ตอนที่ 6 ตระกูลกุ่ย
ตระกูลกุ่ย ตั้งอยู่ในพื้นที่หลายร้อยไร่ ใหญ่พอๆ กับสำนักเล็กๆ สำนักหนึ่งเลยทีเดียว ซ้ำตระกูลเซียนแห่งนี้ ยังรับศิษย์ภายนอกที่มากความสามารถเอาไว้มากมาย โดยผู้ที่จะเข้าร่วมตระกูลได้ต้องเปลี่ยนมาใช้แซ่กุ่ย
บิดาของอวี้ถิง คือผู้ที่เป็นเสาหลักของตระกูล ที่ทำให้ตระกูลกุ่ยได้ชื่อว่าเป็นตระกูลเซียนมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อสิ้นเสาหลักไป ภายในจึงเกิดความวุ่นวายไม่น้อย
พิธีศพถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ผู้คนพากันมาเคารพศพมากมาย งานนี้ถือเป็นการรวมตัวของเหล่าเซียน เพราะไม่เพียงทุกคนจะมาเคารพศพ แต่ยังมาถามข่าวคราวเรื่องปีศาจปี้จู้ที่เป็นภัยมหันต์ต่อดินแดนมนุษย์
เด็กสาวร่างบอบบางที่มาพร้อมรองเจ้าสำนักฉือคุน กลายเป็นที่จับตามองทันทีที่ก้าวลงจากรถม้า เสียงวิพากษ์วิจารณ์เริ่มดังไม่หยุดหย่อน
"นั่นคุณหนูอวี้ถิงมาถึงแล้ว พวกเจ้าดูสิ พวกเจ้าว่าวันข้างหน้านางจะเป็นอย่างไร"
"เฮอะ! นางทำเรื่องชั่วช้ากับผู้คนไว้มากมาย ไม่มีเซียนกุ่ยคอยปกป้อง เจ้าก็รอดูเอาเองเถิด ข้าพูดแค่นี้แหละ"
เสียงกระซิบกระซาบนินทาเบาแสนเบา ที่ทุกคนคิดว่าอวี้ถิงจะไม่ได้ยิน แต่นางกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน
ปิงปิงนิ่วหน้าเล็กน้อย แต่ฝีเท้ายังก้าวตามหลังรองเจ้าสำนักอย่างมั่นคง กระทั่งเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลออกมาต้อนรับและพูดคุยกับรองเจ้าสำนัก
ปิงปิงก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็นางไม่ใช่อวี้ถิง ย่อมไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ทั้งไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ใด หรือทำอะไรต่อ
ท่าทางโง่งมของบุตรสาวเซียน ยิ่งทำให้เสียงนินทาดังขึ้นไปอีก กระทั่งผู้คนในตระกูลกุ่ยยังมองนางด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
"อาถิง! มัวยืนเซ่ออะไรอยู่ รีบเข้าไปเปลี่ยนชุด คุกเข่าหน้าโลงศพสิไป!" หนึ่งในชายชราที่มาต้อนรับ ขมวดคิ้วเอ่ยเสียงเข้ม ซึ่งเรื่องนี้ก็นับว่าน่าแปลก สำหรับเด็กสาวที่สูญเสียบิดามารดา ไม่ใช่พวกเขาสมควรปลอบโยนนางหรือ
"ข้าว่าตระกูลของเจ้าน่าสนใจกว่าที่คิดนะ สาวน้อย" เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นในหัว ทำให้ปิงปิงรู้สึกอุ่นใจขึ้น แต่เสียงของกระบี่ไม้ในมือที่ดังตามมาต้องทำให้ปิงปิงรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
"เจ้าแก่นี้มันน่าจับเผาหนวดเสียจริงๆ ดู! เจ้าดู! หนวดที่กำลังกระดิกนั่น เพ้ย! พูดแล้วหมั้นเขี้ยว เผาเลย..."
"อย่าเชียวนะ!" เด็กสาวรีบร้องห้ามเสียงหลง แม้จะคุยกันผ่านจิตยังรู้ถึงความตกใจ นางรู้ว่าเจ้ากระบี่อัปลักษณ์นี้มักชอบลงมือก่อนพูด "ตอนนี้ ข้าว่าพวกเรามาช่วยกันคิดก่อนดีกว่า ว่าข้าควรทำอะไรเป็นอย่างแรก"
"นู่น! ประตู ก็แค่เดินออกไป แสร้งถามข้ารับใช้ หาเรือนที่เจ้าเคยอยู่เป็นอันดับแรกก่อน อย่าโง่นักสิ!"
ปากเช่นนี้คงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากกระบี่ตัวดี แต่ก็นับว่าช่วยนางได้มาก อวี้ถิงยอบกายให้เหล่าผู้อาวุโสด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย ไม่คิดเอ่ยวาจา ก่อนจะก้าวออกจากห้องโถง ทำตามที่กระบี่แนะนำ
นับว่ายังโชคดีที่คุณหนูอวี้ยังมีสาวใช้ส่วนตัวเหลืออยู่ ที่ว่าเหลืออยู่เพราะมีหลายคนหายสาบสูญไปอย่างไร้สาเหตุ จนมีบางคนในตระกูลกล่าวหาว่าอวี้ถิงสังหารสาวใช้พวกนั้น
เด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับอวี้ถิง นามฉุ่ยฉุ่ย พาอวี้ถิงกลับมาเปลี่ยนชุดในเรือนที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า ปิงปิงยังหลอกถามสาวใช้ผู้นี้ จนได้ความมาอีกหลายเรื่อง
ฉุ่ยฉุ่ยเป็นเด็กสาวโง่งมที่มีเส้นชีพจรตีบตัน เดิมทีนางเป็นลูกพ่อบ้านคนสนิทของเซียนกุ่ย แต่ด้วยความที่เป็นเด็กไร้ค่า บิดามารดานางจึงไม่ให้ความสนใจเท่าใดนัก การถูกส่งมาเป็นสาวใช้ของคุณหนูอวี้ ก็เหมือนส่งบุตรีเข้าลานประหาร แต่พวกเขาก็ยังทำ
ปิงปิงได้ฟังเรื่องราวเล่านี้จากปากของเด็กสาวให้นึกสงสารอีกฝ่ายไม่น้อย "หากเจ้าไม่อยากอยู่ที่นี่ หลังเสร็จงานศพท่านพ่อท่านแม่ ก็ไปอยู่กับข้า"
ฉุ่ยฉุ่ยตาโตเป็นไข่ห่าน ปากอ้าค้าง แทบไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนหน้านี้นางถูกคุณหนูทุบตีด้วยความรังเกียจอยู่บ่อยๆ แต่วันนี้... กลับ
"ไม่อยากไปหรือ?"
"คะ.. คุณหนู มะ..ไม่รังเกียจบ่าวแล้วหรือเจ้าคะ"
ปิงปิงส่ายหน้าเล็กน้อยในจังหวะที่ทั้งสองเดินสวนกับคนอื่น ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาให้พอได้ยินกันสองคน "เจ้าช่วยพาข้าไปห้องโถงตั้งศพที" ฝีเท้าของปิงปิงช้าลง ปล่อยให้สาวใช้เดินนำ ความโง่งมทำให้ฉุ่ยฉุ่ยไม่นึกสงสัย เพียงตำตามสั่งอย่างว่าง่าย
ตลอดเวลาที่ปิงปิงนั่งอยู่หน้าโลงศพก็แอบพูดคุยกับฉุ่ยฉุ่ย ถึงเรื่องราวในตระกูลกุ่ยไปด้วย ยังแอบถามชื่อและฐานะของแต่ละคน กว่าจะเสร็จเรื่อง ปิงปิงก็ได้ข้อมูลมามากมาย
วันแรกของปิงปิงในตระกูลกุ่ย นับว่าผ่านไปด้วยดี พอกลับถึงเรือน นางก็เริ่มสอบถามสาวใช้เกี่ยวกับตระกูลกุ่ยอย่างจริงจังอีกครั้ง
เดิมทีบิดาของอวี้ถิงเป็นเพียงลูกนอกสมรสของคุณชายรองในตระกูล ไม่เพียงมีฐานะต่ำต้อย แต่ยังไม่ได้รับการยอมรับ
พึ่งจะเข้าตระกูลได้ก็ตอนมีพลังปราณยุทธขั้นสูงแล้ว หลังจากที่สร้างชื่อเสียงให้ตระกูลกุ่ยมากมาย ถึงได้ใช้แซ่กุ่ยเต็มตัว กลายเป็นบุตรหลานชั้นนำของตระกูล กระทั่งสำเร็จปราณเซียนจึงได้กลายเป็นผู้นำ ทั้งที่ตำแหน่งนี้ สมควรเป็นของบุตรชายคนโต
ประวัติบิดาของอวี้ถิง ทำให้ปิงปิงต้องส่ายหน้า ฟังดูก็รู้ว่าตระกูลกุ่ยแห่งนี้มิใช่ที่ที่นางสมควรอยู่
หลังจากเสร็จพิธีฝังศพ แขกเหรื่อพากันกลับไปจนหมด ปิงปิงก็เตรียมตัวเก็บข้าวของเพื่อกลับสำนัก เพราะที่แห่งนี้ไม่อาจอยู่นานได้ ดูจากสายตาผู้คนในตระกูลที่มองอวี้ถิงเหมือนรอจะฉีกเนื้อนางอย่างไรอย่างนั้น
"คะ..คุณหนูเจ้าคะ เร็วเถิดเจ้าค่ะ พวกเรารีบเก็บของไปจากที่นี่กัน บ่าวแอบไปขโมยข้าวของบางส่วนที่เป็นของนายท่านกับฮูหยินมาได้เล็กน้อย" จู่ๆ ฉุ่ยฉุ่ยก็รีบเดินก้มหน้าก้มตาเข้ามาในห้อง พร้อมกับห่อผ้า
ปิงปิงไม่ได้สนใจห่อผ้าที่สาวใช้ยื่นให้ แต่นางสนใจใบหน้าของอีกฝ่ายมากกว่า "เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?"
"บะ..บ่าวไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ นี่สมบัติของคุณหนู พวกเรารีบไปกันเถิด" ฉุ่ยฉุ่ยยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาปิดบังใบหน้าที่บวมแดง ส่วนมืออีกข้างยังยื่นห่อผ้าค้างให้ผู้เป็นนาย
"ตอบมา ใครทำอะไรเจ้า?" ทำให้ปิงปิงต้องเอ่ยถามอีกครั้งด้วยเสียงเข้มขึ้นจนสาวใช้สะดุ้ง
"เอ่อ.. คะ..คุณหนูรุ่ยหลิงเจ้าค่ะ"
"เหตุใดนางถึงลงมือกับเจ้า"
"เอ่อ..คือ.."
ฉุ่ยฉุ่ยก้มหน้าก้มตาด้วยความหวาดกลัว ทำเสียงอึกๆ อักๆ ในลำคอ แต่ต่อให้สาวใช้ผู้นี้ไม่ตอบ นางก็รู้ดีว่าทำไม ก็แค่พวกชอบตีสุนัขฝากเจ้าของ
"พาข้าไปหานาง!" เดิมทีคนอย่างปิงปิงก็ไม่เคยยอมใครอยู่แล้ว ยิ่งได้ฟังเรื่องราวอันน่าเวทนาของฉุ่ยฉุ่ย บวกกับได้รู้นิสัยของคนตระกูลกุ่ย นางก็ยิ่งไม่สบอารมณ์
ฉุ่ยฉุ่ยย่อมหวาดกลัวคุณหนูอวี้มากกว่า เมื่อนางสั่ง สาวใช้ผู้ใสซื่อไหนเลยจะกล้าขัด
อวี้ถิงเดินตามฉุ่ยฉุ่ยมาถึงลานฝึกยุทธตระกูลกุ่ย สายตามองไปยังเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกับนางที่กำลังรำกระบี่ ไม่ต้องรอให้ฉุ่ยฉุ่ยเดินนำ ร่างบอบบางก็สาวเท้าเข้าไปหากลุ่มของคุณหนูรุ่ยหลิงทันที
เด็กสาวราวสิบกว่าคนที่มุงดูอยู่ ถึงกับพากันตกใจ ถอยห่างคุณหนูรุ่ยออกไปหลายก้าว เหลือเพียงสองสามคนเท่านั้น ที่มองมายังอวี้ถิงอย่างท้าทาย
"เจ้าเป็นคนทำร้ายสาวใช้ข้า?"
รุ่ยหลิงหยุดรำกระบี่ หันมาเหยียดปากใส่พร้อมกับมองมาด้วยสายตาดูถูก "แล้วอย่างไร ข้าจะตบจะตีใครเกี่ยวอันใดกับเจ้า อย่าลืมสิ ว่าตอนนี้เจ้าไม่มีคนคุ้มกะลาหัว ยังคิดว่าจะมีใครเกรงกลัวเจ้าอีกหรือ"
"ฮึ! ศพบิดามารดาข้าถูกฝังดินยังไม่ทันอุ่น พวกเจ้าก็รีบอยากฉีกเนื้อข้าแล้ว?" อวี้ถิงแค่นเสียงใส่ กวาดตามองไปยังเด็กสาวรอบๆ ก่อนจะกลับมาจับจ้องที่ใบหน้าของคุณหนูรุ่ย
เพี้ย ๆ ๆ ๆ
แล้วสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ฝ่ามือเรียวบางขยับอย่างรวดเร็วจนมองไม่ทัน มีเพียงเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังถี่รัว ก่อนที่ร่างของรุ่ยหลิงจะล้มกลิ้งไปกองกับพื้น เกิดความเงียบไปทั่วบริเวณ กระทั่งเสียงกรีดร้องแหลมสูงดังขึ้น
"กรี๊ดดดดด! จะ..เจ้า! นี่เจ้ากล้าตบข้า!"
"ใช่! แล้วอย่างไร!? ข้าจะตบจะตีใคร มันก็เรื่องของข้า ข้าอยากตบเจ้าข้าก็ตบ อยากตีเจ้าข้าก็ตี เจ้ามีปัญหาอะไร" อวี้ถิงยืนกอดอกเหยียดปากใส่ ไม่ต่างจากท่าทางของรุ่ยหลิงเลยแม้แต่น้อย
"ข้าจะสั่งสอนเจ้า! นังตัวดี!" กระบี่หยกในมือของรุ่ยหลิง ลอยตัวขึ้นพุ่งโจมตีมายังอวี้ถิงโดยไม่ตั้งตัว
เพล้ง!!! เสียงใสของหยกดังก้องสนามฝึก แต่นั่นกลับไม่ใช่เรื่องน่ายินดี เพราะกระบี่หยกยังไม่ทันถึงตัวอวี้ถิงก็ถูกกระบี่ไม้สกัดเอาไว้
เสียงเศษหยกร่วงกราวลงบนพื้น ทำให้รุ่ยหลิงถึงกับกระอักเลือด เมื่ออาวุธที่ผูกจิตวิญญาณถูกทำลาย ผู้ที่ครอบครองมันย่อมบาดเจ็บตามไปด้วย เรื่องที่สมควรจะเป็นแค่เรื่องเล็กจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันที
ฉุ่ยฉุ่ยเห็นเช่นนั้น ก็รีบคว้าข้อมือผู้เป็นนาย "คุณหนูไปเถิดเจ้าค่ะ พวกเราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว รีบไปก่อน เดี๋ยวบ่าวค่อยเล่าให้ท่านฟัง"
ถึงแม้ฉุ่ยฉุ่ยจะแลดูโง่งมในสายตาคนอื่น แต่ความจริงนางนับเป็นคนที่เข้าใจสถานการณ์ในตระกูลดีกว่าใคร ทั้งยังเป็นผู้ที่เก็บความลับเอาไว้มากมาย
ท่านปู่ของหรุ่ยหลิงคือบุตรชายคนโตที่สมควรนั่งตำแหน่งผู้นำตระกูล แต่ถูกบิดาของอวี้ถิงแย่งไป ที่รุ่ยหลิงกล้าลงมือเช่นนี้ ย่อมมีผู้ใหญ่ให้ท้าย ฉุ่ยฉุ่ยย่อมเข้าใจเรื่องนี้ดี
ปิงปิงนิ่วหน้าเล็กน้อย แต่ก็ยอมทำตามสาวใช้ เจ้านกน้อยบินออกจากกระเป๋าชุดคลุมมาเกาะบนไหล่ ส่วนกระบี่ไม้ก็กลับเข้ามาอยู่ในมือ
ฉุ่ยฉุ่ยเร่งพาผู้เป็นนายหนีไปโดยไม่สนใจเสียงกรีดร้องโวยวายในสนามฝึก ทั้งสองพากันลัดเลาะออกไปตามเส้นทางลัด ความจริงเส้นทางนี้ ไม่มีใครสามารถเข้าออกได้ แต่ไม่รู้ทำไม สาวใช้ที่ดูโง่งมกลับพาอวี้ถิงหนีออกไปได้อย่างสบาย
"สาวใช้ของเจ้าคนนี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ" เจ้านกน่าเกลียดพูดจบ ก็ใช้หัวล้านเลี่ยนถูไถลำคอขาวผ่องด้วยความเคยชิน
กระทั่งทั้งสองพากันออกจากพื้นที่ตระกูลกุ่ย ถึงได้ถอนใจออกมาอย่างโล่งอก
"คุณหนูถึงจะออกมาพ้นแล้ว แต่ก็ยังไม่ถือว่าปลอดภัยนะเจ้าคะ พวกเรารีบเดินทางต่อเถิดเจ้าค่ะ ควรไปให้ถึงสำนักฉือคุนให้เร็วที่สุด อย่างน้อยคนตระกูลกุ่ยก็ไม่กล้าเข้าไปจัดการกับท่านที่นั่น"
"ฉุ่ยฉุ่ย นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่"
"เอาไว้ไปถึงแล้ว บ่าวค่อยเล่าให้ท่านฟังเจ้าค่ะ"
ปิงปิงทำตามที่สาวใช้บอกอย่างไม่คิดอิดออด เพราะนางไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางของตระกูลกุ่ย สมควรอยู่ห่างเอาไว้ก่อนจะดีกว่า ทั้งสองรีบพากันเดินทางกลับสำนักด้วยเส้นทางในป่า เพราะไม่กล้าจะใช้เส้นทางที่ผู้คนสัญจร