บทที่6
"ลุงพาไปดูพระอาทิตย์ตกหน่อยได้ไหม นะๆ"
วริยาเขย่าแขนภาคภูมิไปมาจนอีกฝ่ายนึกรำคาญ
"นี่ยัยเด็กบ้า จุดประสงค์ของเธอคืออะไรกันแน่ มาเพื่อกันฉันออกจากพี่สาวของเธอ หรือมาอ่อยฉัน"
"อย่างที่สอง"
"ล้อเล่นน่า ว่านก็มาทำงานน่ะสิ ลุงแก่ขนาดนี้ไม่เหมาะเป็นแฟนว่านหรอก อย่างว่านต้องหนุ่มๆแน่นๆ สเป็คว่านไม่นิยมคนแก่"
"ขอให้จริงแม่คุณ ไม่ใช่เห็นแค่ซิกแพ็กก็น้ำลายเยิ้มแล้วนะสาวน้อย"
ภาคภูมิว่าพร้อมกับโน้มใบหน้าไปเข้าไปใกล้สาวเจ้าเรื่อยๆ
"ทำอะไรเนี่ยลุง!"
เจ้าหล่อนผลักคนตรงหน้าออกเต็มแรง ใบหน้าสวยเฉียบตอนนี้เริ่มเห่อแดงเป็นลูกมะเขือเทศไปแล้ว
"นึกว่าจะแน่"
ภาคภูมิยิ้มเยาะก่อนจะเดินออกไป
"อ้าวนี่ลุง! สรุปจะไม่ไปดูพระอาทิตย์ตกดินด้วยกันจริงๆเหรอ"
วริยาตะโกนตามหลังแต่คนตัวโตก็ไม่ได้ย้อนกลับมาตอบเลย
ยามเย็นที่ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีพระอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าส่องแสงสะท้อนมาตามคลื่นทะเลประกายแสงระยิบระยับช่างสวยงามเหลือเกิน หากได้มานั่งดูกับเขามันคงจะโรแมนติคไม่น้อย คิดมาถึงตรงนี้รอยยิ้มบางก็ต้องเลือนหายไป เหลือแต่แววตาที่แฝงความเศร้าสร้อยที่ถ่ายทอดออกมา
"จะสามวันแล้วนะทำไมพี่ไม่ติดมามาสักที"
บรรยากาศในเวลานี้หากจะมองว่ามันโรแมนติคก็สุดแสนจะโรแมนติคสำหรับคู่รักหลายๆคู่ แต่สำหรับหล่อนตอนนี้แล้วมันหม่นหมองน่าเศร้าใจนัก เท้าคู่สวยเดินเลียบไปตามทรายหาดสีขาวนวลละเอียดเรื่อยๆโดยไม่มีจุดหมายว่าปลายเท้าคู่สวยจะหยุดอยู่ที่ใด แต่ไม่กี่นาทีต่อมาเท้าเรียวสวยต้องหยุดชะงัก พร้อมกับหัวใจที่เพิ่มจังหวะอัตราการเต้นแรงและถี่ขึ้นเรื่อยๆ
"พีชคงจะชอบให้พ่อแกอุ้มนะคะ ดูสิเล่นไม่หยุดเลย"
ร่างบางของผู้หญิงคนหนึ่งมองชายหนุ่มที่กำลังอุ้มเด็กน้อยในอ้อมกอดด้วยแววตามเปี่ยมสุข
"เหรอ!...ตายจริงนี่ตาเพชรไม่ได้บอกหนูหวาไว้เหรอจ๊ะว่าเดินทางไปดูงานที่สิงคโปร์"
ทันทีที่เห็นภาพนั้นประโยคแรกที่ลอยเข้ามาในหัวหล่อนคือประโยคที่มารดาของเขาบอกกับหล่อนว่าเขาไปดูงานที่สิงคโปร์
"แล้วพี่ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่...แล้วเด็กน้อยกับผู้หญิงคนนั้น...หมายความว่ายังไง"
มือเรียวที่สั่นระริกยกสมาร์ทโฟนในมือขึ้นมากดโทรหาเขา รออยู่ครู่หนึ่งเขาก็กดรับ
"ฮัลโหลหวา โทษทีนะที่ไม่ได้รับสายและไม่ได้ติดต่อกลับไปเลย มือถือพี่แบตหมดน่ะ"
"เหรอคะ..."
หล่อนถามออกไปและพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด
"คุณแม่บอกว่าพี่ไปดูงานที่สิงคโปร์เหรอคะ"
"อ..อืม อีกสองสามวันคงกลับแล้วล่ะ แล้วตอนนี้หวาอยู่ไหนล่ะ กลับบ้านหรือยัง"
ในที่สุดเขาก็โกหกหล่อน
"หวามาคุยงานกับลูกค้าที่ที่พัทยาน่ะค่ะ"
ประโยคนี้ที่วริษฐาเอ่ยบอกออกมาทำให้ตัวเขาแข็งทื่อ พชรพลค่อยๆหันมาตามเสียงที่ดังขึ้น
"หว..หวา"
"เซอร์ไพรส์"
หล่อนว่าพร้อมกับโผเข้ากอดเขา หล่อนเดินตามเขามาตั้งแต่ตอนที่เขาเดินเลี่ยงออกมารับโทรศัพท์แล้ว
"เซอร์ไพรส์จังเลยค่ะ เซอไพรส์จริงๆที่เจอพี่ที่นี่"
หล่อนยังกอดเขาไว้แน่นพร้อมกับปล่อยหยาดน้ำตาที่กลั้นไว้ให้รินไหลลงมา
"หวา...พี่อธิบายได้นะหวา"
เจ้าหล่อนผละกอดจากเขาก่อนจะจ้องหน้าเขานิ่ง
"พี่เคยบอกหวาว่าไม่ชอบคนโกหก แต่วันนี้พี่กลับทำมันเสียเอง ดีจริงๆเลยนะคะ"
"หวา..."
"พ...เพชร"
กวินตาที่อุ้มลูกน้อยหมายจะมาตามเขาต้องชะงักนิ่ง
"มันคืออะไร พี่อธิบายมาสิ"
"บอกหวาสิคะพี่โกหกหวาทำไม บอกหวาสิว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกของพี่"
แค่เขาปฏิเสธออกมาหล่อนพร้อมที่จะเชื่อเขา
"เด็กคนนั้นเป็นลูกของพี่"
เขาพรูลมหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจเอ่ยบอกแฟนสาวไป
หยดนำตาหยดแหมะลงอีกระลอก เจ้าหล่อนใช้หลังมือปาดมันออกอย่างลวกๆ ก่อนจะพยักหน้าช้าๆอย่างเข้าใจ
"ถ้างั้นเราก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันค่ะ"
เจ้าหล่อนบอกก่อนจะถอยหลังหนีแล้วรีบวิ่งออกไป
"เดี๋ยวก่อนหวา…พี่อธิบายได้นะหวา"
สองเท้าที่ตั้งใจจะวิ่งตามแฟนสาวออกไปต้องชะงักเมื่อเสียงลูกน้อยแผดร้องขึ้น เขาจึงต้องเดินกลับเข้ามาหาลูกน้อยก่อน
เจ้าตัวเล็กดูเหมือนจะติดคนเป็นพ่อหนักมาก น่าเหลือเชื่อจริงๆ สำหรับหล่อนแล้วยังคิดว่าพชรพลยังเป็นคนแปลกหน้าสำหรับลูกน้อยหล่อนจึงอยากให้มันค่อยเป็นค่อยไป แต่ไหงเวลาผ่านมาไม่ถึงเจ็ดวันเสียด้วยซ้ำทำไมเจ้าตัวเล็กถึงดูติดบิดาขนาดนี้ มันคงจะเป็นเพราะสายสัมพันธ์พ่อลูกที่ทำให้เจ้าตัวเล็กไว้ใจคนแปลกหน้าได้ขนาดนี้