บทย่อ
หกปีก่อนเขาสร้างตราบาปไว้ให้เธอ เขาเกลียดเธอ ทว่า...ภายใต้ความเกลียดชัง กลับมีบางสิ่งฝังลึกในนั้น เมื่อเขาคืนกลับมาสู่บ้านสิงหชัชอีกครั้ง กริชดนัยมาทวงคืนทุกสิ่ง และทวงแค้นจากผู้หญิงแพศยาอย่างเธอด้วย โปรยปราย เธออาจจะเป็นหมาป่าที่เอาขนแกะมาสวมอยู่ก็ได้ตอนนี้ เขาเบ้ปากเมื่อนึกถึงตรงนี้ มารยาหญิง...เขาเคยเจอมาแล้ว จนพังไปแล้วหนึ่งรอบ รอบนี้เธอจะต้องเจอมารยาชายเข้าบ้างล่ะ กริชดนัยยิ้มเจ้าเล่ห์ เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ คริมา... เราสองคนจะอยู่ด้วยกัน ในแบบที่เขาต้องการ เธอจะต้องถูกใช้...จนกว่าเขาจะพอใจ
บทที่ 1
บทนำ....
กริชดนัยมองดูยอดเมรุที่มีควันสีน้ำตาลจางลอยขึ้น เขาเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ใจสั่นหวิว กับภาพที่เห็น มือของเขากำเข้าหากันแน่น เหมือนจะระงับใจไม่ให้เศร้าโศก ไม่ให้ดิ่งลงไปในความทุกข์ของการสูญเสีย
เขามาทันวันเผา มาทันตอนพิธีเผาศพของพี่ชายและพี่สะใภ้...
เขายืนอยู่ตรงนั้น ญาติผู้ใหญ่บางคนจำเขาได้ เขาจึงต้องยกมือไหว้ทักทาย เขามองไปยังศาลาที่ตอนนี้มีร่างบางของใครบางคนกำลังนั่งกอดรูปภาพของบิดาเลี้ยงและมารดา แล้วเหม่อลอย
กริชดนัยมองหน้าของเธอพลางรู้สึกอดแปลบเล็กๆ ที่หัวใจไม่ได้ หล่อนดูเป็นสาวสวย ดูโตขึ้นมาก เขายังจำภาพเธอในวัยสิบสี่ปีได้แม่น...ทั้งที่อยากจะลืมหน้านั้นไป ลืมทั้งหล่อนและแม่ของหล่อน แต่สุดท้ายเขาก็จำต้องกลับมาเจอผู้หญิงคนนี้อีกจนได้
หล่อนมองหันมาทางเขา กริชดนัยยืนนิ่งตรงนั้นอย่างจงใจให้เธอได้เห็น เขาอยากรู้ปฏิกิริยาว่าเธอจะทำอย่างไร ถ้าเกิดว่าเห็นเขาเข้า
หญิงสาวเบิกตาโต แล้วลุกพรวดขึ้นยืน สิ่งที่เธอทำคือสิ่งที่เขาไม่คาดคิด เธอวางรูปพ่อกับแม่ที่เก้าอี้ แล้ววิ่งเข้ามาโถมกอดเขา ทำให้เขาถึงกับเซ แล้วกอดตอบร่างบางนั้นโดยอัตโนมัติ
“อากริช อากริช โอ...อากริชกลับมา”
น้ำตาของเธอไหลรินด้วยความดีใจ และการตอบรับแบบนั้น มันเกินคาดสำหรับเขา
เกินคาดสำหรับคนที่เคยมีเรื่องหมางใจกันมาก่อน...
เรื่องราวระหว่างกัน รอยแผลย้ำลึก ที่ทำให้เขาต้องหายไปจากครอบครัว ไม่ติดต่อใครถึงหกปีเต็ม
“วี่...เอ่อ...”
“วี่ดีใจ ดีใจเหลือเกินค่ะ อากริชอย่าไปไหนอีกนะ วี่ไม่เหลือใครแล้วฮือๆ”
เขาก้มลงมองหน้าของคนในอ้อมแขน แม้จะฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำตา จมูกของเธอแดง ตาของเธอบวม ปากจิ้มลิ้มนั่นเผยอนิดๆ เพราะสะอื้น เธอช่างเป็นผู้หญิงที่ร้องไห้ได้สวยมาก...ร้องไห้แล้วยังสวย และยิ่งทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง...
โอ...ทำไมเขาจะต้องมาใจเต้นระรัวกับอะไรแบบนี้ด้วยนะ
ห้ามนะไอ้กริช
เขาบอกย้ำเตือนตัวเอง ขณะที่ผลักเธอออก สีหน้าของเขายังคงเย็นชา แล้วประคองเธอไปนั่ง หาทิชชู่ให้เธอซับน้ำตา เจ้าหล่อนอายุเท่าไหร่แล้วหนอ หกปีที่เขาจากไป...อ้อ...ยี่สิบปีแล้วสินะ
“อาจะอยู่กับวี่”
เขาพูดกับหล่อน คริมามองหน้าเขาปล่อยโฮออกมาอีกรอบ แล้วตรงเข้ากอดเขาอีกคราว
เธอรัดเขาแน่น
คริมาถือว่านั่นคือคำสัญญา
เขาจะไม่หนีเธอไปไหนอีกต่อไปแล้ว...
1....................
“พี่กานต์เปลี่ยนพินัยกรรมหรือครับ?”
กริชดนัยซักถามทนายประจำครอบครัว ที่เรียกใช้กันอยู่เสมอ ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องส่วนของบริษัท ทำงานกันมายาวนานตั้งแต่รุ่นพ่อ สืบทอดกันมาจนถึงรุ่นปัจจุบัน
การที่เขาซักแบบนั้นเพราะผู้เป็นพี่ชายประกาศตัดขาดกับเขาตอนนั้น กานต์เอกบอกว่าเขาจะไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง และพัดชาเมียของพี่ชายก็พูดกับเขาก่อนที่เขาจะเดินทาง ว่าพินัยกรรมของกานต์เอกนั้น ถ้าเกิดว่าเขาตายลงไป ทายาทมรดกคือหล่อนกับลูกสาว กริชดนัยถูกตัดออกจากกองมรดก ท่าทางของเธอมั่นใจมาก...
เขาเองก็เชื่อว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนั้น จนมาถึงตอนนี้เมื่อทนายจารึกมาขอพบกับเขา หลังจากที่งานฌาปนกิจของพี่ชายและพี่สะใภ้จบลง
เขากะจะมาแค่ร่วมพิธีและกลับไป ก็เพราะยัยพี่สะใภ้ตัวร้ายประกาศไว้แบบนั้น
“ครับ...”
จารึกกระแอม แล้วเอ่ยขึ้นมาเสียงพร่าเล็กน้อย
“คุณกานต์เหมือนจะตรวจเจอ...เอ่อโรคบางอย่างเมื่อปลายปีที่แล้ว แล้วก็เลยเรียกผมมาให้ทำพินัยกรรม ท่านกลัวว่าจะอยู่ไม่นาน จนถึงวันที่คุณวี่จะโต แล้วก็...กลัวว่าคุณกริชจะไม่กลับมากระมังครับ ถึงได้ทำพินัยกรรมฉบับนี้ขึ้นมา”
“พี่กานต์เป็นอะไรครับ” กริชดนัยนั่งนิ่ง จ้องหน้าจารึก ทางนั้นกระแอมอีกรอบ แล้วเอ่ยตอบอึกอัก
“เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากครับ แล้วก็ตรวจเจอก้อนเนื้อที่สมอง เอ่อ...ท่านว่าจะไปตรวจให้แน่นอน แต่ก็ ประสบอุบัติเหตุเข้าเสียก่อน”
“การที่พี่กานต์เปลี่ยนพินัยกรรมมีคนรู้ไหมครับ” เขาถามเสียงเย็น จารึกสั่นหน้า
“มีแต่ผมครับที่รู้”
“อืม...”
เขาพลิกอ่านแต่ละหน้า แปลกใจที่มีชื่อของพัดชาภรรยาสุดที่รักของพี่ชายเขา ได้เพียงแค่สมบัติไม่กี่ชิ้น ส่วนมากเป็นของเขา...คริมายังได้มากกว่ามารดาเสียอีก
หรือว่า...
ชายหนุ่มแสยะยิ้ม หึ...พี่กานต์เองก็ไม่ได้โง่นักใช่ไหมครับ
เขาคิดถึงพี่ชายของเขา ความบาดหมางหยั่งลึกทำให้เขากับกานต์เอกไม่ได้คุยและติดต่อกันด้วยซ้ำ การที่เขาหนีไปอยู่กับญาติห่างๆ ไกลถึงญี่ปุ่น และตั้งใจว่าจะไม่กลับมาที่นี่อีก
หกปีเต็มๆ
กับแผล...
กับข้อกล่าวหา
เขาถอนใจเฮือกใหญ่ กวาดตาอ่านรายละเอียดทั้งหมดอีกรอบ สีหน้าของเขาดูนิ่ง จนจารึกที่กำลังลุ้น ว่าเขาจะว่ายังไง กับข้อความที่พี่ชายทิ้งไว้ ถึงกับเกร็ง เมื่อกริชดนัยไม่ได้พูดอะไรออกมาเกี่ยวกับข้อความเหล่านั้นเลย
“เอ่อ คุณกริชตกลงใช่ไหมครับ กับเงื่อนไขของท่าน”
“ข้อไหน?” เขาเงยหน้าขึ้นมาถาม
“ข้อที่ว่าสมบัติบางส่วนจะต้องเป็นของวีวี่น่ะเหรอ? ผมก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร”
“หมายถึงข้อที่คุณกริชจะต้องดูแลคุณวีวี่ไปจนกว่าอายุเธอจะยี่สิบห้าปีน่ะครับ ถ้าไม่อย่างนั้น...”
เขามองหน้ากริชดนัย ข้อความท้ายพินัยกรรมทำให้จารึกที่พอจะทราบเรื่องบาดหมางของครอบครัวนี้อยู่ กลัวเหลือเกินว่ากริชดนัยจะไม่ตกลง มรดกสมบัติส่วนที่ควรเป็นของเขา จะตกเป็นของทายาทของผู้หญิงคนนั้น...ไปเสีย ซึ่งมันไม่ยุติธรรมเลย
“หึ ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรนี่”
เขาปิดแฟ้มแล้วส่งให้กับจารึก เขายิ้มนิดๆ หากแต่นัยน์ตานั้นกลับดุดัน เหมือนน้ำเสียงที่เอ่ยสำทับ
“ในฐานะผู้ดูแลผมจะทำอะไรกับเด็กนั่นก็ย่อมได้สินะ”
“อา...เอ่อ...คุณวีวี่เธอน่ารักน่าสงสารนะครับคุณกริช เธอไม่ได้เหมือน...”
จารึกไม่อยากเอ่ยถึงคนตายแบบไม่ดี จึงเลี่ยงจะเอ่ยชื่อไปเสีย แต่แค่มองตากริชดนัยก็รู้ ว่าทนายความหนุ่มใหญ่หมายถึงใคร เขาจึงหัวเราะอย่างหยันๆ
“โบราณบอกว่าดูช้างให้ดูที่หาง ดูนางให้ดูที่แม่ด้วยสิครับ แต่...ผมจะดัดสันดานเสียๆ ของวีวี่เอง”
จารึกมองสบตากับกริชดนัย พลอยให้หนาวสันหลังแทนเด็กสาวคนนั้นเสียจริงๆ
เขานั้นรู้จักคริมาและพัดชาดี
คริมานั้นเปรียบแล้วคือลูกไม้ไกลต้นโดยแท้