5│ลูกเจี๊ยบใส่ไข่แต่ไม่พิเศษ (4)
สุดท้ายก็ได้กล่องข้าวจากพินรีมาครอบครองจนได้
ชายหนุ่มแค่นหัวเราะให้กับตัวเองที่ไม่สามารถทำตามที่ตั้งใจไว้ได้ เขาคิดไว้แล้วว่าจะใช้ชีวิตร่วมกับพินรีแบบชีวิตใครชีวิตมัน เธอก็แค่หาที่พัก ส่วนเขาทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง และเธอจะใช้ชีวิตอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาแล้ว ทว่าทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนเลยสักอย่าง
แต่เมื่อคิดให้ดีระยะเวลาแค่เดือนเดียวที่เขาจะยอมให้เด็กนั่นมาทำตัวรุ่มร่ามใส่ แลกกับการเป็นอิสระทั้งชีวิตก็เกินคุ้ม แค่สามสิบวันเท่านั้นที่ชีวิตเขาจะยุ่งเหยิงไปจากเดิม
ครบหนึ่งเดือนเมื่อไรเขาจะทวงคืนความสงบให้กับตัวเองทันที
คุณขั้ว: @คุณสี่ เฮียจะลงมายังครับ ผมรออยู่ที่รถนะ
คุณสี่: ไปก่อนได้เลย เดี๋ยวเฮียขับรถไปเอง
คุณขั้ว: โอเคครับ
เมื่อวานสารถีอย่างเขมราฐพาเบนท์ลีย์ของพ่อกลับมาที่คอนโดฯ ด้วย วันนี้ก็เลยต้องขับซีดานสัญชาติยุโรปไปรับท่านสส. ที่เพนต์เฮาส์ เขาที่นั่งรถคันเดียวกับรุ่นน้องคนนี้และนักการเมืองว่าที่คุณพ่อก็สมควรไปกับเจ้าตัวเลย
ถ้าไม่ติดที่ว่านึกสงสารไก่เน่าที่ไม่ค่อยจะรู้ทิศรู้ทางในเมืองหลวงก็คงโดยสารเบนท์ลีย์ไปแล้ว
พินรีนัดแนะกับเด็กสาวเจ้าของร้านอโรม่าแอนด์ซาวด์ไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะเข้าไปไม่ให้สายนัก เพื่อที่จะได้มีเวลาเรียนรู้งานมากขึ้น ส่วนเรื่องจัดส่งของเธอมีรอบการจัดส่งอยู่แล้ว ไม่ได้ส่งของทุกวัน ซึ่งถ้าวันไหนต้องส่งของอิสรีก็อนุโลมให้ปลีกตัวไปทำได้
สาวเจ้านั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง บรรจงแต่งหน้าอ่อนๆ อย่างที่ชอบทำ
ความชอบในส่วนนี้ของเธอนั้นเปลี่ยนไปตามกาลเวลา มีช่วงหนึ่งที่ชอบแต่งหน้าตามพวกตะวันตก งานคิ้ว งานตาคมกริบยิ่งกว่าใบมีด แต่แล้วก็เปลี่ยนมาชอบแบบพี่สาวจีน ใช้เวลาในการแต่งแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง หลังๆ มานี้เริ่มขี้เกียจ หลงเหลือเพียงทากันแดด ทาลิปสติกสองสามแท่งให้ปากฉ่ำ เขียนคิ้วไม่ให้หน้าโล้นจนเกินไป กรีดอายไลเนอร์แต่พองาม ใช้ทินท์สีอ่อนๆ สักแท่งแต้มที่แก้มให้ดูมีเลือดฝาด
น่าแปลกที่พอแต่งน้อยกว่าที่ผ่านมาแล้วทุกคนล้วนทักว่าหล่อนดูหน้าเด็กขึ้นกว่าแต่ก่อน
นั่นถือว่าประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว
หลังแต่งตัวเรียบร้อยพินรีก็คว้ากระเป๋าใบเก่งมาสะพาย โดยไม่ลืมกระเป๋าผ้าลายเดียวกันกับที่ให้วสุที่ด้านในก็บรรจุกล่องข้าวเมนูเดียวกับของพี่ชายเพื่อน แล้วจึงสืบเท้าออกไปนอกห้อง
“...เฮีย?”
คนตัวเล็กเอ่ยเสียงหลงเมื่อพบว่าคนที่ควรไปทำงานแล้วยังนั่งอยู่ที่โซฟา
เสียงทุ้มดังแหวกอากาศกลับมา “เสร็จหรือยัง”
“ก็...เสร็จแล้วค่ะ” ว่าจบก็ยิงคำถามกลับไป “ทำไมเฮียยังไม่ไปทำงานเหรอคะ”
วสุใช้ความเงียบในการตอบคำถามก่อนเดินผ่านหน้าเธอไปพร้อมกระเป๋าผ้าในมือกับกระเป๋าแล็ปท็อปของตน พินรีแม้จะยังไม่เข้าใจในการกระทำของอีกฝ่ายแต่ก็รีบก้าวตามไปติดๆ โดยไม่ลืมเช็กความเรียบร้อยของห้องพัก เพราะหากเกิดปัญหาอะไรเขาจะต้องงับหัวตนเป็นแน่แท้
ขาสั้นๆ รีบจ้ำอ้าวไปจนประชิดกับร่างกำยำ “เฮียจ๋ารอพิเหรอคะ”
“ไม่ได้รอ”
นัยน์ตาสุกใสหรี่แคบ “แน่ะ รอ แบบนี้มันรอชัดๆ เลยค่ะ”
“ก็บอกว่าไม่ได้รอ”
พินรีทำทีเป็นเข้าใจ “อือๆ ไม่รอก็ไม่รอค่ะ”
ทั้งสองยืนเคียงคู่กันอยู่ในลิฟต์โดยไร้บทสนทนา มีเพียงความเงียบและความร้อนผ่าวที่แล่นอยู่บนผิวหน้าจนสองแก้มนวลซับสีระเรื่อ
วสุเป็นคนน่ารักมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เรื่องนี้คนอื่นมองไม่ค่อยเห็น แต่ไม่ใช่กับพินรีที่เพราะเห็นจึงหลงรัก เมื่อก่อนเขาอ่อนโยนกับเธอมาก ทุกครั้งที่ซื้อขนมให้น้องสาวอย่างวลีก็ไม่เคยลืมเผื่อแผ่มาถึงเด็กแถวบ้านอย่างเธอ เวลาไปเล่นที่บ้านหลังงามของโรจนวาณิชย์เขาก็ต้อนรับเธออย่างดี
วสุเคยสอนการบ้านเธอกับวลีด้วย เขาเป็นคนน่ารักมากๆ เพิ่งมาเริ่มเย็นชาก็ตอนเธอขอเป็นเจ้าสาวของเขานั่นแล
ทว่าช่วงนี้ดูเหมือนเขาจะเริ่มน่ารักขึ้นนิดหน่อย ตอนมองหน้าเขาเธอจึงเห็นแต่ภาพเฮียสี่ที่ใจดีซ้อนทับอยู่ตลอด
เธอชอบเฮียสี่คนนั้น ชอบเวลาเขาใจดี
เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลหลุบตามองกระเป๋าผ้าที่อยู่ในมือหนา ก่อนเคลื่อนสายตามายังกระเป๋าในมือตัวเองแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับ ‘Item คู่รัก’
เสียงหวานเอ่ยทะลุความเงียบ “เย็นนี้เฮียอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ ถ้าเป็นของที่วัตถุดิบไม่ครบ หลังเลิกงานพิจะได้เลยไปซื้อก่อนกลับห้องน่ะค่ะ”
“อยากทำไรก็ทำ”
“อืม” หล่อนลากเสียงยาวอย่างคิดไม่ตก “เป็นซี่โครงหมูอบน้ำผึ้งกับต้มยำทะเลดีไหมคะ”
เขาตอบอย่างใจคิดเพราะไม่อยากออกหัว “ตามใจ”
หากเขาอยู่คนเดียวมันคงจบลงที่อาหารง่ายๆ สักอย่างในร้านสะดวกซื้อ ฉะนั้นแล้วหากแม่ครัวใคร่ทำเขาก็ไม่คิดขัด มันออกจะน่าโมโหที่รสมือของพินรีดันอร่อย ทำให้เขาต้องกล้ำกลืนฝืนใจที่ยอมให้เธอเป็นคนทำอาหารให้ทาน
สมองซีกหนึ่งบอกว่าอย่าไปข้องแวะกับแม่นี่มาก แต่อีกซีกกลับบอกว่าช่างมันเถอะ ปล่อยไปตามครรลองมันจะสักเท่าไรเชียว แค่อาหาร คิดเสียว่ามีกับข้าวอร่อยๆ ให้ทานหนึ่งเดือน จบเดือนนี้ไปชีวิตอันสงบสุขของเขาก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
“โอเคค่ะ งั้นเดี๋ยวตอนเย็นพิไปซื้อของเพิ่มแล้วกัน ถ้าเฮียมีอะไรที่อยากได้เพิ่มก็โทร. มานะคะ อุ๊ย!” มือบางถูกยกมาปิดปากไว้ราวตกใจเสียเต็มประดา “เรายังไม่มีเบอร์กันเลยนี่น่า จะโทร. ได้ไงล่ะ งั้นพิขอเบอร์เฮียหน่อยนะคะ”
ไม่ว่าเปล่าแต่ยังคว้ามือถือขึ้นมาเพื่อเตรียมบันทึกเบอร์ของเพื่อนร่วมห้อง แต่กลับได้รับเพียงสายตาคมกริบจากคนตัวโตเท่านั้น
เจ้าหล่อนหน้าเจื่อน “ไม่เป็นไรก็ได้ค่ะ ถ้าต้องการอะไรแชตมานะคะ”
ระหว่างทางไป Aroma & Sound เธอให้ความสนใจไปที่สองข้างทางเพื่อจดจำเส้นทางในการใช้ชีวิตหลังจากนี้
หล่อนชวนคุยหวังสร้างความสนิทชิดเชื้อเพื่อละลายพฤติกรรม คนเราจะผูกพันและรักกันได้ย่อมต้องมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน
“พิถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ”
“ถ้าฉันตอบว่าไม่ได้เธอก็จะถามอยู่ดีไม่ใช่รึ”
ถูกยอกย้อนเช่นนั้นพินรีก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนเอ่ยเข้าประเด็น “พิอยากรู้ว่าเฮียวางแผนชีวิตตัวเองไว้ยังไงน่ะค่ะ จะอยู่ที่นี่ไปตลอดเลยหรือเปล่า ประมาณว่าจะซื้อบ้านและลงหลักปักฐานที่กรุงเทพฯ หรือจะกลับไปอยู่ที่ปราจีน”
“รู้แล้วได้อะไร”
“ได้รู้ว่าตัวเองต้องอยู่ที่ไหนไงคะ”
เขาส่ายหน้าน้อยๆ เหมือนฟังเรื่องไร้สาระ
ประมาณยี่สิบนาทีให้หลังก็มาถึงที่หมาย เมื่อปลดเข็มขัดนิรภัยเสร็จสรรพก็หันไปหาเจ้าของรถที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย “ขอบคุณที่มาส่งนะคะ เที่ยงนี้ก็อย่าลืมกินข้าวกล่องที่พิทำให้นะ ไว้เจอกันตอนเย็นค่ะ”
ก่อนร่างแน่งน้อยจะตั้งท่าออกไปด้านนอก ทว่าเสียงทุ้มต่ำกลับดังไล่หลังเป็นเหตุให้ต้องชะงักตัวเองไว้กลางอากาศ
“เดี๋ยว”
เจ้าหล่อนดึงตัวเองกลับมานั่งให้เรียบร้อย คิ้วสวยเลิกขึ้นสูง “คะ?”
วสุไม่ตอบคำถามเป็นคำพูด แต่ล้วงมือไปหยิบกระเป๋าสตางค์มากางออกก่อนส่งธนบัตรสีเทาจำนวนหนึ่งใบให้กับเธอ
คนตัวเล็กกะพริบตาหลายครั้งเพื่อไล่ความงุนงงที่จู่โจมเข้าอย่างจัง ถึงกระนั้นก็เอื้อมมือไปรับไว้แต่โดยดี ทว่าพอจะดึงมาฝั่งตนเองวสุกลับออกแรงยื้อยุดด้วยใบหน้าเรียบสนิท
“เฮีย...? ปล่อยสิคะ ให้พิไม่ใช่เหรอ”
“ของที่จะซื้อน่ะ ไม่น่าจะถึงพันใช่ไหม”
“หมายถึงของที่จะทำกับข้าวตอนเย็นใช่ไหมคะ” ใบหน้าคมคายพยักขึ้นลงเพื่อสื่อว่าเธอเข้าใจถูกต้อง “ค่ะ ไม่ถึง แค่ซี่โครงหมู น้ำผึ้ง หมึก แล้วก็อีกไม่กี่อย่างเอง บางอย่างที่ห้องก็มีอยู่แล้วน่ะค่ะ”
เขายอมปล่อยให้ของที่รักที่สุดในชีวิตหลุดจากมือ พร้อมพูดถึงประเด็นสำคัญ “ถ้าเหลือก็เอามาคืนด้วยนะ”