บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 8 สมบัติล้ำค่า

ปิงปิงได้เรียนรู้อีกเรื่องหนึ่งจากโลกใบนี้ คือที่นี่ไม่ได้ใช้เงินทองเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน ไม่มีสกุลเงินให้ใช้ ไม่มีการผลิตเหรียญ ผลิตแบงก์

เพียงมีหินปราณก็จับจ่ายซื้อของได้แล้ว กระทั่งวิชาบ่มเพาะไปตลอดจนอาวุธล้ำค่า รวมถึงโอสถสมุนไพรต่างๆ ก็สามารถใช้จ่ายได้เช่นกัน เพราะที่นี่คือโลกของผู้ฝึกตนที่ต้องการเพียงอายุขัยยืนยาว

หินปราณระดับสูงที่ฉุ่ยฉุ่ยหยิบใส่ห่อผ้ามา มีอยู่ราวสี่หมื่นก้อน ปิงปิงนั่งทบทวนถึงเรื่องที่จะทำ ทีละลำดับ ความจริงหินปราณพวกนี้นางสมควรที่จะใช้มันเพื่อบ่มเพาะพลัง แต่ด้วยฐานะความเป็นอยู่ในตอนนี้จึงไม่อาจทำเช่นนั้นได้

หลังจากจัดลำดับความสำคัญเรียบร้อย ปิงปิงก็พาสาวใช้ออกไปเดินสำรวจเมืองฉือ วันนี้สงสัยว่าเจ้านกน้อยคงจะอารมณ์ดีถึงได้บินขึ้นเกาะอยู่บนบ่าซุกหัวอยู่ในซอกคอของเด็กสาวอย่างสบายใจ

"เสี่ยวไป๋ เจ้าว่า หากข้าคิดทำการค้า ควรจะทำอะไรดี"

"ค้าในสิ่งที่ผู้ฝึกตนกำลังขาดแคลน และต้องการมากที่สุด"

"อย่างเช่นอะไร?"

"ก็หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโอสถ สมุนไพรหายาก ทักษะวิชาการต่อสู้ ทักษะบ่มเพาะ อาวุธ ยันต์ แผนผังค่ายกล"

"แล้วข้าควรจะไปหาของพวกนั้นจากที่ใด?"

"ขุดสมบัติ หรือไม่ก็ไปเรียนรู้เรื่องสมุนไพรและการปรุงยา รับทำภารกิจเหมือนทหารรับจ้าง"

"แต่ข้าต้องอยู่ในสำนัก เรื่องพวกนั้นคงไม่อาจทำได้ เรื่องสมุนไพรและปรุงยาก็ไม่แน่นัก แต่มันก็ยังต้องใช้เวลา" ปิงปิงรู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมาอีกครั้ง เพราะสิ่งที่เสี่ยวไป๋พูดมานั้น นางยังไม่อาจทำได้ในตอนนี้

สองเด็กสาวเดินมาจนมาถึงตลาดแผงลอยทางตะวันตกของเมือง เรียกว่าตลาดติดปีก ภาพสาวงามที่มีนกสีดำน่าเกลียดน่ากลัวเกาะอยู่บนบ่า ทำเอาหลายคนต้องพากันส่ายหน้า ยิ่งเห็นกระบี่ในมือนางด้วยแล้ว

โลกที่ถือเอาพลังเป็นใหญ่ ย่อมไม่ค่อยให้ความสนใจเรื่องความสวยความงาม ต่อให้งดงามเพียงใดก็ย่อมต้องมีวันแก่เฒ่า นอกเสียจากจะมีพลังมากพอที่จะมีอายุยืนยาว

นั่นคือเหตุผลที่ว่าเหตุใดอวี้ถิงที่มีความงดงามเป็นเลิศถึงไม่ตกเป็นที่สนใจของผู้คน

"ที่นี่แหละเจ้าค่ะ ที่คุณหนูถามบ่าวเมื่อคืน"

ก่อนนอนเมื่อคืน ปิงปิงถามสาวใช้ถึงตลาดที่สามารถหาซื้อของถูกแต่ดีได้ จริงๆ แล้วปิงปิงแค่เอานิสัยแม่ค้าในชาติก่อนมาใช้ ไม่ได้หวังว่าฉุ่ยฉุ่ยจะเข้าใจความหมายที่นางจะสื่อ แต่ไม่นึกว่า...

"หากซื้อของจากที่นี่จะไม่มีการรับรอง เรียกว่าตาดีได้ ตาร้ายเสีย เพราะมีผู้คนหลายประเภทที่มารวมตัวกันที่นี่ คุณหนูเห็นพ่อค้าพวกนั้นไหมเจ้าคะ นั่นนักขุดสมบัติ นั่นทหารรับจ้าง แล้วก็พวกวาดยันต์ปลายแถว ช่างตีอาวุธไร้ชื่อ และอีกหลากหลายเลยเจ้าค่ะ" ฉุ่ยฉุ่ยอธิบายพร้อมชี้ไม้ชี้มือให้ผู้เป็นนายดูอย่างใจเย็น

"แต่คุณหนูต้องระวังพวกต้มตุ๋นนะเจ้าคะ เพราะถ้าถูกหลอกไปแล้ว เราไม่อาจไปทวงของคืนได้ และฝ่ายผู้ดูแลของสำนักฉือคุนก็จะไม่ยุ่งเรื่องนี้"

"ฉุ่ยฉุ่ย เหตุใดเจ้าถึงรู้เรื่องมากมายเช่นนี้? ไม่ใช่ว่าเจ้าอยู่แต่ในจวนตระกูลกุ่ยมิใช่หรือ?"

"บ่าวเคยมาเดินที่นี่ครั้งหนึ่ง เมื่อครั้งที่มาส่งคุณหนูไงเจ้าคะ"

"แค่ครั้งเดียว เจ้าก็จำทั้งหมดนี่ได้เลย?"

"เจ้าค่ะ"

ปิงปิงรู้สึกราวกับค้นพบสมบัติล้ำค่า มองสาวใช้ตรงหน้าด้วยแววตาระยิบระยับ จนฉุ่ยฉุ่ยต้องก้มหน้าอย่างเอียงอาย "ฉุ่ยฉุ่ยน้อย~ เจ้ามาเป็นที่รักของข้าเถิด~"

"คุณหนูอย่าล้อบ่าวเล่นสิเจ้าคะ"

"อ๊ะ!" จู่ๆ เจ้านกน้อยก็จิกเข้าที่ลำคอขาวผ่องจนปิงปิงสะดุ้ง "เสี่ยวไป๋ ทำอะไรเนี่ย" สองมืออุ้มเจ้านกตัวดีมาอยู่ระดับเดียวกับใบหน้า พอเห็นหัวล้านของมันเชิดขึ้นเอียงหน้าไปทางอื่น "ฮะๆ" ปิงปิงก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้

เลยถูกดวงตาสีแดงมองค้อนให้อีกวงใหญ่ "ก็ได้ๆ ไม่หัวเราะแล้วก็ได้ เสี่ยวไป๋คงเหนื่อยแล้ว เข้ามานอนมา"

ปิงปิงยัดเจ้าตัวเล็กเข้าไปในผ้าคาดอกที่นางเตรียมเอาไว้ก่อนออกมา เพื่อให้เจ้านกจอมขี้เกียจได้เข้าไปนอน ซึ่งมันเป็นซอกตรงสองเต้าพอดี เห็นว่ามันไม่คัดค้าน แถมยังดิ้นดุกดิกเหมือนจะหาที่สบาย ปิงปิงจึงได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะหันมาพยักหน้าให้สาวใช้

"ไป พวกเราเข้าไปดูกัน"

"เจ้าค่ะ"

มีเพียงกระบี่ในมือปิงปิงเท่านั้น ที่ทำตัวราวกับไร้ชีวิต หรือบางทีมันอาจอยากตายขึ้นมาจริงๆ เพราะไม่อยากรู้อยากเห็นอะไรทั้งนั้น

ถึงแม้เสี่ยวไป๋จะเป็นเพียงนกน่าเกลียดและอ่อนแอในสายตาผู้คน แต่นั่นคือเศษเสี้ยวดวงจิตของจอมมารเฉิงชิวเชียวนะ

แล้วไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ร่างจริงจะนึกอยากพังที่คุมขังออกมา การที่ต้องมารับรู้ว่าจอมมารผู้ยิ่งใหญ่ถูกยัดไว้ในอกเสื้อของสตรี นับว่าไม่ใช่เรื่องดีเลยจริงๆ จะไม่ให้กระบี่ไม้ทำเหมือนตายได้อย่างไร

แต่ปิงปิงไหนเลยจะรู้เรื่องนี้ สองนายบ่าวเดินสำรวจไปทีละร้านอย่างใจเย็น บ้างก็ปูเสื่อขายกับพื้น บ้างก็แผงเล็กแผงใหญ่สลับกันไป ข้าวของก็มีให้ชมมากมาย

"เสี่ยวเฮ่ย"

"เจ้าจะเรียกข้าทำไมเนี่ย!" กระบี่ไม้ที่กำลังทำตัวเหมือนไม้ตายซาก ต้องสะดุ้งสุดตัว โวยวายเสียงแผ่วเบา ราวกับกลัวใครได้ยิน

"ข้าอยากให้เจ้าช่วยดูที ว่าอันไหนเป็นของล้ำค่าที่พอมีราคา"

"เฮอะ!" ถึงแม้ว่ามันจะทำเสียงไม่พอใจ แต่ก็ยังช่วยบอกนางอยู่ดี "เจ้าเห็นร้านของเจ้าหัวโล้นสองคนนั้นไหม รีบเข้าไปซื้อจานในร้านนั่นมา"

"จาน?"

"ก็ใช่น่ะสิ นั่นมันคือแผนผังค่ายกลที่สมบูรณ์ เร็วสิ หากมีพวกชำนาญค่ายกลมาเห็นเข้า เจ้าคงอดแน่ๆ"

ปิงปิงรีบสาวเท้าตรงเข้าไปยังร้านที่กระบี่บอก แต่เหมือนว่าฉุ่ยฉุ่ยจะมองจานใบนี้อยู่นานแล้ว เมื่อเข้ามาถึง สาวใช้จึงหยิบจานกลมๆ ที่ดูเหมือนจานข้าวธรรมดาขึ้นมาดู

ปิงปิงเห็นแล้วยังรู้สึกแปลกใจไม่น้อย แต่ยังแสร้งวางเฉยทำเป็นไม่สนใจ "ไม่เอาน่าฉุ่ยฉุ่ย ถึงที่บ้านจะขาดแคลนจาน แต่จานกระเบื้องเก่าโสโครกเช่นนี้ จะเอาไปทำไม"

"บ่าวขออภัยเจ้าค่ะคุณหนู" ฉุ่ยฉุ่ยทำท่าจะวางลง ส่วนปิงปิงก็แสร้งหยิบของอย่างอื่นขึ้นมาดู

"คุณหนูๆ เอาเช่นนี้เป็นไร หากท่านซื้อกระพรวนนั่น ข้าจะแถมจานใบนั้นให้สาวใช้ท่านด้วยดีหรือไม่ ของพวกนี้เป็นสมบัติที่ข้าพึ่งไปขุดมาได้ รับรองว่าเป็นของเก่าแก่"

"เท่าไหร่หรือ?"

ชายหัวโล้นทั้งสองมองหน้ากันไปมา ก่อนจะทำหน้าแหยๆ "ข้าขายให้ถูกๆ สิบหินปราณระดับต่ำ"

"หา? ตั้งสิบหินปราณระดับต่ำ ไม่ดีกว่า" ปิงปิงทำท่าจะวางกระพรวนลง

"แปดก็ได้ขอรับ"

"ก็แค่กระพรวนเก่าๆ กับจานโสโครกข้าจะเอาไปทำอะไร"

เรื่องที่เก่งที่สุดของปิงปิงก็คือเรื่องการต่อรอง เป็นไปตามคาด ทั้งกระพรวนพร้อมจาน ในที่สุดปิงปิงก็ซื้อมาได้ในราคาแค่สี่หินปราณระดับต่ำ

ซึ่งจากที่กระบี่ไม้ตีราคาให้นางฟัง ของสองชิ้นนี้ สามารถนำไปแลกได้ถึงห้าก้อนหินปราณขั้นสูง นั่นหมายถึงห้าร้อยก้อนหินปราณขั้นต่ำ เรียกกว่าได้กำไรมหาศาล

จากนั้นสองนายบ่าวก็เลือกซื้อของทั้งดีและถูกมากมายตามที่กระบี่บอกมาจนเต็มกระเป๋ามิติ ถึงได้พากันกลับออกจากตลาด

ของทุกชิ้นที่ปิงปิงซื้อมา ถูกนำไปขายให้โรงประมูลบ้าง ร้านอาวุธบ้าง สลับกันไปเกือบทุกร้านในเมืองฉือ ของบางอย่างถึงกับทำกำไรมากกว่าที่ตั้งเป้าเอาไว้ด้วยซ้ำ

จากเดิมที่มีแค่สี่หมื่นหินปราณขั้นสูงเวลานี้ปิงปิงมีเพิ่มเป็นเจ็ดหมื่นก้อนแล้ว สองนายบ่าวพากันซื้อเครื่องครัว และข้าวของอีกมากมาย กว่าจะกลับถึงจวนก็เป็นเวลาเย็น

และหลังจากวันนั้นปิงปิงก็ทำเช่นเดิมทุกวัน จนพ่อค้าในตลาดแทบจะเก็บแผงหนี กระทั่งเจ็ดวันผ่านไป พอเห็นว่ามีหินปราณอยู่ห้าแสนปิงปิงถึงได้วางใจ แบ่งจำนวนหนึ่งให้ฉุ่ยฉุ่ยไว้ใช้จ่าย จากนั้นก็กลับเข้าสำนักฉือคุน

ปิงปิงมาถึงซุ้มประตูหน้าสำนัก ก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป ศิษย์ที่ดูแลเหมือนจะมองนางแปลกๆ สายตาไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่

กระทั่งมาถึงหุบเขาเทียมจันทร์

"ศิษย์ใหม่อวี้ถิง ผู้อาวุโสมีคำสั่งให้เจ้าย้ายไปอยู่หุบเขาฟ้าร่วง คำสั่งออกมาตั้งแต่ครึ่งเดือนที่แล้ว เจ้าก็ไปรายงานตัวที่หุบเขาฟ้าร่วงแล้วกัน"

ปิงปิงยืนอึ้งไปทันทีที่ได้ยิน มองศิษย์พี่ผู้ดูแลตาไม่กะพริบ

"อย่าได้มองข้าเช่นนั้น เรื่องนี้จะมาโทษข้าไม่ได้นะ หากจะโทษก็ต้องโทษตัวเจ้าที่ชอบทำร้ายผู้อื่น" อีกฝ่ายมองอวี้ถิงด้วยสายตารังเกียจ

"ผู้นำตระกูลกุ่ยของเจ้า ส่งจดหมายมาขอความเป็นธรรมจากทางสำนัก กล่าวโทษว่าเจ้าทำร้ายคุณหนูรุ่ยญาติผู้น้องจนได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วหลบหนีมา ผู้อาวุโสถึงได้ตัดสินเช่นนี้ นี่ถ้าไม่เห็นแก่บิดาเจ้า พวกเขาคงส่งตัวเจ้ากลับไปรับโทษในตระกูลแล้ว"

พอรู้ต้นสายปลายเหตุ ปิงปิงก็ไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่ เพียงแค่นึกไม่ถึง ว่าคนตระกูลกุ่ยจะเล่นไม้นี้ "ขอบคุณศิษย์พี่ที่ช่วยบอกข้า ศิษย์น้องขอตัวเจ้าค่ะ"

เอ่ยจบร่างบอบบางก็ก้าวลงจากเขาตรงไปยังหุบเขาฟ้าร่วง ในหัวครุ่นคิดแผนการรับมือกับวันข้างหน้า

"ความจริงเจ้าออกจากสำนักไปเป็นแม่ค้าเสียก็สิ้นเรื่อง เรื่องการฝึกฝน ที่นี่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเจ้าได้อยู่แล้ว มีข้ากับเสี่ยวไป๋อยู่ สำนักกระจอกแห่งนี้จะนับเป็นอันใด" กระบี่ไม้ในมือลอยขึ้นมาวนรอบร่างบอบบาง พร้อมบ่นกระปอดกระแปดตามประสาพวกปากไม่อยู่สุข ตลอดเส้นทางที่ปิงปิงเดินผ่าน ทุกสายตาล้วนมองมาอย่างดูถูก

ศิษย์บางคนถึงขั้นเอ่ยวาจากระแนะกระแหนเสียงดัง

"พวกเจ้าดูสิ ใครบางคนยังมีหน้ากลับสำนักอีก ช่างหน้าหนาเสียจริง"

"ใช่ๆ จริงด้วย ไม่รู้ว่าหนังหน้าทำด้วยอะไรเนอะ"

ปิงปิงสาวเท้าผ่านคนพวกนั้นไป โดยไม่มีทีท่าจะสนใจ ราวกับทุกคนไม่มีตัวตน เพราะเมื่อชีวิตที่แล้ว เรื่องเช่นนี้นับเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับนาง แต่การกระทำของนางก็ยิ่งสร้างความโกรธเกรี้ยวให้แต่ละคนมากขึ้นไปอีก

"เฮอะ! ยโส! ดูสิว่าจะเชิดหน้าได้อีกนานแค่ไหน!"

ฟูด..

ฝีเท้าของปิงปิงชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคย ก่อนจะสาวเท้าต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจิตวิญญาณในอาวุธของเด็กพวกนั้นคงโดนกระบี่ของนางไล่ไปหมดแล้ว จะว่าไปเป็นแบบนี้ก็สะใจดีเหมือนกัน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel