความห่วงใยที่เธอมีให้กับต้นไม้ต้นนี้ก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“พี่ก็จะมาขุดไปปลูกไว้หน้าบ้าน ไม่ว่ายังไงเอมก็จะได้เห็นมันออกดอก แต่ตอนนี้เราไปบ้านพี่กันนะ แม่คงอบเค้กกับทำอาหารเสร็จแล้ว ไปฉลองวันเกิดเอมด้วยกัน”
ร่างสูงย่อตัวลงเก็บดอกลีลาวดีขึ้นมาดอกหนึ่ง เขาก้มลงจูบเบาๆ บนกลีบดอกไม้สีขาวอ่อนบาง ก่อนจะทัดไว้ที่ใบหูเล็กสะอาดของสาวน้อย จากนั้นมือใหญ่ก็เอื้อมไปจับมือเล็กมากุมไว้ แล้วเดินจูงมือกลับไปยังบ้านหลังเล็กๆ ของเขา ที่ตอนนี้มีแม่รออยู่