ตอนที่ 4 สอนอะไรโง่ๆ
หลังจากที่ผ่านการฝึกฝนมาทั้งคืน กระทั่งพลังเลื่อนขั้น ร่างกายของอวี้ถิงก็มีการเปลี่ยนแปลง ปิงปิงรับรู้ถึงความเบาสบายอย่างไม่เคยเป็น
สองวันที่ปิงปิงมาถึงยังโลกใบใหม่นี้ แม้จะยังไม่ได้หลับได้นอนเลยสักวัน แต่กลับไม่รู้สึกอ่อนเพลียเลยสักนิด
จากข้อมูลของสำนักที่ได้เมื่อวาน คือศิษย์ใหม่ทุกคน เวลานี้นับว่ายังเป็นเพียงศิษย์นอก และจะได้เรียนรู้เพียงแค่วิชาพื้นฐานเบื้องต้นเพื่อใช้สอบคัดเลือกเข้าเป็นศิษย์ภายใน ถึงตอนนั้นจะมีอาจารย์มาคัดเลือกไปเป็นศิษย์และได้เรียนวิชาเฉพาะ
เช้านี้ก็ยังคงเป็นผู้อาวุโสคนเดิมที่มาแนะนำพวกศิษย์ใหม่
"อีกหกเดือนจะมีการประลองคัดเลือกเข้าเป็นศิษย์ภายใน ข้าอยากให้พวกเจ้าทุกคนตั้งใจให้ดี วันนี้ข้าจะสอนทักษะการซึมซับพลังปราณเบื้องต้น ซึ่งบางคนที่เกิดในตระกูลดี คงมีพื้นฐานมาบ้างแล้ว แต่สำหรับบางคนที่พื้นฐานยังอ่อนด้อยก็สมควรจะตั้งใจฝึกให้มาก"
ประโยคสุดท้ายของผู้อาวุโสบนแท่นหิน สายตาไปจบที่ศิษย์จากยอดเขาฟ้าร่วง ปิงปิงเห็นแล้วยังอดที่จะมองตามไม่ได้
"ไม่ต้องไปฟังตาแก่นั่นให้เสียเวลา เดี๋ยวข้าสอนให้เอง สำนักพวกนี้มีข้อจำกัดมากเกินไปสำหรับเจ้า"
พอได้ยินเสียงของกระบี่ เด็กสาวถึงได้เก็บสายตากลับ
"อืม"
ปิงปิงเองก็คิดไม่ต่างกับกระบี่ไม้ในมือ เพราะหากเปรียบกันง่ายๆ แค่วิชาที่ทางสำนักสอนไปเมื่อวาน ยังมิอาจนำมาใช้กับกระบี่ของปิงปิงได้ นั่นก็หมายความว่า วิชาเหล่านั้นมันจำกัดเฉพาะกระบี่ที่มีพลังอ่อนด้อย
ในขณะที่ผู้อาวุโสบนแท่นหินกำลังสอนเรื่องการซึมซับพลังปราณเบื้องต้น กระบี่ไม้ก็เริ่มสอนปิงปิงเช่นกัน
การเข้าสมาธิเพื่อเปิดทวารทั้งเจ็ดภายให้ดูดซับพลังภายนอก เรื่องนี้สำหรับร่างกายของอวี้ถิงไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ก็ยังได้
เพราะที่เด็กสาวผู้นี้มีชื่อเสียง มิใช่เพียงเพราะเป็นบุตรสาวเซียนอย่างเดียว แต่ร่างกายยังสามารถดูดซับปราณบริสุทธิ์ได้อย่างรวดเร็วกว่าเด็กทั่วไปมากนัก
หลังจากได้คำแนะนำของผู้อาวุโส ศิษย์ใหม่จะถูกแยกออกไปเป็นกลุ่มเหมือนเมื่อวาน เพื่อให้ศิษย์อาวุโสพาออกไปฝึกที่ด้านหลังเขา ห่างจากสำนักไปไม่ไกล เพราะที่นั่นมีพลังไม่หนาแน่น เหมาะสำหรับปราณเริ่มต้น
ปิงปิงนั่งสมาธิอยู่ในกลุ่มลูกศิษย์ในยอดเขาของตัวเองเหมือนเช่นทุกคน แต่ที่ต่างออกไปคือ
"คนโง่เท่านั้นที่จะเปิดเจ็ดทวารพร้อมกัน ตาแก่นี่ช่างปัญญาอ่อนสิ้นดี สอนอะไรโง่ๆ"
ศิษย์คนอื่นเข้าสมาธิฝึกฝน แต่ปิงปิงต้องเข้าสมาธิมาฟังกระบี่ในมือพร่ำบ่น
เจ็ดทวารคือ ตา หู จมูก ปาก และช่องทางขับถ่ายของเสียทั้งสอง และสุดท้าย คือจิต
ก็อย่างที่กระบี่ไม้บอก หากเปิดทวารทั้งหมดแล้วดูดซับพลังพร้อมกัน มันจะยากในการควบคุมให้เข้าสู่จุดตันเถียนทั้งสาม
ฉะนั้นวิธีที่ถูกต้องก็คือ ต้องดูดซับจากจิตเสียก่อน เมื่อได้จิตควบคุม การจะรวมปราณจากจุดต่างๆ มันก็จะง่ายแล้ว
และเพราะความเข้าใจแบบผิดๆ ของผู้ฝึกตนหลายคน นั่นจึงทำให้เกิดความล่าช้าในการซึมซับพลังปราณเข้ามาในร่าง กว่าจะเพิ่มอายุไขให้ตัวเองได้ ร่างกายก็ถึงวัยแก่ชราเข้าไปแล้ว
กรี๊กกกกก!
"ว้าย! ไอ้นกน่าเกลียด ออกไปให้พ้น!"
จู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องโวยวายพร้อมกับเสียงนกร้อง ทำให้บรรดาลูกศิษย์ลุกฮือกันขึ้น บ้างก็ด่าทอ สาปแช่ง บ้างก็ถอยหนี บางคนถึงกับเอากระบี่ไล่ฟันก็มี
ดวงตาของปิงปิงยังลืมไม่เต็มที่ ก็เห็นเจ้าสิ่งมีชีวิตรูปร่างน่าเกลียดปรี่เข้ามาหา พร้อมกับขบวนศิษย์ที่ถือกระบี่ไล่ล่าตามมาด้านหลังอีกเป็นขบวน
"เหวอ! เฮ้ย!!!"
กว่าจะทันรู้ตัว เจ้านกน่าเกลียดก็กระโดดขึ้นมาอยู่บนตักของปิงปิงเสียแล้ว
"หยุดเดี๋ยวนี้! แค่นกตัวเดียว พวกเจ้าจะโวยวายเอาอะไรกัน!"
ยังดีที่เสียงของผู้อาวุโสช่วยเอาไว้ทัน ไม่งั้นละก็... ปิงปิงไม่อยากจะคิดต่อเลยจริงๆ สายตายังอดที่จะลอบมองไปยังฝ่าเท้าหลายคู่ของเหล่าบรรดาลูกศิษย์ที่หยุดห้างไปแค่ช่วงตัวไม่ได้
หลังจากที่ทุกอย่างสงบลง มือคู่เรียวก็โอบเจ้านกตัวดำขนาดเท่าฝ่ามือที่มีขนขึ้นหร็อมแหร็มขึ้นมาในระดับสายตา ดวงตาสองคู่มองสบกันนิ่งนาน จนเจ้านกน้อยต้องเอียงคอมองคล้ายมันกำลังประหลาดใจ
"เจ้าเจ็บตรงไหนไหม?"
น้ำเสียงอ่อนโยนของปิงปิงทำให้หัวเล็กๆ ที่ล้านเลี่ยนของเจ้านกในมือส่ายไปส่ายมาโดยไม่รู้ตัว
"แหวะ! อวี้ถิง! เจ้าจับมันลงได้อย่างไร นกนั่นมันน่าเกลียดน่าขยะแขยงจะตาย!"
บรรดาลูกศิษย์ที่อยู่ใกล้ตัวของอวี้ถิงรีบพากันถอยหนีด้วยท่าทางรังเกียจ
"มันก็แค่นกผลัดขน อีกหน่อยพอขนมันขึ้นจนเต็ม มันก็กลายเป็นนกสวยงามเองแหละ ข้าไม่เห็นว่ามันจะน่าเกลียดตรงไหนเลย"
"เฮอะ! เชิญเจ้าชื่นชมไปคนเดียวเถิด"
"กลับมาฝึกกันได้แล้ว! คราวหน้าอย่าให้มีเรื่องเช่นนี้อีก การเข้าสมาธิคือการทำให้จิตใจสงบ นี่อะไรกัน! แค่นกตัวเดียวพวกเจ้าถึงกับสติแตกกรีดร้องโวยวาย ใช้ได้ที่ไหน!!!"
พอถูกผู้อาวุโสตำหนิ บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายจึงรีบกลับไปนั่งฝึกฝนดังเดิม
ปิงปิงยกยิ้มเล็กน้อยปล่อยนกในมือวางลงที่พื้น "ปลอดภัยแล้ว เจ้าไปเถิด คราวหน้าก็ระวังตัวด้วยล่ะ เข้าใจไหม?"
ด้วยความที่ชาติที่แล้วเพื่อนที่มีก็แค่หมาแมว การพูดคุยกับสัตว์ของปิงปิงจึงมักเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งที่รู้ว่าพวกมันไม่มีทางเข้าใจ แต่ก็ยังชอบคุยกับพวกมันอยู่ดี
แต่มันจะไม่เข้าใจจริงๆ นะหรือ....
เพราะเจ้านกตัวนั้นนอกจากจะไม่ไปแล้ว ยังกระโดดกลับขึ้นมานอนบนตักหน้าตาเฉย จนปิงปิงรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่คิดจะขับไล่มัน เพียงนั่งหลับตาทำสมาธิเช่นเดิม
หลังเสร็จจากการฝึกฝน ปิงปิงพานกอัปลักษณ์กลับมายังที่พักโดยไม่สนใจสายตารังเกียจของผู้คน เด็กสาววางนกน้อยลงบนเตียงพร้อมกระบี่ในมือ
แปะ! จู่ๆ กระบี่ไม้ก็ตกเตียงลงมานอนแหมะอยู่ด้านล่าง จนปิงปิงต้องหันกลับไปมอง แต่พอไม่เห็นมันเอ่ยอะไร ก็คร้านจะสนใจ สาวเท้าเข้าไปหลังฉาก ปลดเสื้อผ้าอาภรณ์
พ้นหลังเด็กสาว เจ้านกน้อยกระโดดลงจากเตียงใช้เท้าเล็กๆ เหยียบลงบนกระบี่หลายที แต่หากดูดีๆ มันคล้ายจะเป็นการกระทืบเสียมากกว่า น่าประหลาดที่นอกจากกระบี่จอมร้ายกาจจะไม่ต่อต้านแล้ว ยังไม่ส่งเสียงสักแอะ
ดวงตาสีแดงมองกระบี่ใต้ฝ่าเท้าด้วยหางตาอย่างดูถูก ก่อนจะบินไปเกาะบนฉากกั้น
ร่างเปลือยอันงดงามของอวี้ถิง ไม่ได้ดึงดูดความสนใจดวงตาคู่เล็กสีแดง เพราะที่มันสนใจจริงๆ คือจิตวิญญาณภายใน หาใช่ร่างกายภายนอก
หัวเล็กๆ เอียงได้องศา ประกายในดวงตาแทบจะแทงทะลุจิตวิญญาณของเด็กสาวในอ่าง
"หืม? มองข้าเช่นนั้น อยากอาบน้ำหรือ?"
ร่างบอบบางไม่รอคำตอบ ลุกจากถังน้ำโดยไม่คิดอับอาย สองมือคว้าร่างเล็กที่เกาะอยู่บนฉากกั้นพาลงมาอยู่ในถังอาบน้ำ จากนั้นก็อาบน้ำนวดตัวนวดปีกให้มันอย่างเบามือ
ไม่รู้ว่าเพราะนางมือเบาหรือเป็นเพราะสัมผัสที่อ่อนโยน เจ้านกน้อยถึงได้หลับตาพริ้มแลดูสุขสบายราวกับเป็นราชา
ในโลกที่แสวงหาความเป็นอมตะและอายุขัยยืนยาวแห่งนี้ เมื่อมีเซียน มีผู้บรรลุตะบญาณ ก็ย่อมต้องมีมารปีศาจ มีธรรมะกับอธรรม มารในที่นี้ ก็นับว่ามีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นมารโดยกำเนิดหรือกลายเป็นมารจากการฝึกฝน
พวกที่กลายเป็นมารจากการฝึกฝน สำนักเซียนและผู้บำเพ็ญเพียรจะเรียกว่าผู้ฝึกตนนอกรีต หรือมารนอกรีต แต่คนพวกนี้นับว่าไม่น่าหวาดกลัวเท่าไหร่นัก
ที่น่ากลัวจริงๆ ก็คือมารโดยกำเนิด และเหล่าปีศาจชั่วร้าย
หกพันปีก่อน ราชามารเฉิงชิวก่อความวุ่นวายในโลกมนุษย์ จนเทพสวรรค์ต้องลงมากำราบ ถึงแม้ใช้พลังเทพทั้งหมดก็ยังมิอาจสังหารจอมมารชั่วช้าได้ จึงทำได้เพียงแค่กักขังราชามารเอาไว้เท่านั้น
ตลอดหกพันปีที่ทุกคนคิดว่าราชันมารเฉิงชิวถูกกักขังนั้น พลังเทพที่ใช้ปิดผนึกก็ค่อยๆ ถูกดูดจากภายในทีละเล็กละน้อย แม้กระทั่งเทพสวรรค์เองยังไม่เคยระแคะระคายเรื่องนี้
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ปิงปิงก็เตรียมตัวออกไปรับมื้อเย็น แต่เห็นกระบี่ยังไม่คิดขยับ จึงก้าวออกจากห้องเพียงลำพัง
"จำเอาไว้เจ้าตัวอัปลักษณ์! หากนางรู้ว่าข้าเป็นใคร ข้าจะจับเจ้าไปทำไม้ฟืน!" ดวงตาสีแดงเล็กจ้อย มองทะลุบานประตูไปยังแผ่นหลังบอบบางที่กำลังเดินห่างออกไป "เล่าเรื่องของนางมา!"
"ขะ..ขอรับ"
กระบี่ไม้ที่เคยเก่งกาจ มาถึงตอนกลับทำตัวเรียบร้อยสงบเสงี่ยมจนน่าเหลือเชื่อ หากปิงปิงได้เห็นคงต้องประหลาดใจไม่น้อยเลยทีเดียว และยามนี้ ภายในห้องของอวี้ถิง หาได้มีนกน่าเกลียดกับกระบี่อัปลักษณ์ไม่
กระบี่สีเงินยวงเล่าความเป็นมาของวิญญาณปิงปิงที่เข้ามาอยู่ในร่างของอวี้ถิงให้ชายหนุ่มผมสีแดงเพลิงฟังอย่างตั้งใจ แต่เรื่องเหล่านี้ ปิงปิงหาได้รับรู้ไม่
ดวงตากลมโต มองไปยังกลุ่มคนที่อออยู่หน้าโรงอาหารด้วยความสงสัย ก่อนจะพยายามแหวกทางเพื่อเข้าไปด้านใน
"นั่นอวี้ถิงนี่ แย่แล้ว! นางต้องไม่มีทางยอมแน่ อุตส่าห์เข้าสำนักมาเพราะศิษย์พี่หงซาน"
"หา ข่าวลือนั่น เป็นความจริงหรือ?"
"ก็ใช่น่ะสิ เบาหน่อย อวี้ถิงผู้นี้มีนิสัยร้ายกาจ ดีไม่ดีพวกเราจะโดนลูกหลงไปด้วย"
เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นทันทีที่ทุกคนเห็นร่างของอวี้ถิง แม้ว่าเสียงแต่ละคนจะเบา แต่สำหรับปิงปิงที่มีพลังขั้นฝึกตนย่อมได้ยินมันอย่างชัดเจน
ปิงปิงหาได้ให้ความสนใจสายตาอยากรู้อยากเห็นที่จับจ้องมา พอผ่านประตูเข้าไปได้ ก็สาวเท้ามุ่งหน้าไปยังถาดอาหารทันที ด้วยความที่ชาติที่แล้วต้องอยู่อย่างอดๆ อยากๆ ทำให้ปิงปิงในร่างใหม่ถือเอาเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด
"อวี้ถิง! นี่เจ้ายังจะมัวมาสนใจเรื่องกินอยู่อีกหรือ!"
"ใช่ๆ เจ้าดู! ว่าศิษย์พี่หงซานมาหาผู้ใด!"
หงซานไหนวะ ปิงปิงเหลียวมองสหายทั้งสองด้วยท่าทางมึนงง เห็นแต่ละคนแลดูโกรธเกรี้ยวก็ยิ่งไม่เข้าใจ
"นี่! ยังมามัวทำหน้าโง่งมอยู่ได้! เจ้าควรต้องรีบไปจัดการนางนั่นสิถึงจะถูก!"
"จัดการ?"
"ก็ใช่น่ะสิ เจ้าเห็นไหม นั่นน่ะศิษย์พี่หงซานกำลังนั่งคุยกับศิษย์หุบเขาโอสถ เรื่องนี้อย่ายอมนะอวี้ถิง สมควรสั่งสอนให้นางรู้สึกเสียบ้าง! ไป!"
"ห๊ะ? ดะ..เดี๋ยว เฮ้ย!"
ไม่รอให้ปิงปิงได้เข้าใจเรื่องราว ข้อมือก็ถูกลากไปยังโต๊ะตัวหนึ่ง
ร่างบอบบางถูกผลักให้มายืนอยู่ข้างโต๊ะยาวอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เกือบจะสะดุดขาตัวเองล้มหน้าคะมำ ยังดีที่ใช้สองมือเท้าเอาไว้ทัน
ปิงปิงนิ่วหน้าเล็กน้อยหันกลับไปมองสหายเบื้องหลัง เห็นทั้งสองยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันมองมายังเด็กสาวบนโต๊ะ ถึงได้หันกลับมามองตาม ก่อนจะหันไปมองเด็กหนุ่มทางด้านซ้ายมือ
ตามสายตาของปิงปิง เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบแปดสิบเก้าปี หน้าตาหล่อเหลาไม่น้อย ขนคิ้วเรียงตัวสวยราวกับกระบี่ ดวงตาเรียวยาวแลดูอบอุ่น จมูกโด่งจนเห็นเป็นสันรับกับริมฝีปากได้รูป
ส่วนเด็กสาวก็ถือว่างดงามไม่น้อย อาจจะไม่เท่ากับอวี้ถิง แต่กลับดูอ่อนแอบอบบางแลดูน่าทนุถนอมมากกว่า
ทั้งโรงอาหารเวลานี้ตกอยู่ในความเงียบ กระทั่งผู้คนยังพากันหยุดกิน คล้ายทุกคนรอลุ้นอย่างใจจดใจจ่อ