ตอนที่ 5 เตาหลอมพลัง
ท่ามกลางความเงียบในโรงอาหาร สิ่งที่ทุกคนรอคอยกลับไม่เกิดขึ้น ไม่เพียงไม่ได้เห็นบุตรสาวเซียนผู้เอาแต่ใจอาละวาด ยังไม่ได้ยินกระทั่งเสียงด่าทอของนางด้วยซ้ำ
"อะ..อวี้ถิง ขะ.ข้ากับศิษย์พี่ เอ่อ.."
เด็กสาวศิษย์จากยอดเขาโอสถก้มหน้าลงด้วยความหวาดกลัว ท่าทางของนางชวนให้ผู้คนสงสารเห็นใจไม่น้อย ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้เด็กหนุ่มหลายคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
แววตาที่เคยอ่อนโยนของหงซานเปลี่ยนเป็นเข้มขึ้น "ซุนเอ๋อ เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบายให้นางฟัง"
แววตาเฉียบคมราวกับใบมีดเหลือบมองมาทางเด็กสาวอีกคนที่ยืนอยู่หัวโต๊ะอย่างดูถูกดูแคลน "ที่ข้ารังเกียจที่สุด คือสตรีเช่นเจ้า! คราวหน้าอย่าได้มาวุ่นวายกับข้าอีก อย่าหาว่าข้าไม่เตือน!"
ปิงปิงมองหน้าคนทั้งสองสลับกันไปมา พร้อมกับตอบรับในลำคอ "อืม" ร่างบอบบางเตรียมหันหลังจะเดินจากไป
"เดี๋ยว!" แต่กลับถูกหยุดเอาไว้ด้วยเสียงตะคอก เลยจำต้องหันกลับมาอย่างเสียไม่ได้ "ที่ข้าพูดเจ้าเข้าใจหรือไม่?!"
"เข้าใจ ขอตัว" ปิงปิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ก่อนจะหันหลังกลับ แต่ก็ต้องหยุดชะงักอีกครั้ง เพราะน้ำเสียงดุดันของเด็กหนุ่ม
"นี่เจ้า! หยุดเดี๋ยวนี้! ข้ายังพูดไม่จบ!"
ด้วยความหิว ทำให้ปิงปิงเองก็เริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว เด็กสาวหันกลับมาเต็มตัว ยกสองมือเท้าสะเอว หรี่ตามองคนตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำจนทำให้ผู้คนในโรงอาหารตกตะลึงพลึงเพลิด
"ศิษย์พี่ จากนี้ไป แม้แต่ใบหน้าท่านข้าก็จะไม่มอง พอใจหรือยังเจ้าคะ ตอนนี้ข้าหิวมาก ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องไร้สาระ ขอตัว!"
ร่างระหงหันหลังกลับเดินจากไปอย่างสง่างาม แต่ก่อนที่จะเดินผ่านร่างสหาย ฝีเท้าของปิงปิงก็หยุดลง มองเด็กสาวทั้งสองด้วยหางตา "คราวหน้าหากพวกเจ้าสองคนหึงหวง ก็จัดการกันเอาเองเถิด อย่าได้ลากข้าเข้าไปเกี่ยวข้องอีก" เอ่ยจบก็เดินผ่านร่างของสองเด็กสาวตรงไปยังถาดอาหาร โดยไม่คิดจะสนใจอีก
หงซานที่ถูกฉีกหน้าท่ามกลางผู้คนมองแผ่นหลังบอบบางด้วยความโกรธเกรี้ยว ก่อนจะสาวเท้าออกจากโรงอาหารด้วยใบหน้าถมึงทึง
เรื่องวุ่นวายและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน กระทั่งปิงปิงกินเสร็จแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเงียบลง มื้อนี้ถือว่าปิงปิงได้กินอย่างสบายใจเป็นมื้อแรก นับตั้งแต่เข้ามาอยู่ในร่างของอวี้ถิง เพราะสหายทั้งสี่ต่างพากันหุบปากสนิทไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยวาจา
เสร็จจากโรงอาหารปิงปิงก็รีบกลับเข้าห้องมาบ่มเพาะพลัง โดยไม่ทันสังเกตบรรยากาศอึมครึมระหว่างนกน่าเกลียดกับกระบี่อัปลักษณ์
ดวงตาสีแดง มองสำรวจเรือนร่างบอบบางที่นั่งหลับตาบ่มเพาะด้วยความสนอกสนใจ เพราะจิตวิญญาณของปิงปิงบริสุทธิ์จนน่ากลืนกิน
เจ้านกตัวเล็กค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ อย่างไร้ซุ่มไร้เสียง ในหัวน้อยๆ ของมันมีแต่ความคิดชั่วร้าย เดิมทีร่างกายของอวี้ถิงก็นับว่าพิเศษอยู่แล้ว ยิ่งได้จิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ของปิงปิง ยิ่งทำให้กลายเป็นสิ่งล้ำค่า
สาวน้อยข้าจะให้เกียรติเจ้าได้กลายมาเป็นเตาหลอมพลังของข้า หึหึ
ปิงปิงที่กำลังบ่มเพาะ หาได้รับรู้ความคิดของนกน่าเกลียดไม่ เด็กสาวจมอยู่กับการโคจรพลังจนกระทั่งเช้า ร่างบอบบางลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสาย ออกกำลังกายด้วยความเคยชิน
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ปิงปิงก็คว้ากระบี่ เตรียมตัวออกไปยังลานฝึก จู่ๆ น้ำเสียงที่ไม่คุ้นเคยก็ดังขึ้น
"ข้าว่าทักษะที่เจ้าใช้บ่มเพาะมันระดับต่ำเกินไป"
พอปิงปิงหันไปมองตามเสียง ก็เห็นเจ้านกน้อยที่อยู่บนเตียงกำลังมองมา นางไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่ เพราะขนาดกระบี่ยังพูดได้ แล้วนกพูดได้จะนับว่าแปลกอะไร
"หมายความว่าไง?"
นกน้อยไร้ขนพยายามบินอย่างทุลักทุเลมาเกาะบนบ่าของเด็กสาว ใช้หัวเล็กๆ ถูไถลำคอขาวผ่อง กลิ่นกายของอวี้ถิงคล้ายเป็นสิ่งที่มันชอบ ก่อนจะอธิบายให้นางฟัง
"การบ่มเพาะ คือการใช้ทักษะดูดซับพลังธรรมชาติเข้ามาในร่างกาย หากใช้ทักษะระดับต่ำจะทำให้ดูดซับพลังได้ช้าลงและไม่บริสุทธิ์ ทำให้ผู้ฝึกตนต้องใช้โอสถช่วย"
"เพราะฉะนั้นทักษะจึงแบ่งเป็นระดับขั้น ที่เจ้าใช้อยู่มันแค่ทักษะระดับมนุษย์ขั้นกลาง เอาไว้คืนนี้ข้าจะสอนทักษะระดับเซียนขั้นต่ำให้ก็แล้วกัน ถือเป็นการตอบแทนที่เจ้าช่วยข้า"
น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่ฟังดูไม่เข้ากับรูปร่างของมันทำเอาปิงปิงฟังจนเกือบจะเคลิ้ม "นี่ถ้าข้าไม่เห็นว่าตัวเจ้าเป็นนก หากได้ยินแต่เสียงคงได้คิดว่าเป็นหนุ่มหล่อแน่ๆ"
เด็กสาวพูดไปยิ้มไป ใช้สองมือโอบร่างเจ้านกน้อยขึ้นมาจุมพิตย้ำๆ ลงบนหัวล้านเลี่ยนของมันอีกหลายที
"เจ้านี่ช่างน่ารักจริง ข้าควรเรียกเจ้าว่าอะไรดี"
"ตามใจเจ้าสิ"
"อืม....?" ปิงปิงนิ่งคิดชั่วครู่ "เอาเป็นเสี่ยวไป๋ก็แล้วกัน ดีหรือไม่?"
"ก็ดี"
หลังจากตกลงเรื่องชื่อกันได้แล้ว หนึ่งคนหนึ่งนกพร้อมด้วยหนึ่งกระบี่ก็พากันออกจากห้องเพื่อไปยังลานฝึก ด้วยความที่ในหัวมัวแต่คิดเรื่องอื่น ปิงปิงเลยไม่ทันสังเกตสายตาแปลกๆ ที่มองมาของศิษย์ในสำนัก แต่ถึงจะเห็นนางก็ไม่สนใจอยู่ดี
เรื่องที่เกิดในโรงอาหารเมื่อวาน เพียงคืนเดียวก็ดังไปทั่วสำนัก ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ภายในไปจนถึงศิษย์หลัก พออวี้ถิงปรากฏตัวที่ลานฝึก จึงตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน ตั้งแต่บรรดาศิษย์ใหม่ รวมไปถึงศิษย์พี่ที่มาช่วยฝึกสอนและผู้อาวุโส
หงซานไม่เพียงมีความหล่อเหลา ยังเป็นศิษย์อันดับหนึ่ง เป็นศิษย์เอกของเจ้าสำหนัก หลี่เต้า หรือเซียนหลี่เต้า ที่มีขั้นอาวุโสและพลังเทียบเท่าบิดาของอวี้ถิง
ฉะนั้นการที่อวี้ถิงฉีกหน้าหงซานเมื่อวาน นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ หากนางมิใช่บุตรสาวเซียน ปานนี้คงถูกศิษย์ในสำนักกลั่นแกล้งไปแล้ว กระทั่งสหายทั้งสี่ของอวี้ถิงเองวันนี้ยังดูแปลกไปไม่ทักทายนางเหมือนก่อน
แต่ในเมื่อไม่มีใครกล้ารังแกนาง ทุกคนก็เลยได้แต่มองด้วยความไม่พอใจ แต่ปิงปิงมีหรือจะรับรู้เรื่องนี้ วันนี้ทุกคนก็ยังต้องเรียนรู้การฝึกปราณเช่นเดิม
พอมาถึงหลังเขา ปิงปิงก็เริ่มเข้าสมาธิโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ทำตามคำบอกเล่าของเสี่ยวไป๋อย่างตั้งใจ โดยมีกระบี่ไม้นอนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านข้าง
เวลาผ่านไปไม่ถึงชั่วยาม จู่ๆ ก็มีผู้อาวุโสมาตามอวี้ถิงไปพบท่านเจ้าสำนัก เหล่าศิษย์ใหม่ได้ยินก็คิดว่านางคงจะถูกเล่นงานเรื่องเมื่อวาน ทุกคนพากันวิพากษ์วิจารณ์จนไม่เป็นอันฝึก
ยอดเขาฉือคุน
ปิงปิงยืนรออยู่หน้าประตูใหญ่พร้อมผู้อาวุโสที่ไปตามนางมาเมื่อครู่ "พานางเข้ามาเถิด" จนกระทั่งได้ยินเสียงจากภายในดังลอดออกมาผู้อาวุโสถึงได้เปิดประตูให้นางเข้าไป
ภายในเป็นโถงกว้าง สองข้างมีเก้าอี้อย่างละห้าตัว ซึ่งทุกตัวมีผู้อาวุโสหลักของสำนักนั่งกันอยู่เต็ม ส่วนเก้าอี้ประธานที่อยู่สูงกว่าเก้าอี้ทั้งสิบมีชายชราท่าทางน่าเกรงขามนั่งอยู่
ปิงปิงต้องเดินราวห้าสิบก้าว กว่าจะไปยืนเบื้องหน้าผู้อาวุโสท่านนั้น ความตื่นเต้นทำให้ฝ่ามือของนางเต็มไปด้วยเหงื่อ ยังดีที่ได้เสียงทุ้มนุ่มของเจ้าตัวเล็กบนบ่าคอยปลอบโยน 'ไม่ต้องกังวลไป ทำใจให้สงบ มีข้าอยู่ รับรองว่าเจ้าจะปลอดภัย'
เด็กสาวสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด พยายามก้าวขาอย่างมั่นคง เดินแผ่นหลังตั้งตรงไปยังเบื้องหน้าคนทั้งสิบเอ็ด
"อวี้ถิงคารวะท่านเจ้าสำนักและผู้อาวุโสทั้งหลายเจ้าค่ะ"
ร่างบอบบางคุกเข่าลงด้วยหัวใจเต้นระทึก แม้จะพยายามแค่ไหน แต่ร่างกายมันก็ยังสั่นเองตามธรรมชาติอยู่ดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่มีพลังขั้นเซียน
เกิดความเงียบไปหลายอึดใจ กว่าที่ปิงปิงจะได้ยินคำพูดประหลาด จากผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประธาน
"ลุกขึ้นเถิด ข้าอยากให้เจ้าทำใจเอาไว้ล่วงหน้า ก่อนจะฟังเรื่องที่ข้าจะบอก"
ปิงปิงลุกขึ้นยืนพร้อมกับตอบรับแบบงงๆ "เจ้าค่ะ"
"หลังจากที่เจ้ามาสอบคัดเลือก บิดามารดาของเจ้าได้ออกไปปราบปีศาจปี่จู้ แต่ไม่นึกเลย ... เฮ้อ" เสียงถอนใจของเจ้าสำนักฉือคุน พร้อมกับสีหน้าท่าทางสลดลงของผู้อาวุโสทั้งสิบ ทำให้ปิงปิงพอคาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
"ศิษย์นอกอวี้ถิงเวลานี้ ท่านเซียนทั้งสองสิ้นแล้ว"
ถึงแม้จะพอคาดเดาแต่ก็ยังตกใจอยู่ดี นางไม่นึกว่าจะถึงตาย ใบหน้าของอวี้ถิงซีดเผือด ถึงแม้ว่าปิงปิงจะไม่เคยเห็นบิดามารดาของอวี้ถิง ไม่เคยมีความผูกพันกันมาก่อน แต่ด้วยความที่เคยเป็นเด็กกำพร้า เรื่องนี้จึงทำให้นางรู้สึกสะเทือนใจไม่น้อย
"เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?"
อวี้ถิงได้แต่ยืนนิ่งอย่างไม่รู้จะพูดอะไร นางยังตั้งรับกับเรื่องนี้ไม่ทัน ผู้อาวุโสทั้งสิบเห็นเช่นนั้นก็รีบช่วยกันเอ่ยปากปลอบโยน
"เด็กน้อยเอ๋ย บิดามารดาของเจ้าถือว่าเสียสละยิ่งใหญ่ เจ้าควรภูมิใจในตัวพวกท่าน ย่าได้เศร้าโศกเสียใจไปเลย"
"เจ้าไม่ต้องห่วง พวกเราจะช่วยดูแลเจ้าเป็นอย่างดี"
วาจาของพวกเขาไม่ได้เข้าหูปิงปิงเลยสักนิด เด็กสาวยังจมอยู่ในความคิดของตัวเอง
"ศิษย์นอกอวี้ถิง?" กระทั่งได้ยินเสียงเรียกจากเจ้าสำนัก นางถึงได้เงยหน้าขึ้น ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา "ศิษย์ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ"
"ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ข้าจะให้รองเจ้าสำนักพาเจ้ากลับตระกูลเพื่อไปร่วมพิธีศพ อีกสองวันข้าค่อยเดินทางไปคำนับศพท่านเซียนทั้งสองด้วยตัวเอง"
ปิงปิงกลับลงจากเขาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก นางต้องกลับไปเก็บของเพื่อออกเดินทางทันที หากกลับไปถึงตระกูลกุ่ยนางจะทำเช่นไรดี เพราะนางหาใช่อวี้ถิง
"ไม่ต้องกังวลถึงปานนั้นหรอก บิดามารดาเสีย บุตรย่อมเศร้าโศกจนไม่อยากพูดจาหรือพบหน้าผู้คนเป็นเรื่องธรรมดา เจ้าก็แค่ทำไปตามธรรมชาติก็เท่านั้น"
เสียงทุ้มนุ่มที่ดังขึ้นข้างหู ทำให้ปิงปิงรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย "อืม จริงอย่างที่เจ้าว่า เห? แต่เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ากังวลเรื่องอะไร"
"ก็ใบหน้าเจ้ามันฉายออกมาชัดเจนถึงเพียงนั้น ไม่รู้สิแปลก"
"อ้อ ขอบใจมากนะเสี่ยวไป๋ ว่าแต่ปีศาจปี่จู้คืออะไรหรือ?"
"เรื่องนี้ข้าบอกให้ก็ได้" ในที่สุดกระบี่อัปลักษณ์ที่เงียบไปนานก็เริ่มส่งเสียง เจ้านกน้อยเองก็คล้ายจะขี้เกียจซุกหัวล้านเลี่ยนเข้าที่ลำคอขาวผ่องหลับตานิ่งราวกับกำลังหลับใหล
"ปี้จู้ผู้นี้แท้จริงคือผู้ฝึกตนนอกรีต ฝึกจิตมารจนกลายเป็นปีศาจ ตอนนี้น่าจะมีอายุเป็นพันปีแล้ว เอ แต่ความจริงปีศาจตนนี้ก็หายสาบสูญไปนานแล้ว เหตุไฉนถึงปรากฏตัวได้"
กระบี่ไม้เงียบไปอย่างใช้ความคิด ปิงปิงเองก็เช่นกัน นางพึ่งรู้สึกว่าที่กระบี่ไม้เรียกนางว่าตัวโง่งม ที่แท้ก็ไม่ผิดนัก เพราะโลกใบนี้ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่นางยังไม่รู้