ตอนที่ 2 : ต่อรองกับมัจจุราช
ตอนที่
[2]
ต่อรองกับมัจจุราช
ร่างสูงในอาภรณ์สีทองลวดลายมังกรดูทรงอำนาจกำลังจดจ้องมาที่นางด้วยสีหน้าที่สามารถดูออกได้ว่ากำลังโกรธเกรี้ยวด้วยเห็นโทสะที่พวยพุ่งขึ้นที่เหนือศีรษะของเขา
หากแต่สิ่งที่นางสนใจมิใช่อารมณ์แต่เป็นใบหน้าของเขา บุรุษตรงหน้าของนางนี้หากว่าอยู่ในโลกก่อนต้องไม่พ้นเป็นพระเอกแถวหน้าอย่างแน่นอน ดวงหน้าได้รูป ดวงตาลึกล้ำทรงอำนาจ คิ้วพาดเฉียง จมูกโด่งนั้นดูเชิดขึ้นบ่งบอกว่าเป็นคนเอาแต่ใจไม่น้อย ริมฝีปากไม่หนาหรือบางเกินไป รวม ๆ แล้วกล่าวได้ว่าหล่อเหล่าเกินคน
หากว่านี่ไม่ใช่พระรองที่หล่อเหล่าที่สุดแล้วละก็….ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่ายังไงแล้ว
ใช่แล้ว ตรงหน้าของนางคือ สามีของนาง ไม่สิ สามีของซูซีหลินคนก่อน เขาเป็นพระรองที่กึ่งจะไปทางตัวร้ายด้วยซ้ำ อวี๋กงซู่ฮ่องเต้ พระรองที่เกลียดนางร้ายในเรื่องยิ่งกว่าสิ่งใดและทุ่มหัวใจทั้งหมดให้กับนางเอกนิยายอย่าง ช่ายเฟิ่งจิ่ว อย่างไม่เหลือพื้นที่ใดอีก แม้ว่าช่ายเฟิ่งจิ่วจะรักพระเอกอย่าง ข่ายเชี่ยนหยุน จนหมดหัวใจก็ตาม
นางร้ายเรื่องนี้แปลกนัก มิได้หลงรักพระเอก แต่กลับหลงรักพระรองเสียอย่างนั้น รักจนกระทั่งทำสิ่งที่โง่ที่สุดแม้กระทั่งถูกคนหลอกใช้ก็ยังไม่รู้ตัว
แต่บัดนี้นางยังมีโอกาสพลิกวิกฤติก่อนที่จะถูกสั่งประหาร ต้องตายอย่างอเนจอนาถเช่นนั้น แม้ว่าคนตรงหน้าดูเหมือนพยายามจะกินหัวนางในยามนี้มากแล้วก็ตาม
“เหตุใดจึงไม่ตอบข้า เจ้าไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้วหรือ ถึงได้คิดแผนชั่วทำเรื่องชั่วเช่นนั้นกับคุณหนูช่ายได้!”
นางถูกดึงเข้ามาในเวลาที่ไม่ค่อยดีนัก ก่อนหน้านี้เพิ่งสั่งคนไปลอบทำร้าย ช่ายเฟิ่งจิ่วมา โดยมีคำสั่งว่าหากตายยิ่งดี เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายกลับมาเมืองหลวงได้สำเร็จ
แต่แน่นอนว่ามันไม่สำเร็จและสิ่งต่อไปที่ซูซีหลินจะต้องเจอคือฮ่องเต้ผู้นี้จะสั่งขังนางที่ตำหนักเย็นเจ็ดวัน
อวี๋กงซู่ลอบมองสตรีตรงหน้าที่อยู่ในท่าทางผิดแปลกจากเดิมด้วยสายตาพินิจพิจารณา แน่นอนว่าไม่ไว้ใจ โดยทั่วไปแล้วหากเจอเรื่องเช่นนี้ซูซีหลินคงจะโหวกเหวกโวยวายตีอกชกตัวพร้อมทั้งขอความเป็นธรรมให้กับตนเองด้วยการแสดงที่แสนโง่เขลาและไม่เป็นธรรมชาติ แต่บัดนี้กับนิ่งเงียบไม่กล่าวอันใดเพียงครึ่งคำ เขาเกือบจะถูกใบหน้าที่เปิดเปลือยไร้สิ่งประทินโฉมของอีกฝ่ายทำให้ไขว้เขวเพราะมันน่ามองกว่าทุกวัน แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่านี่คือซูซีหลิน สตรีที่ชั่วร้ายทำร้ายคุณหนูช่ายไม่นานโทสะของเขาก็พวยพุ่งขึ้นอีกครั้งและยิ่งกว่าเดิม
“หึ ปฏิเสธกับสิ่งชั่วร้ายที่ตนเองทำลงไปไม่ได้สินะ เราเคยเตือนเจ้าแล้ว ว่าหากเจ้าแตะต้องคุณหนูช่ายแม้เพียงปลายเล็บก็อย่าหาว่าเราไม่เตือน ตอนนี้อย่าว่าแต่ตำแหน่งฮองเฮาเลย แม้แต่ตำแหน่งกุ้ยเฟยของเจ้าก็อย่าหวังว่าจะรักษาเอาไว้ได้!! เผยกงกง….”
ก่อนที่เขาจะสั่งลงโทษอันใด ซูซีหลินไม่รอช้ารีบยกมือขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณให้เขาหยุดการกระทำของตนเองก่อน
“ฝ่าบาทก่อนที่ฝ่าบาทจะลงโทษหม่อมฉัน หม่อมฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องเพคะ”
“คนกระทำผิดเช่นเจ้าสามารถที่จะต่อรองอันใดด้วยหรือ” อวี๋กงซู่ฮ่องเต้เชิดพระพักตร์ขึ้น พระเนตรเต็มไปด้วยความระแวดระวัง ไม่ไว้ใจและความไม่ชอบใจ หญิงสาวคล้ายจะรับรู้ถึงสายตาเหล่านั้นจึงได้คิดที่จะรีบพูดเพื่อให้ทุกอย่างจบลงโดยเร็ว
“ฟังหม่อมฉันก่อนสักนิดเถิดเพคะ” หญิงสาวพยายามอ้อนวอน คล้ายกับว่าเขารำคาญไม่นานก็ตอบตกลงฟังที่นางจะกล่าว
“ว่ามา แต่หากคำพูดเจ้ามีอันใดที่ไม่เข้าท่าอย่าหาว่าข้าไม่เตือน” นี่ก็ขู่เก่งเหลือเกิน
“หม่อมฉันรู้แล้วเพคะว่าที่ผ่านมานั้นเป็นหม่อมฉันที่ดึงดันทุกอย่างไปเองคนเดียว จนทำให้เรื่องทุกอย่างมันบานปลายมาถึงขั้นนี้”
“ก็รู้นี่” อวี๋กงซูฮ่องเต้
“…..”
นางทำเป็นไม่สนใจท่าทางของเขาก่อนจะกล่าวต่อ
“ดังนั้นหม่อมฉันจึงคิดว่าจะขอเวลาพระองค์เพียงแค่สองเดือนเท่านั้นในการอยู่ตรงนี้เป็นซูกุ้ยเฟย จากนั้นหม่อมฉันจะไม่ขอแย่งชิงใด ๆ อีก จะกลับไปที่จินโจวเพื่ออยู่กับท่านพ่อท่านแม่ที่นั่นเพคะ” ฮ่องเต้หนุ่มได้ยินดังนั้นก็หรี่ตาลงอย่างไม่ไว้วางใจ
“เหตุใดต้องรอถึงสองเดือน” เขาร้อนใจจะแย่แล้ว อยากจัดการตนเองให้เรียบร้อยก่อนที่คุณหนูช่ายจะกลับมา เพื่อที่นางจะได้เห็นว่าเขาไม่มีผู้ใดและรอคอยเพียงนางผู้เดียวเท่านั้น
“เพราะหากหม่อมฉันถอนตัวไปตอนนี้ ตำแหน่งสตรีเคียงข้างพระองค์ก็จะว่างเว้น เหล่าขุนนางก็คงจะไม่วายหยิบยกเรื่องแต่งตั้งฮองเฮาขึ้นมาอีก ยามนั้นเกรงว่าพระองค์จะถูกกดดันและต้องทำอันใดสักอย่างก่อนที่คุณหนูซูจะมาถึงเมืองหลวงเป็นแน่เพคะ”
“แต่หากหม่อมฉันยังอยู่ อย่างน้อยตอนนี้เหล่าขุนนางก็ยังคงเกรงใจในบิดาของหม่อมฉัน” แน่ล่ะ บิดาของซูซีหลินเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของแคว้น ทำผลงานได้มากมายในตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมาจึงทำให้เหล่าขุนนางยำเกรงไม่น้อย และด้วยเพราะผลงานบิดานี่เองที่สามารถทำให้ซูซีหลินได้กลายมาเป็นซูกุ้ยเฟยในทุกวันนี้ และพิธีแต่งตั้งกุ้ยเฟยเพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อหกเดือนที่แล้ว เหล่าขุนนางจึงยังไม่กล้ากระโตกกระตากที่จะเสนอสตรีให้กับฮ่องเต้เพิ่มในยามนี้
อวี๋กงซู่แม้จะไม่ไว้ใจ แต่ก็คิดว่าคำพูดของซูซีหลินนั้นมีเหตุผลไม่น้อย ขุนนางเฒ่าพวกนั้นจ้องแต่จะยื่นมือมาวุ่นวายกับหลังบ้านเขาอยู่เรื่อย ๆ
แต่แผนการนี้มาจากซูซีหลินเช่นนั้นหรือ มันช่าง….
“แล้วเราจะไว้ใจได้อย่างไร ว่าเมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะจากไป รวมถึงไม่คิดทำร้ายคุณหนูช่ายอีก”
“หม่อมฉันไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรให้พระองค์เชื่อถือ แต่นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หม่อมฉันจะไม่ไปยุ่งวุ่นวายหรือทำอันใดให้พระองค์รำคาญใจอีกแล้วเพคะ และเมื่อคุณหนูช่ายมาถึงเมืองหลวง หม่อมฉันก็จะรีบหลีกทาง หรือไม่ก็อาจจะช่วยพระองค์รีบเชื่อมวาสนากับคุณหนูช่ายให้สำเร็จด้วย”
“ขอเพียงเจ้ายอมจากไป เรื่องเชื่อมวาสนาคงไม่ต้องให้เจ้ายื่นมือเข้ามายุ่งอันใด”
ผู้ใดจะอยากยุ่งกัน นางก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง
“แสดงว่าพระองค์รับปากแล้วหรือเพคะ”
“อย่าคิดว่าข้าเชื่อถือในคำพูดของเจ้า แต่ข้ากำลังให้โอกาสเจ้า หากครั้งนี้เจ้ายังมีลูกไม้อันใด แม้แต่บิดาของเจ้าก็อย่าได้คิดว่าจะช่วยเจ้าได้!”
ขู่อีกแล้ว
“หม่อมฉันรู้แล้วเพคะ ขอพระองค์โปรดวางใจ” ซูซีหลินค้อมศีรษะลงเล็กน้อย อวี๋กงซู่หรี่ตาลงเพื่อประเมินหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นไม่พูดอันใดอีกก็สะบัดพระวรกายจากไปทันที
ฟู่ว ไปเสียที
คล้อยหลังชายหนุ่ม ซูซีหลินก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อครู่มิใช่แค่ซูซีหลินที่กดดันแม้แต่จินจูนั้นก็แทบจะมุดหน้าลงไปฝังที่พื้นเสียแล้ว แม้ว่าเมื่อครู่ใบหน้าของตนก็แทบจะแนบสนิทติดกับพื้นอยู่แล้วก็ตาม
รัศมีของผู้ปกครองแผ่นดินนี่ช่างอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
เมื่อหันไปลอบมองผู้เป็นนายก็เห็นเพียงว่าพระองค์เอาแต่ถอนหายใจออกมาไม่หยุดไม่รู้แท้จริงคิดอย่างไรอยู่
เฮ้อ สองเดือนคงจะเพียงพอที่นางจะรักษาชีวิตตนเองและคนผู้นั้นเอาไว้ได้ ซูซีหลิน
อวี๋กงซู่ฮ่องเต้หลังจากที่กลับมายังห้องทรงพระอักษรของตนเองแล้วก็ได้แต่สบสายตาขันทีคนสนิทอย่างเผยกงกง ก่อนจะถามในสิ่งที่ตนเองสงสัยออกไป
“เผยกงกง ท่านว่าสิ่งที่นางพูดนั้นมีความจริงกี่ส่วน”
นาง ที่ว่าหมายถึงผู้ใดไม่ต้องเดา เผยกงกงประมวลคำถามและคำตอบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ ตอบอย่างระมัดระวัง
“ซุกุ้ยเฟยนั้น มีใจผูกติดกับฝ่าบาทมานานหลายปี ความฝังลึกนั้นผู้ใดก็ล้วนแต่รับรู้ เฉกเช่นเดียวกับที่ฝ่าบาทรู้สึกเช่นเดียวกับคุณหนูช่าย กระหม่อมจึงคิดว่า…พระนางไม่น่าจะสามารถตัดใจได้อย่างง่ายดายในระยะเวลาเพียงสองเดือนแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านคิดว่านางโกหก?”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมลอบสังเกตดูพระนางดูไม่คล้ายคนโกหก”
“ตกลงว่านางโกหกหรือไม่โกหก” อวี๋กงซู่ฮ่องเต้ฮึดฮัดขัดใจไม่น้อย
เผยกงกงจึงได้คุกเข่าลงก่อนจะรีบกล่าวต่อ
“กระหม่อมแม้ไม่แน่ใจว่าพระสนมคิดอย่างไร แต่พระนางดูไม่คล้ายจะปฏิบัติกับพระองค์เช่นเดิมพ่ะย่ะค่ะ ดังนั้น ไหน ๆ พระองค์ก็รับปากพระสนมไปแล้ว ระหว่างนี้ก็รอดูท่าทีไปก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เผยกงกงกล่าวแล้วลอบปาดเหงื่อในใจ เขารอดหรือยังนะ
“เช่นนั้นเราจะคอยดูท่าทีของนาง แต่หากว่านางไม่คิดทำดังปากว่า ก็อย่าหาว่าเราใจร้ายก็แล้วกัน!” จักรพรรดิตรัสแล้วก็ตวัดสายพระเนตรดุดันไปยังทิศทางตำหนักของสตรีที่ตนเพิ่งจากมา