5│ลูกเจี๊ยบใส่ไข่แต่ไม่พิเศษ (3)
เช้าวันที่สามของการมาอยู่ในเมืองหลวงนั้นพินรีตื่นเช้ากว่าปกติ เธอตั้งนาฬิกาปลุกตอนหกโมงเช้าก่อนจะเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว บนโซฟาไร้ร่างกำยำ ภายในห้องนอนยังคงเงียบสนิทไร้ความเคลื่อนไหว เหมือนว่าเขาจะยังไม่ตื่นกระมัง
ผ้ากันเปื้อนสีชมพูหวานแหววถูกสวมทันทีที่เจ้าหล่อนเดินเข้ามาในส่วนของห้องครัว แล้วจึงเริ่มต้นทำตามแพลนที่ตนวางไว้ เริ่มต้นด้วยการเตรียมวัตถุดิบที่ซื้อมาตุนตั้งแต่เมื่อวาน โดยหยิบเนื้อหมู เห็ดหอม แครอท ข้าวโพดและผักชีต้นหอมสำหรับเมนูข้าวอบเห็ด ซึ่งตั้งใจทำเป็นมื้อเที่ยงให้คุณผู้เชี่ยวชาญได้ทานตอนพักเที่ยง ในส่วนของมื้อเช้าเป็นไข่กระทะ จึงไม่ลืมหยิบวัตถุดิบหลักอย่างไข่ไก่ออกมาห้าฟอง เป็นของเธอสองและวสุอีกสาม เขาเป็นผู้ชายตัวหนาจึงอนุมานไปว่าน่าจะต้องกินเยอะ รวมไปถึงเครื่องเคียงอื่นๆ อย่างหมูสับ ไส้กรอกและแฮม
เมื่อได้ของที่ต้องการครบถ้วนก็ง่วนอยู่กับการเตรียมข้าว เริ่มต้นด้วยการรวนหมูหั่นเต๋าพอให้สุกเล็กน้อยถึงปานกลาง จากนั้นก็นำเห็ดลงไปผัดกับกระเทียมให้พอมีกลิ่นหอม เสร็จสรรพแล้วจึงนำเครื่องที่ผัดไว้ไปหุงพร้อมข้าวสารในหมอหุงข้าวที่ตนเพิ่งซื้อมา แต่คุณป๋าเจ้าของห้องเป็นคนออกค่าใช้จ่าย
ที่เหลือก็รอแค่ให้ข้าวสุก
พินรีเทความสนใจมาที่การทำไข่กระทะ ขณะนั้นกลับได้ยินเสียงประตูห้องถูกเปิดออกพร้อมเสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“ทำอะไร”
เมื่อหันไปตามเสียงก็พบกับชายร่างสูงในชุดนอนสบายๆ อย่างเสื้อยืดสีดำกับกางเกงขายาว ผิวที่โผล่พ้นร่มผ้าค่อนข้างขาว ผมเผ้ายุ่งเหยิงเป็นภาพที่แปลกตา ปกติพินรีจะได้เห็นวสุมากับความเรียบร้อยอยู่ตลอดแม้ว่าจะเป็นเวลาหลังเลิกงาน แต่วันนี้ได้เห็นเขาในสภาพเพิ่งตื่นนอน
เฮียสี่โคตรน่ารักเลย
“ไข่กระทะค่ะ”
คนตัวใหญ่พยักหน้าส่งๆ อย่างขอไปที “ชงกาแฟให้หน่อย”
“ได้ค่ะ เข้มๆ เลยไหมคะ”
“อือ”
ว่าจบชายฉกรรจ์ก็หมุนตัวเดินไปนั่งลงบนโซฟาที่ห้องนั่งเล่น พาดคอไปกับพนักพิงพลางปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยล้า เมื่อวานลุยงานทั้งวันกลับมาก็ยังออกไปเยาวราช ไหนยังเดินเที่ยวเล่นอีกพักใหญ่ กว่าจะได้พักก็เล่นเอาหมดแรง ดีที่วันนี้ท่านสส. สัตรามีงานช่วงสิบโมง ผู้ติดตามอย่างเขาจึงไม่ต้องรีบหูตาตั้งออกไปทำงานตั้งแต่เช้า
ครู่สั้นๆ กลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟก็ลอยมาปะทะจมูกเข้าอย่างจัง เปลือกตาถูกเปิดขึ้นอัตโนมัติจึงได้เห็นร่างระหงอยู่ในครรลองสายตา เจ้าหล่อนอยู่ในชุดนอนสีหวานเข้าคู่กับผ้ากันเปื้อนที่เขาเพิ่งเคยเห็น ก่อนหน้านี้ห้องเขาไม่มีสักผืนเลยด้วยซ้ำ
ผมสีน้ำตาลที่ยาวระเอวถูกรวบไว้เรียบร้อย ใบหน้านวลไร้การแต่งแต้มทว่ากลับผ่องใส ยามสาวเจ้าโน้มตัวลงมาเพื่อวางแก้วเครื่องดื่มที่อยู่ในมือ กลิ่นกาแฟที่เคยหอมกลับถูกกลิ่นบางอย่างกลบไปดื้อๆ ชายหนุ่มเผลอสูดดมอย่างไม่ทันตั้งตัว ไม่ต่างกับสายตาคู่คมที่จดจ้องร่างแน่งน้อยไม่วางตา
ริมฝีปากสีระเรื่อเบนกว้าง นัยน์ตาสุกสกาวมองมายังใบหน้าเรียบสนิทของฝ่ายชาย “กาแฟได้แล้วค่ะ อีกเดี๋ยวพิยกไข่กระทะมาให้นะคะ”
สิ้นคำร่างอรชรในชุดสีหวานก็ผละตัวออกไป พร้อมลมหายใจที่ถูกระบายออกอย่างรุนแรงของใครบางคน
อย่าหาเรื่องน่า ก็แค่ตัวหอม ผู้หญิงคนไหนๆ ก็หอมทั้งนั้น
พินรีไม่ได้พิเศษไปกว่าใครเสียหน่อย
ให้หลังประมาณห้านาทีแม่ครัวคนสวยก็ยกอาหารเช้าของพี่ชายเพื่อนมาเสิร์ฟให้ถึงที่ หล่อนถดกายเล็กน้อยราวกำลังสวมบทบาทพนักงานเสิร์ฟอาหาร “หน้าตาพอใช้ได้ไหมคะ”
นัยน์ตาคมหลุบลงต่ำเพื่อมองอาหารตรงหน้าที่หน้าตาไม่ต่างไปจากตามร้านอาหาร เขาอาจจะไม่ได้ชอบพออะไรในตัวพินรี แต่ก็แยกแยะเป็นว่าเรื่องดีก็ส่วนดี ไม่ดีก็ส่วนไม่ดี
อย่างเช่นเรื่องนี้ “ได้ น่ากินดี”
จากที่ยิ้มกว้างอยู่แล้ว บัดนี้พินรียิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าจนสองแก้มนวลพองเหมือนมีใครมาแอบสูบลมอยู่ด้านใน
“พิเคยทำเมนูนี้แค่สองสามครั้ง แต่มันไม่ใช่เมนูที่ยากเท่าไรน่ะค่ะ ที่ผ่านมารสชาติมันก็ไปวัดไปวาได้ ครั้งนี้ก็คิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้น แต่ถ้าเฮียกินแล้วรู้สึกว่าตรงไหนควรปรับก็บอกพิมาตรงๆ เลยนะคะ ครั้งต่อไปจะได้อร่อยกว่าเดิม”
เขาไม่ได้ตอบโต้อะไรแต่จัดท่านั่งของตัวเองให้เรียบร้อยแล้วตักไข่กระทะฝีมือยายไก่เน่าเข้าปาก
ใบหน้าคร้ามคมพยักขึ้นลงช้าๆ “อร่อย”
แววตาของแม่ครัวเต็มไปด้วยความปีติ ด้วยไม่คิดไม่ฝันว่าวันหนึ่งจะมีโอกาสได้ทำอาหารให้ชายในดวงใจได้ทาน หนำซ้ำเขายังชมว่ารสชาติของมันอร่อย ไม่เสียแรงที่ฝึกเข้าครัวตั้งแต่ยังเด็ก
คิ้วสีดำขลับเลิกขึ้น “แล้วเธอไม่กินหรือไง”
“กินค่ะ” ก่อนแกล้งเย้า “ป้อนหน่อย”
มือที่ถือช้อนค้างเติ่งกลางอากาศ “ทำกระทะเดียวเหรอ ไปเอาช้อนมา”
เรียวขาสวยก้าวตรงไปยังห้องครัวก่อนหยิบกระทะใบเล็กของตนมาถือไว้ แล้วจึงเดินกลับไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เพื่อนร่วมห้อง ที่จริงถัดไปอีกนิดก็เป็นโต๊ะทานอาหารสำหรับสี่คน แต่เห็นวสุนั่งพักสายตาอยู่หน้าทีวีเธอจึงเสิร์ฟมันเสียตรงนี้ เขาก็ไม่ได้คัดค้าน เธอจึงเลือกที่จะทำแบบเดียวกับเขา
“ไหนทำกระทะเดียว”
“พิบอกตอนไหนคะ เฮียพูดเองเออเองทั้งนั้น” ก่อนคนตัวเล็กจะส่งยิ้มซุกซนที่ได้หยอกเย้าคนแก่กว่า “พิทำสำหรับสองคนค่ะ แต่ของเฮียใส่ไข่มากกว่าเพราะเฮียพิเศษ”
วสุนิ่งงันไปทันที ก้อนความรู้สึกบางอย่างที่แม้แต่ตัวเขาก็ยังไม่รู้ว่ามันมีชื่อว่าอะไรแล่นมาโจมตีเข้ากลางใจอย่างไม่ทันตั้งตัว
พินรียังคงความช่างจ้อของตนไว้ “ซื้อของมาทำเองแบบนี้ดีกว่าเนอะ พิชอบมากเลยค่ะ พอต้องตื่นมาทำกับข้าวก็ไม่งัวเงียเลย ปกติพิจะตื่นมานั่งอ๊องสักพักเลยกว่าจะลุกได้ แต่นี่พอได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกก็ตื่นเลยค่ะ”
ทั้งที่เมื่อคืนกว่าจะได้นอน เพราะมัวแต่ไถหน้าจอมือถือเพื่อเลือกซื้ออะไรบางอย่างตามคำแนะนำของกูรูที่มีผัวนำไปก่อนแล้ว
“สมัยก่อนพิขี้เซามาก ช่วงเรียนน่ะอาการหนัก ตื่นแล้วก็ไปนั่งหลับในห้องน้ำต่อ อุ๊ย ใช้คำว่าสมัยก่อนดูแก่มากเลยอะ แต่ไม่เท่าเฮียเนอะ เฮียแก่กว่าตั้งเยอะ”
คนถูกค่อนขอดว่า ‘แก่’ ทั้งที่เพิ่งจะสามสิบห้าได้แต่มองเด็กปากแจ๋วอย่างคาดโทษ
ทว่าแม่เจ้าประคุณหาได้สำนึกไม่ “แก่ๆ แบบนี้ไม่รีบมีเมียเดี๋ยวก็ใช้งานไม่ได้หรอก”
“ลามปามแล้วพิ”
เจ้าหล่อนกลับไหวไหล่ด้วยท่าทีไม่ค่อยจะนี่หระแม้ว่าเขาจะเอ่ยเสียงดุ “อย่าหาว่าพิไม่เตือนก็แล้วกัน”
วสุไม่ตอบโต้บทสนทนาแต่ตักอาหารเข้าปากพร้อมทิ้งสายตาไปที่หน้าจอทีวี ที่บัดนี้มีผู้ประกาศข่าวกำลังรายงานข่าวเช้าอยู่ บรรยากาศเช่นนี้ทำให้เธอหายคิดถึงบ้านเพราะรู้สึกเหมือนได้อยู่บ้าน เช้าๆ พ่อกับแม่จะตื่นมาเตรียมของ เปิดทีวีดูข่าวไปพลาง ที่นี่วสุก็ชอบดูข่าว ส่วนมากจะเป็นข่าวการเมือง เธอตามบ้างไม่ตามบ้าง ถ้ามีประเด็นร้อนก็ตามติดเกาะขอบสนาม ถ้าไม่ค่อยมีอะไรก็วุ่นวายอยู่กับชีวิตตัวเองจนแบ่งให้เรื่องอื่นไม่ค่อยได้
“เฮียจ๋า”
บางทีหูซ้ายกับหูขวาของพินรีมันอาจจะมีท่อต่อจนทะลุถึงกันได้ ที่เวลาเขาพูดอะไรไปถึงได้เข้าหูซ้ายแล้ววิ่งทะลุออกไปทางหูขวาโดยไม่มีอะไรฝังเข้าไปในหัวเลย
วสุเชื่อว่าหากย้ำเตือนข้อตกลงระหว่างกันไป อีกเดี๋ยวเธอก็จะเรียกเขาว่า ‘เฮียจ๋า’ อยู่ดี
เขาไม่ใช่ประเภทที่ชอบพูดอะไรซ้ำซาก ถ้าป่วยการจะพูดสู้ช่างหัวมันดีกว่า
“ว่า”
“ที่ทำงานเฮียมีไมโครเวฟไหมคะ”
ปกติแล้วเขาทำงานหลายที่ แต่หลักๆ ก็อยู่ที่ทำการของพรรคเป็นไทย ถ้าเป็นงานลงพื้นที่ก็แล้วแต่ว่าจะไปไหนซึ่งมีโอกาสที่จะเป็นที่ไหนก็ได้ในประเทศ บางทีเคลียร์งานไม่เสร็จก็พากันไปสุมหัวที่เพนต์เฮาส์ของเจ้านาย แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ทำอย่างนั้น เลิกงานก็กลับห้องใครห้องมันเพราะเพนต์เฮาส์ไม่ว่างพอให้ชาวบ้านอย่างพวกเขาเข้าไปเป็นก้างขวางคอคู่ข้าวใหม่ปลามัน
เว้นแต่มีประชุมเรื่องสำคัญก็ยังสามารถใช้ที่แห่งนั้นในการทำงานได้
ก่อนตอบคำถามเขาหรี่ตาแคบอย่างจับผิด กลัวว่าจะถูกแม่นี่เล่นงานอีก “อยากรู้ไปทำไม”
“มีไหมคะ”
หากที่ทำการของพรรคเป็นไทยที่มีท่อน้ำเลี้ยงเป็นนายทุนหัวตารางของประเทศไม่มีไมโครเวฟในตึก คงเป็นเรื่องที่น่าขายขี้หน้ามาก และหากว่ามันไม่มีจริงๆ เขาจะยอมควักเงินตัวเองจ่ายเพราะมันเป็นสิ่งจำเป็น บ่อยครั้งที่เขาฝากท้องกับอาหารกึ่งสำเร็จรูปแล้วต้องพึ่งพาเจ้าสิ่งนี้
“มี”
“งั้นดีเลยค่ะ”
“อะไรดี”
เจ้าหล่อนไม่ตอบคำถามแต่ตักไข่กระทะฝีมือตัวเองเข้าปากแล้วเคี้ยวจนแก้มตุ่ย “อร่อยจัง ถ้าเฮียมีวาสนาได้กินอาหารอร่อยๆ แบบนี้แค่เดือนเดียว พิว่าน่าเสียดายแย่เลยนะคะ”
วสุเพียงปั้นหน้ายุ่งกับการหยอดของพินรี หลังทานเสร็จก็จิบกาแฟที่ไหว้วานให้เจ้าหล่อนชงให้ ซึ่งมันน่าแปลกที่ไก่เน่าสามารถชงกาแฟได้ตามที่เขาต้องการทุกประการ
ชายร่างสูงผุดตัวลุกขึ้นยืนพร้อมกระทะใบเล็กและแก้วกาแฟ แต่พินรีก็ทำแบบเดิม “พิเก็บให้ค่ะ”
“ฉันเก็บเองได้”
“พิอยากทำให้ เฮียไปเตรียมตัวไปทำงานเถอะค่ะ ตรงนี้พิรับผิดชอบเอง”
จริงๆ แล้วมันมีนัยแฝง พินรีต้องการมีส่วนร่วมกับทุกเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันของวสุ เพื่อที่จะทำให้เขารู้สึกเคยชินและพัฒนากลายเป็นความผูกพันที่ต้องมีเธออยู่ด้วย มองไปทางไหนก็เห็นแต่หน้าเธอ มองป้ายหน้าห้องก็คิดถึงเธอ มองเครื่องครัวก็มีแต่หน้าเธอ เวลาทานข้าวก็ชินที่จะต้องทานกับเธอ นึกถึงกาแฟก็ต้องนึกถึงคนชง
ทุกอย่างในชีวิตเขา เธอจะเอาตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วมให้หมด
วสุปลีกตัวเข้าห้องเพื่อไปเตรียมตัวอาบน้ำอาบท่า เมื่อออกมาก็พบว่าพินรีเดินออกมาจากห้องครัวพอดี หล่อนหมดเวลาไปกับการทำความสะอาดครัวนานพอสมควร
“จะไปแล้วเหรอคะ นี่ค่ะ พิซื้อกล่องข้าวแบบเวฟได้มาเพราะมันสะดวก ไว้พอเฮียจะกินก็เอาไปเวฟนะคะ”
ชายหนุ่มมองกระเป๋าผ้าในมือบางแล้วลากสายตาไปหาคนถือ “อะไร”
“ข้าวกล่องไงคะ”
คุณผู้เชี่ยวชาญมาดเข้มปั้นหน้ายุ่ง มองกระเป๋าผ้าสีชมพูที คนถือที
เขาในวัยสามสิบห้ากับข้าวกล่องไปกินตอนพักเที่ยงน่ะหรือ
อย่าล้อเล่นน่า...