ตอนที่ 1 อาวุธแห่งชะตา
จากเหตุการณ์อันน่าตลกขบขันเมื่อครู่ ปิงปิงยังไม่ทันได้ตั้งตัว ตาลุงที่เธอพึ่งจะล้มทับก็บอกให้เธอลงไปรอข้างล่าง
ถึงคำพูดคำจาจะฟังแปลกๆ แต่ก็ยังพอจะฟังเข้าใจอยู่บ้าง พอเริ่มก้าวขา ปิงปิงถึงได้รู้ว่าตัวเองไม่ได้พิการอีกแล้ว มิหนำซ้ำจากดวงตาที่หาศูนย์รวมไม่ได้ ตอนนี้มองเห็นชัดเจน
"อวี้ถิงมานี่เร็ว"
ด้วยความไม่แน่ใจว่าเป็นตัวเอง ปิงปิงยกนิ้วชี้ไปที่หน้าอก
"ก็เจ้านั่นแหละ มาเถิด เป็นอะไรไป? หรือว่าเจออะไรน่ากลัวในด่านทดสอบมา"
ริมฝีปากบางได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้ ในหัวนึกไปถึงสิ่งน่ากลัวที่เด็กสาวเหล่านี้พูดถึง พอคิดขึ้นมาได้ น้ำลายก็ไหลทันที จนต้องรีบยกมือเช็ดมุมปาก
"นี่อีกเดี๋ยวพวกเราต้องไปเลือกกระบี่ประจำกายแล้ว ข้าว่าคนที่มีสายเลือดเซียนอย่างเจ้าต้องได้กระบี่มีชื่อแน่เลย อวี้ถิง"
"ใช่ๆ ว่ากันว่าสุสานกระบี่มีมาก่อนสำนักฉือคุนจะก่อตั้งอีกนา ที่นั่นต้องมีกระบี่ล้ำค่ามากแน่เลย ข้าอยากรู้เสียแล้ว ว่าดวงชะตาของข้าจะได้กระบี่เช่นไร
"แหม ต่อให้เจ้าได้กระบี่ดีแค่ไหน ข้าก็เชื่อว่าน่าจะด้อยกว่าของอวี้ถิงอยู่ดี จริงไหมพวกเรา"
"เรื่องนั้นมันต้องแน่อยู่แล้ว"
คำพูดประจบประแจงของเด็กสาวเหล่านี้ ปิงปิงฟังแล้วต้องนิ่วหน้า จากประสบการณ์ชีวิตของคนพิการที่โดนดูถูกมาทั้งชีวิต แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเด็กพวกนี้หาความจริงใจไม่ได้เลยสักคน แต่ก่อนที่จะเข้าใจเรื่องราวของตัวเอง เงียบไว้จะเป็นการดีที่สุด
สุสานกระบี่อะไรอีกเนี่ย นี่ตกลงว่าเราตายแล้วขึ้นสวรรค์ใช่ไหม
หลังจากที่ผู้ผ่านการทดสอบมากันครบ ทุกคนก็ถูกพาไปยังสุสานกระบี่ที่ว่า
"สำนักฉือคุนของเราล้วนเชื่อในเรื่องโชคชะตา และสุสานกระบี่แห่งนี้ถือเป็นก้าวแรกของชะตาพวกเจ้าทุกคน กระบี่ทุกเล่มที่อยู่ในนั้น ล้วนมีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง อาวุธแห่งชะตากำลังรอพวกเจ้าอยู่ จงเข้าไปหามัน"
ค่ายกลประตูสุสานถูกเปิดขึ้นช้าๆ แสงสีเงินจากโลหะถึงกับส่องประกายออกมาด้านนอก จนต้องพากันยกมือป้องตา
"เอาล่ะ เข้าไปได้แล้ว ขอให้ศิษย์ใหม่ทุกคนโชคดี"
ทุกคนพากันทยอยผ่านประตูค่ายกลเข้าไปด้วยสีหน้าท่าทางตื่นเต้นยินดี มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สีหน้าสับสนมึนงง
ปิงปิงมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตะลึง บนพื้นมีเศษซากกระบี่ปักอยู่เต็มไปหมด บ้างก็ส่องประกาย บ้างก็เก่าคร่ำคร่า ที่แห่งนี้คล้ายจะกว้างใหญ่จนไม่มีที่สิ้นสุด
"อวี้ถิง พวกเราก็แยกย้ายกันไปหาเถิด"
"อืม" เพียงครู่เดียว ผู้คนที่เข้ามากว่าสามร้อยก็หายไปในพริบตา เหลือเพียงปิงปิงยืนอยู่คนเดียวแถวหน้าปากประตู ต้องใช้มือดึงริมฝีปากที่ปั้นยิ้มจนแข็งค้างให้หุบลง แล้วยังต้องอ้าหุบๆ อีกพักใหญ่
"เฮ้อ! ตกลงที่นี่มันที่ไหนกันแน่นะ" ร่างบอบบางตลบกระโปรงนั่งลงบนพื้นอย่างไม่สนใจจะตามหาอาวุธแห่งโชคชะตาที่ว่า
"โอ๊ย!"
"เฮ้ย!" เด็กสาวกระโดดจนตัวลอยรีบลุกขึ้นยืนทันที เห็นกระบี่ไม้กระดำกระด่างกำลังตั้งขึ้นจากพื้น
"ไอ้เด็กตัวเหม็น! ไอ้ลูกบิดามารดาไม่สั่งสอน! บังอาจมานั่งทับข้า!"
ทีแรกก็ตกใจ แต่พอถูกด่า แม่ค้าปากเก่งอย่างปิงปิงไหนเลยจะยอม "นี่ไอ้ดาบอัปลักษณ์! ว่าใครเป็นเด็กตัวเหม็นห๊ะ!"
"เจ้าว่าใครอัปลักษณ์!!!"
"เฮอะ! ยังจะมีหน้ามาถามอีก"
"นี่เจ้า!!!"
หนึ่งคนหนึ่งกระบี่เปิดฉากทำสงครามน้ำลายกันอยู่พักใหญ่ โดยลืมเรื่องสำคัญไปเรื่องหนึ่ง คือผู้ที่จะได้ยินเสียงของจิตวิญญาณในกระบี่ได้ต้องเป็นผู้ที่มีชะตาร่วมกัน
จนกระทั่งเด็กสาวที่เป็นสหายในกลุ่มของอวี้ถิงเดินกลับมา ปิงปิงถึงได้หุบปากลง แต่ก็ยังไม่วายถลึงตาใส่กระบี่ไม้ไปหนึ่งทีด้วยความโมโห "เชอะ! ฝากไว้ก่อนเถอะ!"
"อวี้ถิง เจ้าดูกระบี่ของข้าสิ" เด็กสาวในชุดเขียวอ่อนรีบก้าวเข้ามาด้วยความดีอกดีใจ พร้อมยกกระบี่ในมือชูให้ดู
รอยยิ้มบนใบหน้าของอวี้ถิงจึงกลับมาอีกครั้ง ปิงปิงได้แต่พยักหน้าหงึกงักๆ มองกระบี่เล่มบางที่ส่องประกายระยิบระยับในมืออีกฝ่ายด้วยความชื่นชม
จากนั้นเด็กสาวที่เหลือก็กลับมาพร้อมอาวุธแห่งชะตา ซึ่งดูแล้วกระบี่ของแต่ละคนล้วนสวยสดงดงามสมเป็นกระบี่ของอิสตรี
"เห? อวี้ถิง แล้วไหนกระบี่ของเจ้าล่ะ"
คราวนี้ปิงปิงถึงพึ่งนึกได้ ว่าตัวเองมัวแต่ยืนด่ากับกระบี่ไม้จนลืมไปตามหาอาวุธแห่งชะตา หางตาเหลือบมองไปยังตัวต้นเหตุ
"มองอะไร เจ้าเด็กตัวเหม็น! แน่จริงมาด่ากับข้าต่อเส้!" ตัวกระบี่สั่นไหวเรียกความสนใจจากเด็กสาวทั้งกลุ่ม
"อวี้ถิง อย่าบอกนะว่าเจ้าได้ยินเสียงของ เอ่อ...."
ปิงปิงได้แต่พยักหน้ารับ
จากนั้นดวงตาสี่คู่ก็จับจ้องมาเป็นตาเดียว "เหตุใดกระบี่ของเจ้าถึงได้..."
หนึ่งในเด็กสาวทำหน้ารังเกียจมองไปยังกระบี่ไม้
"เฮอะ! เจ้าเด็กตาไร้แววพวกนี้ ไม่รู้จักข้าเสียแล้ว นึกว่าไอ้กระบี่สวยงามนั่นมันมีพลังมากนักหรือไง แค่ข้าเป่าทีเดียวพวกมันก็ขาดครึ่งแล้ว ฟูด..."
ไม่พูดเปล่า แต่มันกลับทำขึ้นมาจริงๆ กระบี่ของเด็กสาวเมื่อครู่ถึงกับขาดครึ่งอย่างที่ว่า
กระบี่ที่หัก ทำให้เด็กสาวผู้นั้นถึงกับปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใคร แต่การร้องไห้ของนางก็ถือเป็นข้อดีอย่างหนึ่ง นั่นคือดึงความสนใจจากคนอื่น
ปิงปิงเห็นแล้วต้องหันกลับไปถลึงตาใส่กระบี่ไม้อีกรอบ
"เจ้าคิดว่าทำตาเช่นนั้น แล้วข้าจะกลัวหรือไร! เฮอะ! มาเส้! แน่จริงก็มาปะทะฝีปากกับข้าต่อเลยมา!!"
กระบี่ปากเสียส่ายไปส่ายมาคล้ายกับกำลังท้าทาย ยังดีที่ปิงปิงพอมีสติอยู่บ้างถึงไม่ได้หลุดด่าออกไป ได้แต่สะบัดหน้าหนี
"ข้าว่าออกไปถามผู้อาวุโสด้านนอกจะดีกว่านะ เจ้าร้องไห้ไปก็ไม่มีประโยชน์"
"ใช่ๆ"
หนึ่งในเด็กสาวเอ่ยขึ้น พร้อมอีกคนเอ่ยสนับสนุน ทั้งกลุ่มเลยพากันสาวเท้าออกไปทางประตู
"นั่นเจ้าจะไปไหน! ไอ้เด็กตัวเหม็น! แน่จริงอย่าหนีเส้!" กระบี่ไม้รีบลอยตามหลังปิงปิงมาติดๆ พร้อมเสียงก่นด่าเป็นชุด กระทั่งพ้นออกมาจากประตูสุสาน มันก็ยังไม่เลิกด่า
ผู้อาวุโสทั้งสองที่รออยู่ด้านนอก เห็นแล้วยังอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ ที่ตะลึงไม่ใช่เพราะความเก่งกาจอะไร แต่เพราะไม่อยากเชื่อ ว่าในสุสานกระบี่แห่งนี้ จะมีกระบี่ไม้ไร้ค่าอยู่ด้วย
"เอ่อ.. อวี้ถิง นั่นใช่กระบี่ของเจ้าหรือไม่?"
ปิงปิงส่ายหน้ารัวๆ ผิดกับกระบี่ที่ลอยอยู่ด้านหลัง "หน็อย! กล้าปฏิเสธข้าเชียวหรือ นี่แน่ะ!
แหมะ!
"เฮ้ย! ทำอะไรเนี่ย!"
อุตส่าห์ตั้งใจจะไม่พูด จนกว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่พอถูกกระบี่ไม้มาแปะติดอยู่บนหลัง ปิงปิงก็โวยวายทันที "ออกไปเลยนะ!"
"ไม่ไป!"
"ไอ้กระบี่หน้าด้านเอ๊ย!!!"
เสียงโวยวายของปิงปิงกับท่าทางเกาะติดของกระบี่ ทำให้สองผู้อาวุโสกับสี่เด็กสาวถึงกับยืนอ้าปากค้าง ลืมเรื่องกระบี่หักไปเสียสนิท
"อะแฮ่ม แค่กๆ"
กระทั่งเสียงกระแอมกระไอของหนึ่งในผู้อาวุโสดังขึ้น ปิงปิงถึงพึ่งนึกได้ รีบกลับมาทำตัวสงบเสงี่ยมเช่นเดิม
"อวี้ถิง กระบี่นั่นคือกระบี่แห่งชะตาของเจ้า เจ้าไม่อาจปฏิเสธมันได้"
เด็กสาวจำต้องก้มหน้ารับคำ แต่ในใจยังเถียงกับกระบี่ปากเสียเลิกไม่ลา
"เอาล่ะพวกเจ้าก็พากันไปรับชุดพร้อมป้ายประจำตัวที่หอส่วนกลางเถิด"
"เจ้าค่ะ"
ทุกคนพากันสาวเท้าตรงไปยังหอส่วนกลาง ยังดีที่มีผู้คนเพียงประปราย มิเช่นนั้นคุณหนูอวี้ถิงคงกลายเป็นที่ตลกขบขันไปแล้ว
ขนาดสองผู้อาวุโส ยังอดที่จะส่ายหน้าไม่ได้ ก็ใครจะไปคิดว่าบุตรสาวเซียนจะมีอาวุธแห่งชะตาเป็นกระบี่ไม้ไร้ค่ากัน
หลังจากรับชุดกับป้ายประจำตัว ศิษย์พี่ก็พาทุกคนไปยังห้องพักของศิษย์ใหม่ สำหรับศิษย์ที่เป็นสตรีจะอยู่บนยอดเขาเทียมจันทร์
ปิงปิงก้าวตามทุกคนไปพร้อมกระบี่ที่ติดอยู่บนแผ่นหลัง ด้วยความที่คุณหนูอวี้ถิงนับเด็กสาวที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง จึงทำให้ผู้คนที่พบเห็นนางต่างพากันแอบหัวเราะเยาะ แอบนินทากันอย่างสนุกปาก
แต่เรื่องนั้นก็หาได้มีผลกับหญิงสาวที่วิญญาณหลงมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดไม่ ยามนี้ที่ปิงปิงต้องการที่สุดคือการได้อยู่คนเดียว
บนเขาเทียมจันทร์จะแบ่งออกเป็นชั้นๆ สำหรับศิษย์ตามลำดับขั้น พ้นจากบันไดร้อยขั้นขึ้นมาถือเป็นชั้นล่างสุด และนั่นคือที่พักและที่ฝึกตนของศิษย์ใหม่
หลังจากที่เข้าห้องมาได้ ปิงปิงก็รีบหันหลังไปปิดประตูอย่างรวดเร็ว ฟู่..... ระบายลมหายใจออกมาเสียยืดยาว
"เป็นอะไรของเจ้า!?"
แต่เสียงของกระบี่ตัวดี ก็ต้องทำให้ความโล่งใจเมื่อครู่ของปิงปิงหายไปจนหมด
"จะเกาะอีกนานไหมห๊ะ?!!"
"เฮอะ! ใครอยากเกาะเจ้า!" ตัวกระบี่ลอยออกไปนอนแหมะอยู่บนเตียงนอน ซ้ำยังกลิ้งไปมาท่าทางสนุกสนาน "วู้วววว นุ่มสบายดีจริงข้าจะนอนตรงนี้ ส่วนเจ้า! เห็นแก่ที่เจ้าได้ยินเสียงของข้า! ข้าจะยอมให้เจ้ามาเป็นสาวใช้ก็แล้วกัน"
"__"
ปิงปิงถึงกับหมดคำพูด ได้แต่ยืนอึ้งมองแท่งไม้น่าเกลียดอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี จะว่าไปไอ้กระบี่ไม้ปากเสียนี่ ดูตรงไหนก็ไม่เห็นจะเหมือนกระบี่เลยสักนิดเดียว
แต่มาคิดอีกที ก็คงต้องพึ่งมันนี่แหละ
"ที่นี่คือที่ไหน"
"เจ้าไม่รู้?"
"ใช่ วิญญาณของฉันพึ่งจะมาสิงในร่างนี้ และโลกที่ฉันเคยอยู่ก็ไม่ได้เป็นแบบนี้"
ตัวกระบี่ถึงกับเด้งขึ้นจากที่นอน ก่อนจะพุ่งตัวมาลอยวนรอบร่างบอบบาง
"เห? น่าแปลกมาก ข้าก็ว่าแล้ว ว่าเจ้ามันมีอะไรแปลกๆ ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง"
"ทีนี้จะบอกได้หรือยัง ว่าที่นี่คือที่ไหน นรก หรือสวรรค์ หรืออะไร?"
"เจ้าจะต้องไปสนใจทำไม ว่าที่นี่จะเป็นที่ไหน ในเมื่อเจ้าได้มาเกิดใหม่ในร่างนี้ สิ่งที่ควรทำคือมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ไม่ใช่หรือ"
"นั่นมันก็ใช่ แต่ฉันไม่รู้อะไรเลย แล้วจะอยู่ได้ไง!"
"เพ้ย! เจ้าโง่! ไม่รู้ก็หัดเรียนรู้สิโว้ย! นู้น หอตำราในสำนักนู้นไปหาอ่านดู!"
"จริงด้วย"
ปิงปิงไม่รอช้า รีบสาวเท้าออกจากห้องพร้อมกระบี่ลอยตามหลังมา เดินลงเขาตรงไปยังหอตำราที่เมื่อครู่ศิษย์พี่ชี้ให้ดูทันที