บทที่ 2
ลมทะเลพัดผ่านร่างบางเพรียวของเด็กสาววัยรุ่น เธออยู่ในชุดบิกินี่ครึ่งท่อนลายสีส้มแสบตา และสวมกางเกงขาสั้น เรือนร่างสะคราญของเด็กสาวในวัยเจริญเติบโตเต็มที่ มีอกอิ่มน่ามอง เอวคอดกิ่ว สะโพกผาย เรียวขายาวเพรียว เธอดูมั่นใจกับการสวมใส่เสื้อผ้าเปิดเผยเนื้อตัวแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้น่าเกลียดกลับน่ามองเสียมากกว่า เพราะผิวพรรณที่ขาวผุดผ่อง ประกอบกับหน้าตาที่แต่งแต้มจัดสรรอย่างลงตัวของธรรมชาติ คิ้วเรียวเรียงตัวได้รูปสวย นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้ารูปหัวใจ แก้มอิ่มเล็กน้อย ริมฝีปากรูปกระจับ เรือนผมยาวสยายจนถึงสะโพกทำสีชมพูทั้งศีรษะตามเทรนแฟชั่นที่กำลังฮิตอยู่ในตอนนี้ สาวน้อยสุดเฉี่ยว หน้าตาน่ารักคนนี้กำลังเป็นเป้าสายตาคนมอง และถูกล้อมหน้าล้อมหลังด้วยชายหนุ่มในวัยเดียวกัน ที่ดูเอาอกเอาใจเธอราวกับเจ้าหญิง
“คืนนี้ ค้างอีกคืนสิลูกหมี เราจะจัดปาร์ตี้กัน”
หนึ่งในสองคนที่กำลังเดินข้างเธอชวน หญิงสาวออกจากบังกะโลมาเดินเล่น แล้วพบเข้ากับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน อนุสิทธิ์และปราบดา เขาเดินชวนเธอคุยเลียบริมหาดไปอย่างสนุกสนาน
มหาวิทยาลัยเดียวกัน...
พูดไม่ได้เต็มปากเท่าไหร่ ว่าพวกเขาทั้งสองจะเป็นเพื่อนร่วมหาวิทยาลัยของเธออีกต่อไป รัศมีแขมีแผนที่จะลาออก เธอกำลังเบื่อการเรียน เบื่อไปทุกอย่าง ตั้งแต่มารดาเสียชีวิตไปแล้ว สาวน้อยก็ยังไม่ได้หยิบจับทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เธอใช้วิธีหลีกหนีจากความทุกข์ ด้วยการออกเดินทางไปเรื่อยๆ ท่องเที่ยว สนุกกับเพื่อน แม้ยามค่ำคืนเธอจะต้องแอบร้องไห้ก็ตามที แต่รัศมีแขก็มองว่า มันดีกว่าที่เธอจะอยู่คนเดียว ในบ้านหลังใหญ่นั่นนัก
“ไม่เอาดีกว่า จะกลับแล้ว”
รัศมีแขสั่นหน้าน้อยๆ เธอเบี่ยงตัวหลบมือของฝ่ายชาย ที่ทำท่าจะเอื้อมมากอดคอเธอ แล้วมองเขาด้วยสายตาเหยียดๆ ฝ่ายนั้นเลิกคิ้ว แล้วยักไหล่ พลางพูดโพล่งออกมาตามประสาคนปากไว
“ทำไมรึ ลูกหมี จะมาเล่นตัวอะไรกัน ก็รู้ๆ กันอยู่”
“รู้ๆ กันอยู่”
คิ้วเรียวของรัศมีแขขมวดเข้าหากัน เธอกอดอกโดยอัตโนมัติ เมื่ออีกฝ่ายใช้สายตาจ้องมองเธอตรงบริเวณหน้าอกอย่างไร้ความเกรงใจ เพียงแค่นี้ สาวน้อยก็รู้แล้วว่า คำว่ารู้ๆ กันอยู่นั้นหมายความว่าอย่างไร
เธอสะบัดผมสีชมพูของตัวเอง แล้วทำหน้าเชิด ก่อนจะหมุนตัวเดินจากเพื่อนชายมา แต่มือของเขาเอื้อมมาจับไว้เสียก่อน ก่อนที่ปราบดาจะทันตั้งตัว เขาก็กลิ้งหลุนไปกับพื้นทราย อนุสิทธิ์มองเธออย่างอึ้งๆ ไม่อยากจะเชื่อสายตากับสิ่งที่ตัวเองเห็น แล้วก็ได้สติรีบไปประคองเพื่อนเมื่อได้ยินเสียงอีกฝ่ายร้องครางเบาๆ
“นี่ล่ะ ที่รู้ๆ กันอยู่ ฉันไม่ได้ง่าย แล้วก็ไม่ได้ยาก”
เธอว่า หัวเราะน้อยๆ เมื่อเดินจากคนทั้งสองมา ที่มองตามหลังเธอพลางกลืนน้ำลาย
“ไหนมึงบอกว่า นังนี่แป๊บเดียวก็ได้ยังไงวะ กูกะจะพาไปให้พวกเราสนุกกันเสียหน่อย ก็ใครบอกมาว่า ลูกหมีชอบสวิง”
ปราบดาบ่นอุบเลยทีเดียว เขาปัดทรายตามเนื้อตัวเป็นพัลวัน ไอ้หกล้มก้นกระแทกไม่เท่าไหร่หรอก แต่เสียฟอร์มที่ถูกผู้หญิงตัวเตี้ยเท่าอกทุ่มเขาเสียจนกลิ้ง ไหนจะยังจีบหล่อนไม่ติดอีกต่างหาก
“ก็ไม่รู้สิ เค้าว่ากันมางั้น แต่กูว่าแบบนี้ อย่าไปยุ่งดีกว่า”
อนุสิทธิ์ว่า เขามองตามหลังรัศมีแขอย่างเสียดาย แล้วพาเพื่อนรักเดินไปทางอื่นเสีย
ร่างเพรียวยังคงเดินท้าแดดไปเรื่อยๆ จนเกือบจะสุดหาด ที่เริ่มมีหินโสโครกโผล่พ้นน้ำอยู่เรียงราย รัศมีแขถอนใจ สาวน้อยมองไปยังทะเลเบื้องหน้า ความสวยของธรรมชาติในยามนี้ ไม่อาจจะขับกล่อมจิตใจเธอให้สงบได้เหมือนทุกครั้ง
เธอทรุดนั่งลงบนพื้นทราย เอนตัวไปด้านหลัง เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ก่อนจะหลับตาพริ้ม น้ำตาไหลรินออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ เมื่อนึกถึงความเป็นจริง ที่ว่าอีกไม่กี่วันเธอจะต้องกลับไปที่บ้านแล้ว ไปเผชิญกับความอ้างว้าง เงาของมารดาทาบทับทุกตารางนิ้วในบ้าน ไม่มีสิ่งใดที่มองแล้วจะไม่คิดถึงท่าน มารดาที่เหมือนเป็นสายชีวิตเพียงหนึ่งเดียวของเธอ แม้นว่าท่านจะไม่ค่อยจะสนใจใยดีเธอก็ตามที พิมพ์จันทร์ให้แต่เงิน ตามใจเธอในสิ่งที่เธออยากได้ หารู้ไม่ว่าสิ่งเดียวที่รัศมีแขอยากได้ยิ่งกว่าเงินก็คือ...
ความรักจากมารดา..
ทว่าท่านกลับมีคนมาเติมเต็ม ดึงความสนใจไปจากบุตรสาวอยู่ตลอดเวลา ชายคนแล้วคนเล่า ที่ก้าวเข้ามาในฐานะพ่อเลี้ยง พิมพ์จันทร์หมดเวลาไปแต่กับเรื่องแบบนี้ เรื่องความรักฉันท์พิศวาส หากบุตรสาวที่รอความรักจากเธอ กลับไม่ได้สิ่งนั้นเต็มที่ จนทำให้รัศมีแขกลายเป็นเด็กขาดความรัก ที่ไขว่คว้าหา ทว่าดื้อรั้น และไม่ใคร่วางใจใครง่ายๆ
ความเป็นคนสองบุคลิกของรัศมีแข ดึงดูดใครต่อใครให้เข้ามาสนใจเด็กสาว แต่กลับต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อตัวตนของเธอ เย็นชานัก ไม่ใช่เหมือนที่ใครต่อใครหาว่าเธอเป็น เธอตามหาความรัก แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่เปิดรับ และไม่กล้าที่จะมอบรักให้ใคร
วัยแค่นี้เพียงสิบเก้าปี หากแต่มองโลกในแง่ร้าย และใช้ชีวิตอย่างไม่มีจุดหมาย เมื่อเสาหลักของชีวิตล้มไปเสียแล้ว กับภาสกรบิดาแท้ๆ ของเธอ ท่านก็เหมือนอยู่คนล่ะโลก นานครั้งหรอกถึงจะติดต่อมาหาบุตรสาว และเธอก็ไม่อยากไปวุ่นวายอะไรกับทางนั้น เพราะมารดาเกลียดบิดาของเธอนัก รัศมีแขไม่เข้าใจความเกลียดโกรธของบุพการี แต่เธอก็เอาใจท่าน ด้วยการอยู่ข้างๆ ท่านมาตลอด พิมพ์จันทร์เสียอีก ที่ไม่ค่อยได้อยู่ใกล้ อยู่ข้างบุตรสาวเลย เพราะมัวแต่ตามหาความรักของตัวเอง
แล้วตัวเธอก็จากไปเพราะความรัก...
รักที่ผิดพลาด
รัศมีแขเปลี่ยนท่านั่ง เป็นนั่งชันเข่า น้ำตามันไหลจนเธอตาพร่าไปหมดแล้ว หญิงสาวเช็ดน้ำตากับเข่าของตัวเอง เมื่อไหร่กันหนอ เธอถึงจะพ้นจากปลักตมแห่งความทุกข์ระทมที่เสียของรักที่สุดไปแบบนี้
“ยัยลูกหมี มานั่งรัดทดอะไรแถวนี้ ไปๆๆ เค้ากำลังเตรียมข้าวของปาร์ตี้กันเย็นนี้นะยะ”
เสียงแหวๆ คุ้นเคยดังขึ้น เธอแอบเช็ดน้ำตา แล้วเงยหน้าขึ้นมาทำหน้าบึ้ง ใส่เจ้าของเสีย ที่กำลังเดินแกมวิ่งตรงมาหาเธอ เมื่อหยุดอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว ฝ่ายนั้นก็มองกวาดอย่างสำรวจ ตาแดงๆ ของรัศมีแข บอกได้ว่าเพื่อนของเขายังไม่อาจจะทำใจได้เรื่องมารดา
“ร้องอีกล่ะ”
“ทรายเข้าตา”
“เออ จะเชื่อนะแก ไปๆ ไปช่วยกันหมักหมูหมักปลา ฝีมือแกอร่อยดี คนอื่นทำก็ไม่อร่อยเท่าแกอะ”
“อื้อ”
เธอทำท่าจะลุกขึ้นยืน มือของเพื่อนรักยื่นมาตรงหน้า พร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆ กับสภาพของรัศมีแข
“ปลงๆ เถอะนะยัยลูกหมี แล้วก็คิดดูว่าจะทำอะไรต่อ แกน่ะดร็อปเรียนไปเทอมหนึ่งแล้วนะ จะกลับมาเรียนอีกไหม?”
เสียงทุ้มที่ดัดให้แหลมเล็กเหมือนสตรีของเพื่อนสนิท ถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่รู้สิ อาจจะไปลงเรียนอะไรเล่นๆ ชักจะอยากลองหัดวาดภาพ ไปด้วยกันไหม ลูกชุบ”
“ไม่เอา แกไปคนเดียวสิ ทำยังกับว่าฉันรวยแล้วก็เวลาว่างมากมาย แค่เรียนนี่ก็หัวฟู ไม่มีเวลาตกผู้ชายแล้วล่ะย่ะ”
ทางนั้นว่าแล้วทำท่าสะดิ้ง รัศมีแขหัวเราะกิ๊ก ก่อนจะควงแขนกับเพื่อนของเธอ ลูกชุบ หรือ ชวัล ชายหนุ่มที่มีรสนิยมในเพศเดียวกัน เธอจึงสะดวกใจที่จะควงแขนเขา รึแม้กระทั่ง…
“ต้าย! ทำบ้าอะไรของแก๊”
ชวัลทำตาโตอย่างตกใจ เมื่อจู่ๆ เพื่อนรักก็โน้มคอเขาไปจูบที่แก้มเสียอย่างนั้น รัศมีแขหัวเราะกิ๊ก แนบหน้ากับแขนของเพื่อนอย่างอ้อนๆ
“ก็รักแกน่ะสิ ลูกชุบ ไม่ได้แกกับนินนี่ ฉันจะเป็นยังไงกันนะ ดีนะที่มีพวกแก”
“วุ้ย ซึ้งย่ะ ซึ้งตายล่ะ อย่ามาทำแบบนี้บ่อย เดี๋ยวฟ้าผ่า”
ชวัลโคลงศีรษะของสาวน้อยเล่นไปมา กิริยาแบบนี้ คนนอกที่มองมาก็มองคล้ายกับหญิงชายที่เป็นคนรักหยอกล้อกัน เพราะชวัลแต่งกายแบบผู้ชาย ด้วยเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงขาสั้นสีแสบตา ผมของเขาก็สีทองทั้งศีรษะตามแฟชั่น ทำให้ทั้งคู่เดินด้วยกันจึงตกเป็นเป้าสายตา
ฝ่ายชายก็ดูหล่อเหลา แม้จะร่างบางไปนิด ฝ่ายหญิงหน้าตาน่ารัก ปากนิดจมูกหน่อย เดินหัวเราะต่อกระซิก ควงแขนกันมา ดูแบบไหนก็เหมือนแฟนกันมากกว่าเพื่อน
นัยน์ตาคมกริบคู่หนึ่ง มองตามชายหญิงวัยรุ่นคู่นี้ไป ก่อนจะสั่นหน้าน้อยๆ แล้วถอนใจเฮือก เขานึกทบทวนข้อความตามจดหมายของพิมพ์จันทร์อีกหน แล้วขมวดคิ้ว
แบบนี้แล้วคำว่าลิตเติ้ลมอนเตอร์ ที่เจ้าหล่อนเรียกตัวเอง ก็คงจะเป็นไปตามนั้นแน่นอน ดูทีแล้วเขาคงจะต้องถือสุภาษิต รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตีเสียแล้วกระมัง กล้าตะวันเอย...งานนี้คงได้สวมบทคุณพ่อจอมเฮี้ยบ สั่งสอนยัยตัวแสบให้รู้จักกับคำว่ากุลสตรีที่ดีเสียบ้าง
พิมพ์จันทร์...
งานสุดท้ายที่คุณขอร้องให้ผมทำนี่...มันช่าง...