ตอนที่ 3 วิชากระบี่บิน
การฝึกวิชาแรกในวันนี้ดูเหมือนจะเป็นไปได้ไม่ดีเท่าไหร่สำหรับปิงปิง ไม่ว่าจะเป็นคาถาเวทหรือวิธีการตามขั้นตอน ปิงปิงล้วนจำมันได้อย่างแม่นยำ แต่ติดตรงที่ไม่อาจใช้กับกระบี่ไม้ในมือได้
"ศิษย์น้องอวี้ถิง ลองอีกครั้งเถิด เจ้าเป็นถึงลูกสาวท่านเซียนกุ่ย เจ้าต้องทำได้แน่"
หลังจากที่ศิษย์ใหม่ทุกคนได้เรียนรู้การปลุกจิตวิญญาณแห่งกระบี่และเวทอาคมที่ใช้ทำพันธสัญญามาเป็นเวลาร่วมสองชั่วยาม มาถึงตอนนี้ ศิษย์ทั้งเจ็ดยอดเขาพากันทำสำเร็จไปหมดแล้ว เหลือเพียงคนเดียวเท่านั้น
ปิงปิงได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้ศิษย์อาวุโสหญิงที่เป็นผู้มาแนะนำ ก่อนจะลองทำอีกครั้ง
"พอเถิด นี่ก็ได้เวลากินข้าวแล้ว เดี๋ยวค่อยมาฝึกต่อตอนบ่ายก็แล้วกัน"
ท่าทางโง่งมของอวี้ถิงทำให้ผู้อาวุโสที่นั่งอยู่บนแท่นหินต้องเอ่ยปากด้วยความรำคาญ ก่อนจะปล่อยให้เหล่าศิษย์ใหม่ไปพัก
ด้วยความที่อวี้ถิงเป็นเด็กสาวที่หยิ่งยโสเอาแต่ใจ ทั้งยังชอบข่มเหงผู้อื่น พอกลายมาเป็นคนไร้ความสามารถ หลายคนเลยพากันแอบหัวเราะเยาะ บางคนก็สมน้ำหน้าด้วยความสะใจ
"อวี้ถิง! นี่เจ้าเล่นอะไรของเจ้า ข้าไม่เชื่อว่าแค่ปลุกจิตวิญญาณของกระบี่แค่นี้ เจ้าจะทำไม่ได้! "
"ใช่หรูชิงพูดถูก ลูกหลานตระกูลเซียนอย่างพวกเรา เรียนรู้วิชาปลุกจิตวิญญาณและทำพันธสัญญากับอาวุธประจำกายมาตั้งแต่ห้าขวบ จะให้เชื่อได้อย่างไรว่าเจ้าทำไม่ได้"
"นี่ แต่พวกเจ้าอย่าลืมนะ บางทีอาวุธเหล่านั้นก็ไม่มีจิตวิญญาณ ข้าว่ากระบี่ของอวี้ถิงไม่มีจิตวิญญาณมากกว่า ใช้ไหม อวี้ถิง"
"อืม" สายตาสี่คู่ที่มองมาทำให้ปิงปิงจำต้องพยักหน้ารับ
"ถ้าอย่างนั้น ก็แปลว่ากระบี่ของเจ้าเป็นกระบี่ไร้ค่าน่ะสิ! "
'เพ้ย! มารดามันเถอะ! เจ้าสิไร้ค่า! บิดาเจ้าก็ไร้ค่า! ตระกูลเจ้าไร้ก็ค่าทั้งตระกูล! ไอ้เด็กพวกนี้ หน็อยมาว่าข้า! เดี๋ยวเถอะ! ฟูด.. ฟูด..ฟูด'
'นี่เจ้าทำอะไรน่ะ!?? '
'หึหึ! ข้าก็ไล่ไอ้จิตวิญญาณในกระบี่ของเด็กพวกนั้นไปไงล่ะ'
"__"
ปิงปิงได้แต่ยืนมองกระบี่สายงามสี่เล่มในมือเด็กสาวอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร รู้สึกโล่งใจเล็กน้อยที่ทุกคนยังไม่รู้ตัว แต่ปิงปิงก็โล่งใจได้ไม่นาน
"เห... ถ้าอย่างนั้น บ่ายนี้เจ้าก็ฝึกขี่กระบี่ไม่ได้น่ะสิ"
"ขี่กระบี่? "
"ใช่ ก็ในเมื่อกระบี่ของเจ้าไม่มีจิตวิญญาณ มันก็บินไม่ได้ไง"
"หา! " คราวนี้ปิงปิงถึงกับตกใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว 'ฮ่าๆ ' มิหนำซ้ำเสียงหัวเราะชอบใจของกระบี่ในมือ ยังดังก้องอยู่ในโสตประสาท จนปวดหัวไปหมด
จากนั้นทั้งห้าก็พากันมาถึงโรงครัวของสำนัก ถึงแม้ว่าสำนักเซียนจะสอนให้ทุกคนเท่าเทียม แต่ความจริงดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้นเอาเสียเลย เพราะปิงปิงเห็นศิษย์ของยอดเขาฟ้าร่วงยืนอออยู่หน้าโรงครัว คล้ายพวกเขาต้องรอให้ยอดเขาอื่นกินเสร็จก่อนถึงจะได้เข้าไป แล้วเรื่องเช่นนี้สำหรับปิงปิงเมื่อชาติที่แล้ว คือเรื่องที่เจอมาจนชิน แต่พอมาเห็นก็อดที่จะสะท้อนใจไม่ได้
"อวี้ถิงมัวมองอะไรอยู่ รีบเข้ามาสิ"
"ทำไมพวกเขาถึงไม่ได้กินข้าวพร้อมพวกเราล่ะ"
"นี่! เจ้าจะไปสนใจพวกไร้ค่าทำไม อีกหน่อยพวกนั้นก็ต้องมาคอยรับใช้พวกเรา ใครเขาจะอยากให้คนชั้นต่ำมากินข้าวร่วมกันเล่า! "
"ใช่ๆ เอ.. แต่ธรรมดาแล้ว เจ้ารังเกียจคนพวกนี้จะตายไม่ใช่หรือ อวี้ถิง"
พอได้ยินวาจาเหยียดหยามของเด็กสาวเหล่านี้ ปิงปิงก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ "ไม่ว่าใครก็ล้วนมีคุณค่าในตัวเองทั้งนั้น พวกเราไม่ควรไปดูถูกพวกเขา! "
"เห? อวี้ถิง เจ้าเป็นอะไรของเจ้า! อยู่ดีๆ ก็มาโกรธพวกเราเพราะสวะพวกนั้น"
"นี่ เอาน่าๆ พอเถิด พวกเจ้าอย่ามัวมาเถียงกันอยู่เลย รีบเข้าไปกินข้าวดีกว่า เพราะขืนช้า เดี๋ยวก็ได้กินพร้อมพวกนั้นจริงๆ หรอก"
ปิงปิงแทบจะหมดอารมณ์จะกินข้าว นี่ถ้าไม่ติดว่าหิว คงตัดสินใจรอกินพร้อมคนของยอดเขาฟ้าร่วงไปแล้ว อดไม่ได้ที่ต้องเอ่ยปากบ่นกับกระบี่ในมือ
'ไม่ว่าจะที่ไหน ก็ต้องมีแบบนี้สินะ'
'มันก็ต้องแน่อยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลก เจ้าเองก็ควรต้องรีบฉลาดขึ้น ไม่งั้นได้ย้ายไปอยู่ยอดเขานั่นแน่'
'บางที ที่นั่นอาจจะเหมาะกับข้ามากกว่าที่นี่'
'อืม มันก็จริงอะนะ ข้าก็ว่าที่นั่นเหมาะสำหรับตัวโง่งมอย่างเจ้า'
ปิงปิงสาวเท้าตามเด็กสาวทั้งสี่ด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง ก่อนไป ยังอดไม่ได้ที่จะหันมองศิษย์ของหุบเขาฟ้าร่วง
การเรียนกระบี่บินในตอนบ่าย ก็ยังเป็นศิษย์พี่ปู้เฉียวที่เป็นผู้แนะนำศิษย์ในยอดเขาเทียมจันทร์ของปิงปิงเช่นเดิม และก็เป็นไปตามคาด สหายทั้งสี่ของอวี้ถิง ต่างไม่อาจใช้คาถาเวททำให้กระบี่บินได้
มันจะบินได้อย่างไร ก็จิตวิญญาณในกระบี่ ถูกกระบี่อัปลักษณ์ในมือปิงปิงไล่ไปหมดแล้ว ส่วนปิงปิงเองก็ไม่อาจทำได้เช่นกัน เพราะอะไรน่ะหรือ
สำนักปัญญาอ่อนนี่มันสอนอะไรของมันก็ไม่รู้! ไร้สาระสิ้นดี!
แค่เพียงประโยคเดียว ก็ทำให้ปิงปิงต้องเลี่ยงไปนั่งข้างสนามแล้ว แต่ข้างสนามไม่ได้มีเพียงแค่ปิงปิงเท่านั้น ยังมีสหายทั้งกลุ่มและศิษย์ของยอดเขาฟ้าร่วงรวมอยู่ด้วย
ข้างขอบสนามเริ่มมีศิษย์ทยอยออกมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะศิษย์ของหุบเขาฟ้าร่วง ปิงปิงมองสีหน้าเด็กแต่ละคนแล้วรู้สึกเห็นใจไม่น้อย คล้ายมองเห็นตัวเองในอดีต
เจ้าก็สอนข้าสิ ข้าไม่ได้โง่สักหน่อยนะ ก็แค่ไม่รู้
และเมื่อได้เกิดใหม่ครบสามสิบสองในชาตินี้ คงต้องทำให้ดีกว่าชาติที่แล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นการขโมยร่างของคนอื่นมาก็ตาม
เฮอะ! ข้าต้องสอนอยู่แล้ว ใครจะอยากมีสาวใช้โง่งม และอย่างแรกที่เจ้าต้องเรียนรู้ คือเรื่องพลังปราณในร่าง ไม่ใช่การปลุกวิญญาณกระบี่ หรือผูกพันธสัญญาอะไรนั่น เพราะเรื่องพวกนั้นมันไร้สาระทั้งเพ!
จากนั้นกระบี่ไม้ก็เริ่มสอนอย่างจริงจัง
พลังปราณที่ว่าคือพลังธรรมชาติที่บ่มเพาะในจุดตันเถียนสามแห่งบนร่างกาย ได้แก่ ตันเถียนบน อยู่บริเวณหว่างคิ้ว ตันเถียนกลาง อยู่บริเวณใต้หัวใจ และตันเถียนล่าง อยู่บริเวณใต้สะดือ ก่อนจะใช้มันเปิดจุดชีพจร
พลังปราณหรือพลังธรรมชาติที่บ่มเพาะผ่านทวารทั้งเจ็ดจะมีทั้งบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์
หากผู้ที่ไม่เคยฝึกฝนการกลั่นปราณมาก่อน อย่างเช่นผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่ได้เข้าสำนัก บางทีคนพวกนี้จะมีปราณที่ไม่บริสุทธิ์ บางคนกลายเป็นมารไปเลยก็มี
พลังปราณจะแบ่งออกเป็นหลายขั้นตามความกว้างของจุดตันเถียนแต่ละแห่งและการเปิดจุดชีพจร เพราะเป็นเช่นนี้ สำนักเซียนหรือสำนักยุทธจึงต้องแบ่งแยกลูกศิษย์ให้ชัดเจนเพื่อการเรียนการสอน
ปิงปิงฟังมาถึงตรงนี้ก็เริ่มที่จะเข้าใจ เรื่องพวกนี้ถือเป็นเรื่องพื้นฐานสำหรับมนุษย์ที่นี่ บางคนศึกษามาตั้งแต่อายุได้ห้าปี อย่างอวี้ถิงเป็นต้น
แค่ฟังความรู้เบื้องต้นจากกระบี่ ก็ปาเข้าไปเกือบจะเย็นแล้ว หลังจากที่ผู้อาวุโส ปล่อยให้เหล่าศิษย์กลับไปพัก ปิงปิงก็รีบแยกตัวจากสหายกลับห้องทันที
"ข้าอยากรู้พลังในร่างของข้า"
"พลังในร่างของเจ้าพึ่งจะอยู่ปราณเริ่มต้น ขั้นสี่ นั่นยังไม่นับว่าเป็นผู้ฝึกตน" กระบี่ไม้ลอยจากมือของปิงปิงไปนอนแหมะอยู่บนเตียง ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงเฉื่อยชา
"นั่งสมาธิรวมจิตใจให้เป็นหนึ่งแล้วเพ่งจิตไปที่จุดตันเถียน เจ้าลองทำดู"
สำหรับโลกใหม่ที่ไม่รู้จัก การเรียนรู้เป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับปิงปิง ด้วยความที่ร่างกายของอวี้ถิงผ่านการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กบวกกับมีร่างกายที่พิเศษ และจากความมุ่งมั่นของปิงปิง เพียงไม่กี่ลมหายใจ ก็เข้าสู่สมาธิอย่างง่ายดาย
ในจุดตันเถียนทั้งสามเป็นเหมือนที่กระบี่ไม้บอก มีเพียงเงาจางๆ ของพลังปราณเท่านั้น แต่ปิงปิงคือใคร คือผู้มาจากโลกที่แตกต่าง ไอ้เรื่องคิดนอกกรอบย่อมต้องมีอยู่ในตัว
ข้อสงสัยมากมายเริ่มผุดขึ้นมาในหัว ถ้าปล่อยให้มันเป็นเงาอยู่เช่นนี้ มันย่อมมีพลังน้อย แล้วทำไมถึงไม่เอาปราณพวกนี้มารวมกันให้เป็นก้อนเสียเล่า
คิดได้แล้ว หญิงสาวจากต่างโลกก็ลงมือทันที จินตนาการในจิตใต้สำนึกคือภาพการปั้นบัวลอย
จับก้อนแป้งที่ใหญ่ที่สุดไว้ แล้วใช้มันกลิ้งไปตามผงแป้งที่เหลือ เพื่อให้เกิดการรวมตัว ไม่นานปราณที่เป็นเงากระจัดกระจายก็ค่อยๆ รวมตัวกันเป็นหนึ่งจนมีขนาดเท่าหัวเข็ม
เพราะมัวแต่ตั้งอกตั้งใจฝึก ปิงปิงจึงไม่มีโอกาสเห็นท่าทางตลกขบขันของกระบี่ แท่งไม้กระเด้งจากเตียงด้วยความตกใจ มิหนำซ้ำตรงด้ามจับยังส่ายไปส่ายมาราวกับไม่อยากเชื่อ
เด็กสาวอาจจะไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป แต่กระบี่ไม้กลับรู้ดี มีเยี่ยงอย่างที่ไหน จากปราณเริ่มต้นกระโดดข้ามขั้นไปถึงปราณยุทธโดยใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป นี่มันตัวประหลาดชัดๆ
กระบี่อัปลักษณ์จำต้องมาลอยวนรอบกายของปิงปิงอย่างเงียบเชียบ เพื่อสำรวจดูให้แน่ใจ วนไปวนกลับอยู่หลายรอบจนกระทั่งปิงปิงลืมตา ถึงได้กลับมาวางท่าสง่าดังเดิม
"อะแฮ่ม! เมื่อครู่เจ้าทำอะไร?"
"ข้าเห็นปราณในร่างมันเป็นเงากระจัดกระจาย ก็เลยลองปั้นมันดู"
"อ้อ...... หา! ปั้นเนี่ยนะ?"
"อืม ก็ปั้นเหมือนบัวลอยไง"
แปะ! คำบอกเล่าของปิงปิง ทำให้กระบี่ที่ลอยอย่างสง่างาม ตกลงไปนอนแหมะอยู่ที่พื้น ก่อนจะเด้งตัวขึ้นมาโวยวาย
"เจ้านี่มันตัวโง่งมโดยแท้!"
"ข้าทำผิด?"
"ไอ้ผิดน่ะมันก็ไม่ผิดหรอก! แค่ที่เจ้าทำคือเรื่องที่คนอื่นเขาไม่ทำกัน และข้าว่าคงไม่เคยมีใครคิดจะปั้นลมปราณในจุดตันเถียนของตัวเองเหมือนกับเจ้าด้วย!"
"แล้วมันดีหรือไม่ดีเล่า!?"
ได้ยินเช่นนั้น ปิงปิงก็เริ่มจะเป็นกังวลขึ้นมา จนต้องยกมือลูบบริเวณใต้สะดือ
"ไม่ต้องกังวลไป มันดีมากเลยเชียวล่ะ เมื่อครู่ข้ายังไม่ได้อธิบายเรื่องขั้นปราณให้เจ้าฟัง เดี๋ยวข้าจะอธิบายให้ฟังก็แล้วกัน"
กระบี่ไม้ลอยกลับไปนอนที่เตียงดังเดิม ก่อนจะเริ่มอธิบายเรื่องลำดับขึ้นพลัง
หลังจากผู้ฝึกตนทุกคนดูดซับพลังปราณเข้ามาในร่าง แน่นอนว่ามันต้องกระจายอยู่ในจุดตันเถียนเพียงแค่บางเบา นั่นเรียกว่าอยู่ในขั้นปราณเริ่มต้น
จะผ่านขั้นนี้ไป ต้องสะสมปราณเข้ามามากขึ้นเพื่อจะได้ให้มันรวมตัวเป็นก้อน ซึ่งเรียกว่าศูนย์รวมปราณ เมื่อมีศูนย์รวมปราณก็เท่ากับเลื่อนขั้นเป็นปราณยุทธ
ฟังดูเหมือนง่าย แต่ความจริงมันหาได้ง่ายดายเช่นนั้นไม่ หากไม่มีทักษะดีจริง บางคนใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยังมิอาจสร้างศูนย์รวมปราณในร่างได้