ตอนที่ 7 เมืองฉือ
เมืองฉือ
เมืองนี้ดูแลโดยสำนักฉือคุน แต่เดิมรอบๆ สำนักเซียนมักมีชาวบ้านเข้ามาพักอาศัยอยู่ใกล้ เพราะรู้สึกปลอดภัย
จากชาวบ้านไม่กี่หลังคาเรือน ไม่นานก็กลายเป็นเมืองใหญ่ที่มีการค้ารุ่งเรือง เมืองฉือนับเป็นเมืองที่ค่อนข้างใหญ่และมีชื่อเสียงไม่ต่างจากสำนักฉือคุน
มีหอสูงเอาไว้แลกเปลี่ยนสินค้าอยู่หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นโอสถ เสื้อผ้าอาภรณ์ อาวุธ ตำรับตำรา โรงประมูล และอีกหลายอย่างมากมาย
ปิงปิงเองก็พึ่งได้เห็นเมืองฉือเต็มๆ ตาวันนี้
หลังจากหนีออกจากตระกูลกุ่ย ทั้งสองก็พากันลัดเลาะมาตามเส้นทางในป่า ด้วยความที่ฉุ่ยฉุ่ยไม่มีพลังปราณ ทำให้พวกนางต้องเดินเท้าอย่างคนธรรมดา และใช้เวลาไปร่วมเดือนกว่าจะกลับมาถึงที่นี่
"ข้าว่าพวกเราควรหาอะไรกินก่อน แล้วค่อยปรึกษากัน"
"เจ้าค่ะ"
อวี้ถิงพาสาวใช้เดินตรงไปยังร้านบะหมี่ข้างทาง ที่ไม่มีคนพลุกพล่าน "สั่งให้ข้าด้วย" ถึงแม้จะเป็นแค่ร้านบะหมี่ แต่ปิงปิงก็ยังไม่แน่ใจ ว่าจะเหมือนที่นางจากมา
"ท่านลุง บะหมี่สองชาม"
"เฮอะ! เจ้านี่มันตัวโง่งมโดยแท้ กระทั่งจะสั่งบะหมี่กินก็ยังไม่รู้" เสียงกระบี่ไม้ดังขึ้นในหัวทำให้ปิงปิงต้องกลอกตามองบน อดที่จะเถียงกลับไปไม่ได้ "คนไม่รู้ย่อมต้องศึกษาก่อนมิใช่หรือ"
เด็กสาวล้วงมือเข้าไปอุ้มเจ้านกจอมขี้เกียจที่เอาแต่นอนหลับอุตุขึ้นมาดู ตัวมันอ่อนปวกเปียกราวกับตายแล้ว "เสี่ยวไป๋?"
"นี่เจ้าอย่าไปรบกวนสิ ปล่อยให้เขานอนไป!" กระบี่ไม้ตะคอกเสียงดังจนปิงปิงตกใจ แต่คร้านจะสนใจให้มากความ จึงวางเจ้าตัวเล็กกลับลงไปในกระเป๋าเช่นเดิม ก่อนจะหันมาคุยกับฉุ่ยฉุ่ย
"เจ้าเข้าไปอยู่ในสำนักกับข้าไม่ได้ ไม่รู้ว่าที่นี่ พอจะมีบ้าน เอ่อ.. ที่ให้เช่า หรืออะไรทำนองนี้ไหม"
"มีเจ้าค่ะ หรือถ้าคุณหนูอยากซื้อจวนเล็กๆ เอาไว้สักหลังก็พอได้เจ้าค่ะ เพราะตอนนี้พวกเรา...เอ่อ" สาวใช้เงียบไปอึดใจ ถึงได้เอ่ยประโยคที่เหลือออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา "ไม่มีบ้านให้กลับแล้ว"
ชามบะหมี่ถูกยกมาวาง พอลุงขายบะหมี่เดินกลับไป ปิงปิงถึงได้เอ่ยต่อเสียงไม่ดังนัก "ถ้าอย่างนั้น กินอิ่มแล้ว พวกเราค่อยไปหาซื้อจวนกัน"
"เจ้าค่ะ"
ไม่นานทั้งสองก็พากันออกจากร้านบะหมี่ตรงไปหาซื้อบ้าน ใจจริงแล้ว ปิงปิงอยากได้จวนที่อยู่ใกล้ตีนเขาสำนักฉือคุน แต่ที่นั่นราคาค่อนข้างสูง เพราะสถานะของคุณหนูอวี้ในเวลานี้ นับว่าห่างจากคำว่ายากจนไม่ไกลนัก
จึงซื้อได้เพียงจวนหลังเล็กใกล้ป่าหลังเขา เป็นจวนเก่า ตั้งอยู่ห่างไกลความเจริญจนไม่มีใครอยากมาอยู่ ถึงราคาจะถูก แต่ก็ทำให้หินปราณของอวี้ถิงแทบจะหมดตัว
เด็กสาวนั่งเท้าคางมองหินปราณที่เหลือไม่ถึงสิบก้อนด้วยความกลัดกลุ้ม ไหนจะค่าเล่าเรียนที่ต้องจ่ายให้สำนักฉือคุน ไหนจะค่ากินอยู่ของนางและฉุ่ยฉุ่ย
หรือข้าจะกลับไปขายผลไม้เหมือนก่อนดี
"ถุย! คิดอะไรโง่ๆ" แค่ปิงปิงเผลอคิดในใจก็ถูกกระบี่ไม้ด่ากลับมาทันที "ข้าก็แค่คิดเล่นๆ เฉยๆ"
"เฮอะ! เจ้าช่วยใช้สมองหน่อยได้หรือไม่ เจ้าบอกเองว่าต้องศึกษาก่อน แล้วไยไม่ไปดูให้ทั่วเล่าว่าควรต้องทำการค้าอะไร ข้าถามจริงๆ ในโลกเก่าของเจ้า เจ้าเอาตัวรอดมาได้อย่างไร!"
ปิงปิงโดนด่าจนมึน คร้านจะเถียงกับกระบี่ปากจัดให้มากความ แต่ความจริงก็นับว่ากระบี่อัปลักษณ์กล่าวได้ถูกต้อง "ขอบใจนะเสี่ยวเฮ่ย"
"เสี่ยวเฮ่ย? ใครคือเสี่ยวเฮ่ย"
"ก็เจ้าไง ข้ามีเสี่ยวไป๋แล้วก็ต้องมีเสี่ยวเฮ่ยถูกไหม"
"มารดามันเถอะ! ดำกับขาวเนี่ยนะ เจ้าตัวโง่งมเอ๊ย! ขนาดตั้งชื่อเจ้ายังไม่ยอมใช้ความคิดเลย! เจ้านี่มันช่าง...."
"เอาน่า เสี่ยวไป๋ยังไม่เห็นบ่นเลย มันเรียกง่ายดีออก พวกเจ้าจะได้ชื่อพ้องกัน"
"พ้องกับผีน่ะสิ! ฮึ!" ถึงแม้กระบี่ไม้จะโมโหแค่ไหน ก็ได้แต่กล้ำกลืนเอาไว้ เพราะปิงปิงเล่นเอาเสี่ยวไป๋มาอ้าง เกิดพูดมาก ไปกระทบเจ้าตัวเล็กในกระเป๋าเข้ามันจะยุ่ง
"คุณหนู บ่าวเตรียมเครื่องมือไว้ทำความสะอาดพร้อมแล้วเจ้าค่ะ" ยังดีที่ฉุ่ยฉุ่ยมาช่วยขัดจังหวะ ปิงปิงถึงได้ลุกจากเก้าอี้
"ไป พวกเราช่วยกันทำเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ"
"แต่เรื่องพวกนี้ให้บ่าวทำเองก็ได้นะเจ้าคะ"
"ไม่เป็นอะไร ช่วยกันน่ะดีแล้ว ลงมือเถิด เดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน"
ฉุ่ยฉุ่ยย่อมไม่กล้าขัดใจผู้เป็นนาย สองสาวช่วยกันลงมือทำความสะอาดจวนกันอย่างขะมักเขม้น กระทั่งเย็น ภายในจวนถึงแลดูสะอาดเอี่ยมอ่อง ปิงปิงยังไม่รู้สึกเหนื่อยเลยด้วยซ้ำ
"พวกเรายังขาดเครื่องครัว มื้อนี้คงต้องรบกวนเจ้าออกไปซื้ออาหารมากินก่อน" อวี้ถิงหันไปเอ่ยกับสาวใช้ที่กำลังจัดข้าวของในห้อง
"เจ้าค่ะ บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้"
หลังจากที่ฉุ่ยฉุ่ยออกไป ปิงปิงก็นังครุ่นคิดเรื่องการค้าขาย คาดว่าหลายวันนี้นางคงยังไม่เข้าสำนัก ไม่รู้ว่าคนตระกูลกุ่ยจะตามมาหรือไม่ ดูท่าแล้วคืนนี้ต้องสอบถามฉุ่ยฉุ่ยให้รู้เรื่อง จะได้เตรียมตัวรับมือได้ทัน
หลังจากทั้งสองกินมื้อเย็นจนเสร็จ ปิงปิงก็เอ่ยถามสาวใช้เรื่องของตระกูลกุ่ยทันที "ข้าอยากรู้เรื่องในตระกูล"
"เจ้าค่ะ" ฉุ่ยฉุ่ยเริ่มเล่าเรื่องที่นางรู้อย่างไม่คิดปิดบัง
ในตอนที่อวี้ถิงต้องการมาสอบเข้าสำนักฉือคุน ความจริงแล้วเซียนกุ่ยไม่น่าจะยอม แต่ไม่รู้เหตุใดจึงยอมตามใจบุตรสาว บางทีนั่นอาจเป็นเพราะรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุร้ายกับตัวเอง
หลังจากที่อวี้ถิงจากมาเพียงสองวัน ผู้อาวุโสของสำนักเมี่ยวไฉก็มาขอพบเซียนกุ่ย เพื่อขอความช่วยเหลือให้ไปปราบปีศาจปี่จู้ที่อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวหลังจากที่หายสาบสูญไปนาน
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องจริงหรือเท็จ แต่ใครจะกล้าไปพิสูจน์ แล้วยิ่งไม่มีใครกล้าคิดว่าตระกูลกุ่ยจะยอมสูญเสียสองเซียนที่เป็นเสาหลักไปจนถึงขั้นวางแผนร้ายกำจัด
ซึ่งมันต่างกับสาวใช้ไร้ค่าที่ไร้ผู้คนสนใจ ไม่เพียงฉุ่ยฉุ่ยจะเผลอไปรู้ความลับของเหล่าผู้อาวุโสในตระกูล ยังรู้ถึงแผนร้าย ที่แท้แล้วคนตระกูลกุ่ยก็ตั้งใจกำจัดบิดามารดาของอวี้ถิงจริงๆ โดยการร่วมมือกับเซียนต่างแดน
คนพวกนั้นต้องการตำราบันไดสวรรค์ที่บันทึกอยู่ในหยกหมื่นปี ว่ากันว่าที่ท่านเซียนกุ่ยบรรลุขั้นเซียนได้เพราะตำราเล่มนี้ เท่านั้นยังไม่พอ ในตำรายังมีวิชาบ่มเพาะพลังเทพ ที่สามารถทำให้ขึ้นไปสู่ขั้นเทพได้ เรื่องร้ายจึงเกิดขึ้นกับบิดามารดาของอวี้ถิง
หลังจากที่พบคุณหนูอวี้ ฉุ่ยฉุ่ยที่รู้เรื่องดีจึงรีบหาทางเข้าไปขโมยสมบัติบางส่วนออกมา ก่อนที่คนพวกนั้นจะเข้าไปแบ่งสมบัติของนายท่านและฮูหยิน
พอสาวใช้เล่าจบ ปิงปิงก็เรียกห่อผ้าออกมาจากกระเป๋ามิติ "นี่เป็นของที่เจ้าขโมยมาหรือ?
"เจ้าค่ะ"
"อย่าบอกนะว่าเจ้าขโมยหยกหมื่นปีอะไรนั่นมาด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้น พวกเราก็เตรียมตัวตายได้เลย"
"ไม่หรอกเจ้าค่ะ ของล้ำค่าเช่นนั้น บ่าวไม่คิดว่านายท่านจะเก็บไว้ในห้องสมบัติ" ปิงปิงเปิดห่อผ้าดูไปพลางนั่งฟังฉุ่ยฉุ่ยไปพลาง "บ่าวเลือกมาแต่ของที่จำเป็น อย่างเช่นจำพวกหินปราณ ที่คนพวกนั้นจะไม่สังเกตเห็นเจ้าค่ะ"
ความรอบคอบของเด็กสาวตรงหน้าทำให้ปิงปิงต้องเงยจากห่อผ้าขึ้นมามองอีกฝ่ายด้วยความทึ่ง "นี่เจ้ารอบคอบถึงเพียงนี้เลยหรือ"
เด็กสาวก้มหน้าด้วยความเอียงอาย "เจ้าค่ะ บ่าวเกรงว่าถ้าคนพวกนั้นรู้ว่ามีคนไปขโมยสมบัติ แล้วจะพาลคิดว่าหยกหมื่นปีอยู่ที่พวกเรา"
"ฮึ! แต่ข้าว่าถ้าพวกนั้นหาหยกนั่นไม่เจอจริงๆ คนแรกที่พวกเขาจะมาหา ก็คือข้า!" ปิงปิงแค่นเสียงอย่างดูแคลน
"ก็จริงเจ้าค่ะ เพราะฉะนั้นคุณหนูต้องรีบกลับเข้าสำนัก จะได้ปลอดภัย"
"เรื่องนั้น ข้าเริ่มไม่แน่ใจแล้ว เจ้าบอกเอง ว่ามีเซียนจากต่างแดนเข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าให้เดา เซียนพวกนั้นน่าจะเป็นผู้สังหารบิดามารดาของข้า แล้วเจ้าสำนักฉือคุนจะรอดหรือ?"
ฉุ่ยฉุ่ยถึงกับมีสีหน้าสลดลง จนปิงปิงต้องเอ่ยปลอบ "ไม่ต้องกังวลไป ทหารมาก็ใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาก็ใช้ดินต้าน มาถึงขั้นนี้แล้วยังต้องกลัวอันใดอีก"
ทั้งสองพูดคุยปรึกษากันจนดึกดื่น ถึงได้แยกย้ายกันไปนอน
ปิงปิงนั่งขัดสมาธิลงบนเตียง ก่อนจะฝึกวิชา ยังไม่ลืมที่จะถามกระบี่เรื่องหยกหมื่นปี "เจ้าได้ยินที่นางเล่าแล้วใช่หรือไม่ ตำราบันไดสวรรค์คืออะไร"
"ตำราบันไดสวรรค์ เป็นตำราที่ว่ากันว่าเทพท่านหนึ่งบันทึกเอาไว้เมื่อหลายหมื่นปีก่อน ส่วนมากผู้คนมักได้ยินแต่ชื่อ แต่ไม่มีผู้ใดเคยเห็น ไม่แน่ว่าอาจไม่มีจริง"
ปิงปิงนิ่งคิดชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป หลับตาเข้าสมาธิฝึกวิชา
ทักษะบ่มเพาะที่เสี่ยวไป๋ให้มานับว่าล้ำค่าไม่น้อย ไม่เพียงแค่จะดูดซับพลังได้มากยังสามารถกลั่นพลังได้รวดเร็วจึงทำให้ร่างกายได้รับพลังบริสุทธิ์กว่าทักษะทั่วไป
เช้าวันใหม่มาเยือน ปิงปิงลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสายด้วยท่าทางประหลาดเช่นเคย
"คุณหนูตื่นหรือยังเจ้าคะ บ่าวเตรียมน้ำอุ่นเอาไว้ให้แล้วเจ้าค่ะ"
"อืม ตื่นแล้ว"
ฉุ่ยฉุ่ยยกกระมังล้างหน้าเข้ามา แต่ปิงปิงกลับอยากอาบน้ำมากกว่า "น้ำในบ่อเย็นมากหรือไม่ เจ้าเอาอะไรต้มน้ำ?"
"เศษโอ่งที่แตก กับฟืนเจ้าค่ะ ยังดีที่น้ำในบ่อไม่เย็นเท่าไหร่"
"ถ้าอย่างนั้น เจ้าช่วยเตรียมน้ำใส่อ่างให้ข้าที ไม่ต้องต้มหรอก"
"เจ้าค่ะ"
ยังดีที่ในจวนมีเครื่องเรือนครบ ขาดเพียงเครื่องครัว มิเช่นนั้น ทั้งสองคงลำบากกว่านี้
หลังจากสาวใช้เตรียมน้ำเสร็จ ปิงปิงก็เปลือยกายแช่ตัวลงในอ่าง จู่ๆ เจ้านกจอมขี้เกียจที่หลับอุตุมาหลายวันก็บินอย่างทุลักทุเลมาเกาะขอบอ่าง ซ้ำยังทำตาออดอ้อน
"เสี่ยวไป๋ก็อยากอาบน้ำเหมือนกันหรือ? มานี่มา"
เจ้านกน่าเกลียดถูกอุ้มเข้าไปเบียดสองเต้าอวบอิ่มอย่างเบามือ ท่าทางเหมือนมันจะพอใจไม่น้อย ถึงได้ใช้หัวล้านเลี่ยนถูกไถทรวงอกของปิงปิงไม่หยุด
"ฮะๆ จักจี้น่า ไม่เอา อย่าซนสิ" เด็กสาวถึงกับหลุดหัวเราะออกมา
"ก็ข้าชอบนี่" เสียงทุ้มนุ่มของมัน ทำให้ร่างกายของปิงปิงรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ลืมมันอย่างรวดเร็ว "มาเถอะข้านวดปีกให้จะได้สบาย"
หนึ่งคนหนึ่งนกอาบน้ำกันอย่างสนุกสนาน ปล่อยให้กระบี่อัปลักษณ์อึดอัดคันปากแทบตาย จนมันต้องแอบก่นด่าความโง่เขลาของเด็กสาวในใจไม่รู้กี่รอบ