ตอนที่ 2 วิชาแรก
พอหนึ่งคนหนึ่งกระบี่มาถึงหอตำราได้ ก็รีบเข้าไปถามอาวุโสผู้ดูแลทันที
"เอ่อ คือ..."
'เจ้าคารวะผู้อาวุโสก่อนเส้! แล้วบอกเขาไปว่า ศิษย์ต้องการอ่านบันทึกเกี่ยวกับดินแดนลุ่มแม่น้ำเจ้าค่ะ ต้องให้สอนทุกอย่างเลยหรือไร โง่จริง!'
แม้ในหัวของปิงปิงจะก่นด่ากระบี่ด้านหลังไม่เหลือชิ้นดี แต่ใบหน้ายังประดับรอยยิ้มน่ารัก "ศิษย์ใหม่คารวะผู้อาวุโสเจ้าค่ะ"
ชายชราผู้ดูแลหอตำราเลิกคิ้วมองหนึ่งคนหนึ่งกระบี่ด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะพยักหน้ารับ "เจ้ามีอะไรหรือ? " แม้ปากจะเอ่ยถามเด็กสาว แต่สายตากลับไปตกอยู่ที่แท่งไม้อัปลักษณ์ที่ด้านหลังดรุณีน้อย
"คือศิษย์ต้องการอ่านบันทึกดินแดนลุ่มแม่น้ำเจ้าค่ะ"
"อ้อ เดินไปด้านในสุด ทั้งชั้นคือบันทึกที่เจ้าต้องการ"
"ศิษย์ขอบคุณผู้อาวุโสเจ้าค่ะ"
ปิงปิงยอบกายอย่างสวยงาม ก่อนจะเดินตรงไปตามทางที่ชายชราบอก แต่พอมาถึง ปิงปิงต้องยืนอึ้งไปพักใหญ่
"มัวยืนมองอะไรของเจ้า! ก็หยิบมาสักเล่มหนึ่งเส้!"
"เอ่อ.. ฉันอ่านไม่ออก"
แปะ!
เสียงดัง จนทำให้ผู้อาวุโสต้องชะโงกหน้ามามอง
กระบี่ไม้ ถึงกับร่วงลงพื้นทันทีที่ได้ยิน มันทำท่าราวกับนอนตาย จนปิงปิงต้องนั่งลง ลองเอานิ้วจิ้มๆ ดู "นี่ๆ เป็นอะไรไป"
"บัดซบเอ๊ย! ยังจะมีหน้ามาถามอีกหรือ!!" ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้ยินเสียงสบถด่าของมัน "ข้าจะทำอย่างไรกับเจ้าดีเนี่ย! เหตุใดข้าถึงได้มีสาวใช้โง่งมปานนี้!"
ตัวกระบี่ลอยตั้งขึ้น ส่วนด้ามจับโก่งงอส่ายไปมา ราวกับคนกำลังยืนด่าก็ไม่ปาน ปิงปิงที่ลุกตามมา เห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะเถียงกลับไป
"ก็แค่ไม่รู้ ไม่ได้แปลว่าโง่สักหน่อย จะโวยวายอะไรนักหนา!"
"เฮอะ! ข้าขี้เกียจพูดกับตัวโง่งมอย่างเจ้าแล้ว เร็ว! หยิบมันมาเล่มหนึ่ง แล้วไปขอตาเฒ่านั่นเอากลับไป เดี๋ยวข้าสอนให้ "
เด็กสาวเอื้อมมือไปดึงตำราออกมาหนึ่งเล่มโดยไม่คิดจะมอง ก่อนจะไปขออนุญาตผู้อาวุโสที่ดูแล ขอนำกลับไปอ่าน
ทั้งสองพากันกลับมาที่ห้องพักอย่างรวดเร็ว ปิงปิงรีบปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา เพราะไม่อยากถูกรบกวน หลังจากนั้นหนึ่งคนหนึ่งกระบี่ก็เริ่มเรียนเขียนอ่านตำรากันอย่างขะมักเขม้น
ในที่สุดปิงปิงก็ได้รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหนจากคำอธิบายของกระบี่อัปลักษณ์ ที่แห่งนี้คือโลกคู่ขนานที่อยู่คนละมิติกับโลกที่เธอจากมา
สิ่งมีชีวิตที่นี่ มีทั้งมนุษย์ธรรมดาไปจนถึงผู้บรรลุเซียน และยังมีภูตผี มารปีศาจ รวมถึงสัตว์ประหลาดอีกมากมาย ด้วยความต้องการมีอายุยืนยาว มนุษย์ที่นี่ส่วนใหญ่ต้องฝึกตนบำเพ็ญเพียรเพื่อให้อายุขัยเพิ่มขึ้น
โดยเริ่มตั้งแต่การฝึกลมปราณธรรมดา ไปจนถึงบ่มเพาะพลังธรรมชาติ ซึ่งจะว่าไปร่างกายแต่ละคนก็ไม่ใช่ว่าจะฝึกได้กันทุกคน
บางคนก็ไม่มีเส้นลมปราณ คนเหล่านี้ก็จะเป็นได้เพียงมนุษย์ธรรมดาที่ต้องใช้ชีวิตไปตามอายุขัย ส่วนบางคนก็มีเส้นลมปราณตีบตัน ซึ่งหากเป็นจำพวกนี้ก็จะอยู่ในจำพวกจอมยุทธ ยังไม่เรียกว่าผู้บำเพ็ญเพียร
สำหรับร่างของอวี้ถิงในตอนนี้ ก็ยังเป็นเพียงผู้ฝึกต้นขั้นต้นเท่านั้น พอปิงปิงรู้ซึ้งถึงอันตรายและความยากลำบากในการใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะแหงนหน้าตะโกนด่าด้วยความอัดอั้น
"ถุย!ๆๆๆ นี่มันดีกว่าตรงไหนฟร้ะ! คำว่าเกิดใหม่น่ะรู้จักไหมห๊ะ! ไม่ใช่ให้มาสิงอยู่ในร่างใครก็ไม่รู้! แล้วไหนจะไอ้โลกประหลาดบ้าๆ นี่อีก!!"
เปรี้ยงงงง!!!
"เฮ้ย!!"
"ว๊ากกก!!"
หลังจากด่าจบ ฟ้าก็ผ่าลงมาทันที ทำให้ทั้งคนทั้งกระบี่ตกใจจนกอดกันกลม
"ไอ้เด็กตัวเหม็น! ทำอะไรของเจ้าเนี่ย! ได้เกิดใหม่ก็ดีแค่ไหนแล้ว ยังจะไปโวยวายอีก นี่! แล้วก็ปล่อยข้าได้แล้ว จะกอดทำไมนักหนา!"
"เฮอะ! ใครอยากกอดแท่งไม้อัปลักษณ์กัน ก็แค่ตกใจเถอะ!"
"เจ้าว่าใครอัปลักษณ์!"
"ก็ว่าเจ้านั่นแหละ เชอะ!"
ปิงปิงสะบัดหน้าหนี ก่อนจะลุกไปแอบฟังเสียงด้านนอก พอเห็นว่าปลอดภัย ไม่มีฟ้าร้องฟ้าผ่า ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ฟู่...
ก๊อกๆ
แต่ก็ต้องผวาตกใจอีกครั้ง
"อวี้ถิง เจ้าอยู่หรือไม่"
"ยะ..อยู่"
ปิงปิงพอจะจำได้ว่านั่นคือเสียงของหนึ่งในเด็กสาวที่เป็นเพื่อนของเจ้าของร่าง จึงเอื้อมมือไปเปิดประตู
"นี่ๆ อวี้ถิง ศิษย์พี่หงซานพึ่งกลับจากการไปล่าปีศาจ เวลานี่ยังอยู่ในหอภารกิจ เจ้าจะไปดูไหม?"
"หงซาน?" หงซานไหนอีกวะ
"ก็ใช่น่ะสิ นี่..พอข้ารู้ ข้าก็รีบมาบอกเจ้าเลยนะ"
ความกระตือรือร้นกับท่าทางดีอกดีใจของเด็กสาวเบื้องหน้าไม่ได้ทำให้ปิงปิงรู้สึกตื่นเต้นตามเลยสักนิด เพราะตอนนี้ในหัวมีอยู่เรื่องเดียว จะอยู่อย่างไรไม่ให้ถูกจับได้ว่าตัวเองเป็นวิญญาณมาสิงอยู่ในร่างคนอื่น
"เอ่อ.. ขะ..ข้ารู้สึกเหนื่อยมากเลย อยากนอนพักเอาแรง เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกันนะ"
"เห? อวี้ถิง ธรรมดาแล้ว เจ้าไม่เคยพลาดที่จะมีโอกาสเข้าใกล้ศิษย์พี่หงซานมิใช่หรือ ทำไมถึงได้....?"
"ถ้าไม่เหนื่อยจริงๆ ข้าคงไม่ยอมพลาดหรอก เอาไว้พรุ่งนี้ พวกเราค่อยไปหาศิษย์พี่ก็แล้วกัน วันนี้ข้าขอตัวพักผ่อนก่อนแล้วกัน"
เอ่ยจบปิงปิงก็รีบปิดประตูทันที เพราะขืนพูดมากไป มีหวังได้ความแตกแน่ๆ
หนึ่งคืนสำหรับศิษย์ใหม่ ที่ทางสำนักปล่อยให้ทุกคนได้พักผ่อนให้เต็มที่ แต่มีหนึ่งคนที่เรียนเขียนอ่านจนไม่ได้หลับได้นอน
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูในตอนเช้า ทำให้ปิงปิงที่ขอบตาดำคล้ำ ต้องเดินไปเปิดอย่างเสียไม่ได้ พอประตูเปิดออก เด็กสาวทั้งสี่ถึงกับผงะไปเล็กน้อย เพราะสภาพอวี้ถิงในตอนนี้ ช่างห่างไกลกับบุตรสาวเซียนผู้งดงามเสียเหลือเกิน
ปิงปิงรีบยกมือจัดผมจัดเผ้าให้เข้าที่เข้าทาง พร้อมกับจะเสื้อผ้า "อะแฮ่ม" ก่อนจะกระแอมกระไอเรียกสติของทุกคน พวกเจ้ามีอะไรกับข้าหรือ?
"หืม? อวี้ถิง เจ้าลืมแล้วหรือว่าเช้านี้ศิษย์ใหม่ทุกคนต้องไปรายงานตัว? "
พอได้ยินคำตอบปิงปิงถึงกับมุมปากกระตุก "เอ่อ .. พอดีข้าอ่านตำราหนักไปหน่อย ก็เลยลืมไป พวกเจ้าไปก่อนเถิด เดี๋ยวข้าตามไป"
"เอาอย่างนั้นก็ได้" ก่อนไปเด็กสาวทั้งสี่ยังอดไม่ได้ที่จะเหลียวกลับมามองปิงปิงตั้งแต่หัวจรดเท้า หลังจากประตูปิดลง ปิงปิงก็เร่งจัดการตัวเอง แต่...
แล้วเสื้อผ้าข้าวของ แล้ว .. แล้ว.. แล้ว.. คำถามมากมายที่เมื่อวานมองข้ามไปผุดขึ้นมาในหัวไม่หยุดย่อน
"จะยืนอึ้งอีกนานไหม? ไม่ไปอาบน้ำแต่งตัวเล่า! "
เสียงของกระบี่ทำให้ปิงปิงต้องหันไปมองด้วยรอยยิ้มแห้ง "ข้าไม่รู้ว่าเสื้อผ้าข้าวของอยู่ที่ไหน"
แปะ!
ตัวกระบี่ที่กำลังจะลอยขึ้นร่วงลงไปอยู่ที่พื้นทันทีที่ปิงปิงพูดจบ "ตัวโง่งมเอ๊ย!!! " และหลังจากนั้นเสียงก่นด่าจนฟังไม่ได้ศัพท์ก็ตามมา
กว่าที่ปิงปิงจะก้าวออกจากห้องได้ ก็ใช้เวลาไปนานพอดู ที่แท้โลกใบนี้ก็มีกระเป๋ามิติเอาไว้เก็บของ แต่กว่าจะรู้ หูก็ชาไปแถบหนึ่งแล้ว
เท่านั้นยังไม่พอ ยังต้องมาตกเป็นเป้าสายตาของผู้คน เมื่อมาถึงลานกว้างอีก ชีวิตที่ได้เกิดใหม่ของปิงปิงมันช่างโชคดีอะไรเช่นนี้
เด็กสาวแอบระบายลมออกจากปากด้วยความเหนื่อยใจ
"อวี้ถิง เข้ามานั่งได้แล้ว มัวยืนทำอะไรอยู่" ชายชราบนแท่นหินมองมาด้วยสายตาตำหนิ นี่หากนางไม่ใช่บุตรสาวเซียนมีชื่อ เกรงว่าคงถูกดุมากกว่านี้
ปิงปิงสาวเท้าไปยังกลุ่มของเด็กสาวที่เป็นสหายของอวี้ถิงพร้อมกระบี่ที่แปะติดแผ่นหลัง รูปร่างของกระบี่สร้างความตลกขบขันให้เหล่าบรรดาศิษย์ทั้งหลายเป็นอย่างมาก เพียงแต่ไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะจนออกนอกหน้า
แต่เรื่องพวกนั้น ปิงปิงก็หาได้ใส่ใจ ในหัวคิดเพียงต้องตั้งใจศึกษาการเอาชีวิตรอดในโลกที่ไม่รู้จักแห่งนี้ให้ได้เป็นพอ
หลังจากที่นั่งฟังชายชราอยู่นาน ปิงปิงก็เริ่มเข้าใจการใช้ชีวิตอยู่ในสำนักเซียนมากขึ้น
ที่แท้ศิษย์ใหม่จะถูกแบ่งไปตามยอดเขาต่างๆ แล้วแต่พลังและความสามารถของแต่ละคน อย่างยอดเขาที่ปิงปิงอยู่ คือยอดเขาสำหรับลูกหลานผู้มีสายเลือดเซียนและผู้ที่มีพลังปราณสูง
ยังมียอดเขาโอสถ และอีกมากมาย แต่ยอดเขาที่ปิงปิงสนใจจริงๆ คือยอดเขาฟ้าร่วง เพราะยอดเขานี้ ไว้สำหรับคนที่มีพลังอ่อนด้อยและถูกคัดออกจากยอดเขาต่างๆ
เรียกง่ายๆ แบบที่ปิงปิงเข้าใจก็คือยอดเขาสำหรับพวกไร้ค่า และศิษย์ในยอดเขานี้ ต้องคอยไปรับใช้ศิษย์หลัก เพื่อแลกกับโอสถเพิ่มปราณหรือทักษะยุทธระดับต่ำ ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นเพียงเด็กรับใช้ในสำนักที่รอวันครบอายุ แล้วถูกขับออกจากสำนัก พอรู้อย่างนี้ ปิงปิงก็อดที่จะนึกถึงตัวเองในอดีตไม่ได้
"วันนี้ วิชาแรกที่พวกเจ้าต้องเรียนคือการปลุกจิตวิญญาณอาวุธแห่งโชคชะตาและทำพันธสัญญากับมัน เพราะนั่นจะเป็นอาวุธประจำกายของพวกเจ้าทุกคน"
"อย่าคิดว่ามันง่าย เพราะถึงแม้จะเป็นอาวุธแห่งโชคชะตาก็จริง แต่ไม่แน่ว่ามันจะมีจิตวิญญาณ และก็ไม่แน่ว่ามันจะยอมรับเจ้าเป็นนาย ถ้าพร้อมแล้วทุกคนก็เตรียมตัวได้"
หลังจากชายชราบนแท่นหินเอ่ยจบ ศิษย์ใหม่แต่ละยอดเขาจะถูกแยกไปอยู่คนละมุม โดยมีศิษย์อาวุโสที่อายุราวสามสิบมาช่วยสอน
กลุ่มของปิงปิงได้ศิษย์พี่หญิงที่ชื่อปู้เฉียวมาเป็นผู้แนะนำ
ดวงตากลมโตมองกระบี่ที่ถืออยู่ในมือด้วยความกลัดกลุ้ม ก่อนจะลอบมองกระบี่ของผู้อื่น อาวุธของแต่ละคนล้วนสร้างมาจากโลหะที่แตกต่าง บ้างสวยสดงดงาม บ้างหรูหรา บางเล่มถึงกับมีแสงเปล่งออกมาด้วยซ้ำ
พอเห็นเช่นนั้น ปิงปิงก็ได้แต่ก้มมองกระบี่ในมืออีกครั้ง ความจริงแล้วเด็กสาวหาได้สนใจเรื่องรูปร่างของกระบี่ แต่ที่ต้องมานั่งกลัดกลุ้มอยู่นี้ ก็เพราะ...
'เป็นอะไร? ทำหน้าอย่างกับจะตาย! อย่าคิดนะว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้านินทาข้าในใจ! '
เพราะปากของมันนี่แหละ ดูสิเงียบไปยังไม่ทันไร กระบี่ปากเสียมันก็เริ่มหาเรื่องอีกแล้ว 'เจ้าได้ยินที่ลุงคนนั้นบอกไหม'
เมื่อผ่านการศึกษามาทั้งคืน ในที่สุดปิงปิงก็เรียนรู้ที่จะคุยกับกระบี่ไม้ในใจ
'เฮอะ! ใครจะไปเสียเวลาฟังเรื่องโง่เง่าพรรค์นั้นกัน!'
"อ้าว!"
"อ้าวอะไร! ไม่ต้องไปสนใจหรอก! ปลุกจิตวิญญาณอะไร! ทำพันธสัญญาอะไร! ไร้สาระสิ้นดี! มีแต่พวกสมองหมูเขาทำกัน! ตัวเจ้าก็โง่งมพออยู่แล้ว ขืนไปฟังพวกปัญญาอ่อนมากเข้า เดี๋ยวก็ได้โง่ไปกันใหญ่พอดี"
ปิงปิงหมดคำพูดที่จะกล่าว นี่แค่ถามคำเดียวยังโดนด่ากลับมาเป็นชุด สรุปว่าไอ้ที่ต้องปลุกวิญญาณกระบี่ ทำพันธสัญญาอะไรนั่น คงไม่ต้องพูดถึงอีกแล้ว