5│ลูกเจี๊ยบใส่ไข่แต่ไม่พิเศษ (1)
บทที่ 5
ลูกเจี๊ยบใส่ไข่แต่ไม่พิเศษ
.
.
.
กลุ่มฟองหลายขนาดลอยตัวอยู่ในอากาศตามเส้นทางที่คนทั้งสามเดินผ่าน โดยมีหนึ่งคนเป่า หนึ่งคนโบกมือไล่ตีฟองให้แตก และอีกหนึ่งคนที่มองการกระทำของสองสาวต่างวัยที่เข้ากันได้ดี โดยเฉพาะเมื่อได้ทำตัวเป็นเด็กๆ ก็ยิ่งเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
คนพี่เป่า คนน้องตี สนุกเขาล่ะ
ก่อนเดินทางกลับอิสรีดันเห็นร้านขายของเล่นและเลือกซื้อที่เป่าฟองมา พินรีก็สงเคราะห์ให้ในยามที่บริเวณนี้ค่อนข้างปลอดคน เธอก็เป่ามันให้อีกฝ่ายได้เล่นฟอง
“รอบนี้ฟองเยอะมากน้องอุ้ม ตีให้หมดเลยนะ”
เด็กสาวหัวเราะคิกคัก กวาดมือไปรอบๆ เพื่อตีฟองที่สาวรุ่นพี่เป็นคนเป่าให้
แต่ความสนุกมีเวลาหมดอายุเมื่อทั้งสามเดินมาถึงตัวรถ พินรีเก็บไม้เป่าฟองให้เรียบร้อยแล้วส่งมันคืนแก่เจ้าของตัวจริง “วันอื่นค่อยเล่นอีกนะ”
“ได้ค่ะ”
สารถีง่วนอยู่กับการวางข้าวของอยู่ที่กระโปรงหลัง อิสรีจึงใช้โอกาสนี้ในการหันไปหาแม่ค้าน้ำหอม ชี้นิ้วไปยังประตูข้างคนขับ ส่วนตัวเองก็เดินไปเปิดประตูเบาะหลังแทน
อิสรีไม่พูดอะไรเพียงแค่ขยิบตาให้พินรีหนึ่งทีอย่างรู้กัน
เจ้าหล่อนขานรับนโยบายของนักสร้างสถานการณ์อย่างไม่คิดคัดค้านประการใด รีบพาตัวเองไปนั่งเบาะข้างคนขับก่อนที่วสุจะทันได้รู้ตัวแล้วไล่เธอไปนั่งที่เดิม คนตัวเล็กยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กระทั่งประตูฝั่งคนขับถูกเปิดออก พินรีจึงปั้นสีหน้าเรียบสนิทไม่ให้ถูกจับได้ว่าแอบยิ้มอยู่ในใจ
เจ้าของร่างกำยำเพียงแค่มองคนทั้งสองสลับกันไปมา ที่คนหนึ่งก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ อีกคนก็เอากับเขาด้วย แกล้งอ้าปากหาวเสียอย่างนั้น
วสุพาตัวเองขึ้นมานั่งประจำที่แล้วเอ่ยถามคนด้านหลังไปตามน้ำ “น้องอุ้มง่วงแล้วเหรอ”
“ค่ะ”
“นอนก่อนก็ได้ เดี๋ยวถึงบ้านแล้วพี่ค่อยปลุก”
อิสรีรับคำด้วยการปิดเปลือกตาลง
รถเคลื่อนตัวมุ่งหน้าไปยังบ้านหลังงามเพื่อไปส่งเด็กสาว ความเงียบถูกอัดแน่นภายในห้องโดยสารเพราะคนช่างจ้อไม่มีอะไรจะพูด หล่อนได้แต่เอียงใบหน้าเพื่อหามุมอับในการแอบยิ้ม
“ไปล่อยังไงให้น้องยอมสลับที่ล่ะ หืม”
คนถูกครหาว่าเป็นพวกเจ้าแผนการรีบหันไปทางต้นเสียง เรียวคิ้วสวยขมวดเข้าหากัน “อะไรคะ พิยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
“เธอไม่เคยทำอะไรอยู่แล้วแหละ” เขาอดจะค่อนขอดไม่ได้
“ก็พิไม่ได้ทำอะไรจริงๆ นี่”
สารถีคร้านจะต่อปากต่อคำจึงเทความสนใจไปที่การขับรถ พินรีที่ยังยิ้มไม่สาแก่ใจก็เบือนหน้ามาอมยิ้มอยู่คนเดียว กระทั่งรถค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาภายในบ้านหลังใหญ่ จึงหันไปด้านหลังก่อนพบว่าเด็กสาวคล้ายจะหลับไปจริงๆ
“น้องอุ้ม”
ไร้เสียงตอบรับ มีเพียงการขยับร่างกายเล็กน้อย
“น้องอุ้ม ถึงบ้านแล้วค่ะ”
เปลือกตาที่หนักอึ้งค่อยๆ เปิดออกพร้อมกับที่ล้อรถหยุดหมุน เจ้าหล่อนเปิดปากหาววอดใหญ่อย่างไร้การเสแสร้ง เพราะตั้งใจจะตัดช่องน้อยแต่พอตัวให้พี่ๆ ทั้งสองได้อยู่ด้วยกัน ทว่าดันเผลอหลับจริง
วสุลงจากรถก่อนอ้อมไปด้านหลังเพื่อคว้าสารพัดถุงสัมภาระของอิสรีมาถือไว้ พินรีก็ลงมาเปิดประประตูให้เด็กขี้เซา หญิงสาวเอ่ยถามเบาๆ พอให้ได้ยินกันแค่สองคน “หลับจริงเลยเหรอ”
คนถูกถามหัวเราะน้อยๆ “ค่ะ หลับซะงั้น”
ครู่สั้นๆ วสุก็เดินมาสมทบกับสาวๆ พอดีกับที่มีใครบางคนสืบเท้ามายังจุดที่พวกเขาทั้งสามยืนอยู่
“อ้าว คุณสี่นี่เอง สวัสดีค่ะ” สุตรา ลูกสาวคนเล็กของบ้านเจียรโณทัยยกมือขึ้นเพื่อทำความเคารพผู้ติดตามของพี่ชายคนโต
ด้านชายหนุ่มที่มือไม่ว่างก็ค้อมศีรษะกลับไปอย่างมีมารยาท พินรีก็เป็นพวกเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เมื่อเห็นพี่ชายเพื่อนแสดงความเคารพคนมาใหม่เธอก็หาใช่พวกมือไม้อ่อน รีบพนมมือแนบอกพร้อมส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรไปให้ผู้หญิงท่าทางภูมิฐาน
“สวัสดีค่ะ”
สุตรายิ้มรับ “สวัสดีค่ะ”
อิสรีก็ยกมือไหว้พี่สาวอีกคนของตน “สวัสดีค่ะพี่ซอ เพิ่งเลิกงานเหรอคะ”
ผู้บริหารสูงสุดของอสังหาริมทรัพย์เครือรอยัลมันตราส่ายหน้าสองสามที “เลิกนานแล้วแหละแต่ไปดินเนอร์กับเพื่อนมา เราล่ะ ไปไหนกันมาเหรอ”
“เยาวราชค่ะ”
“อ้อ เห็นคุณแม่เล่าอยู่ว่าเด็กแถวนี้ไปอ้อนพี่ชายเขาให้พาไปกินราดหน้า” ว่ายิ้มๆ ทั้งยังยื่นมือไปยีผมสีน้ำตาลของน้องสาวนอกสายเลือดอย่างเบามือ ก่อนชำเลืองสายตาไปทางคนที่ถูกพาดพิง หล่อนมองข้าวของในมือหนาแล้วหลุดยิ้มออกมา “คงไม่ใช่แค่กินราดหน้าใช่ไหมคะเนี่ย”
เป็นวสุที่ตอบคำถาม “พาไปเดินเที่ยวต่อนิดหน่อยครับ”
ใบหน้างามได้รูปที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางราคาแพงพยักขึ้นลงเพื่อสื่อว่ารับทราบ ก่อนแกล้งหรี่ตาแคบให้ชายหนุ่ม “ว่าแต่สาวสวยนี่ใครเหรอคะ หรือว่า...”
เนื้อแท้ของสุตราไม่ใช่คนหยิ่งยโส แต่เพราะต้องขึ้นมาอยู่ในจุดที่สูงตั้งแต่อายุยังน้อยจึงต้องสร้างภาพลักษณ์ให้น่าเชื่อถือว่าตนจะสามารถพาธุรกิจและปกครองผู้คนได้ ต่อหน้าคนอื่นและสื่อสุตราไม่เคยติดเล่น ซ้ำยังจริงจังและเด็ดขาด แต่ในชีวิตประจำวันเวลาพูดคุยกับคนใกล้ชิดก็ไม่เคยสวมหัวโขนว่าตนเป็นผู้บริหารแต่อย่างใด จึงไม่ตะขิดตะขวงใจที่จะพูดหยอกล้อกับคนรู้จัก
ผู้ชายคนเดียวในวงสนทนาส่ายหน้าเพื่อปฏิเสธ แค่เห็นสายตาของน้องสาวเจ้านายเขาก็เดามันออกอย่างทะลุปรุโปร่ง “น้องแถวบ้านครับ”
“อ้อ” หล่อนลากเสียงยาวอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แล้วผินหน้าไปทางบุคคลที่ถูกพาดพิง “ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ซอค่ะ”
“เช่นกันค่ะคุณซอ พินะคะ”
สาวหน้าสวยยิ้มรับ “ถ้าอย่างนั้นคุณสี่ส่งของมาให้ซอเถอะค่ะ เดี๋ยวซอถือเข้าบ้านเอง”
“ไม่เป็นไรครับ”
“น่า เวลานี้ควรได้กลับไปพักผ่อนแล้วนะคะ”
“ผมถือเข้าไปเองดีกว่าครับ”
สุดท้ายวสุก็เดินเข้าไปพร้อมกับคนทั้งสอง ส่วนพินรีเลือกที่จะขึ้นไปนั่งรอในรถพลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย มีจังหวะหนึ่งระหว่างเดินเที่ยวที่พินรีลอบถามอายุของเด็กสาว จึงได้ทราบว่าอิสรีอายุสิบเก้า ถ้าจะเป็นลูกสาววสุจริงๆ เขาต้องมีลูกตั้งแต่ขึ้นม.ปลาย เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ไหนสาวสวยเมื่อครู่ยังพูดว่า ‘พี่ชาย’ ฉะนั้นแล้วมีเหตุผลอันใดกันที่วสุจะต้องยืนกรานว่าอิสรีเป็นลูก
หน้าตาของเจ้าของอโรม่าแอนด์ซาวด์ก็คลับคล้ายคลับคลากับใครบางคนที่มันติดอยู่ที่ปลายจมูก เหมือนจะนึกออกแต่ก็นึกไม่ออกสักที
แต่คิดอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้นก็เห็นร่างสมส่วนอยู่ในครรลองสายตา ก่อนประตูฝั่งคนขับจะถูกเปิดออกพร้อมกายหนาที่สอดตัวเข้ามานั่งหลังพวงมาลัย แล้วพารถเคลื่อนออกไปจากบริเวณนี้เพื่อเดินทางกลับที่พัก
เธอลอบมองเสี้ยวหน้าของสารถีเป็นระยะ แล้วหญิงสาวก็เอ่ยทำลายความเงียบ “ขอบคุณนะคะที่ให้พิมาด้วย”
“ถึงไม่ให้มาก็มาอยู่ดี”
เธอลอยหน้าลอยตาแล้วทอดมองบรรยากาศยามค่ำคืนของเมืองหลวง ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะมาถึงที่พัก ทั้งสองพากันเดินเข้าไปในลิฟต์ที่ทะยานสู่ชั้นสี่สิบโดยไม่มีใครพูดอะไร
แต่แล้วเสียงหวานก็เอ่ยออกมาอีกครั้งพร้อมเท้าที่ถูกหุ้มด้วยรองเท้าสีชมพูจะถูกยื่นไปทางเขา “อันนี้พิต้องจ่ายคืนให้ทีหลังไหมคะ”
วสุแค่ส่ายหน้าเป็นคำตอบ
พินรีดึงเท้ากลับ “ค่าชา? ค่าราดหน้า?”
“ไม่เอา”
หล่อนชูถุงในมือที่มีเสื้อยืดอยู่ด้านในขึ้น “แล้วอันนี้ล่ะคะ”
“ส่งเลขบัญชีมาในแชตด้วย”
คนฟังเอียงคอมอง “บัญชีใครคะ พิ?”
“บิลยังอยู่ไหม”
เธองงหนัก “มันไม่มีบิลนี่”
ชายหนุ่มทอดถอนลมหายใจหนึ่งเฮือก “บิลที่ไปซื้อของวันนี้น่ะ บอกให้เก็บไว้ได้เก็บหรือเปล่า”
คนตัวเล็กพยักหน้าติดกันหลายครั้ง “พินึกว่าบิลที่ตลาดเพราะมันไม่มีน่ะค่ะ ส่วนบิลวันนี้พิเก็บไว้แล้ว งั้นเดี๋ยวพิหารสองแล้วส่งไปให้ในแชตพร้อมเลขบัญชีนะคะ พอดียังไม่ได้หารไว้เลย”
“ไม่ต้องหาร ส่งมาทั้งหมดนั่นแหละ”
เปลือกตาคนฟังกะพริบหลายหน “ที่เฮียบอกว่าจะเคลียร์แปลว่าจะออกคนเดียว ส่วนพิไม่ต้องออกเหรอคะ”
“หรืออยากออก อยากนักออกเองทั้งหมดเลยไหม”
เจ้าหล่อนส่ายหน้าพัลวันทั้งยังถือวิสาสะคว้าไปที่ท่อนแขนที่อุดมไปด้วยมัดกล้ามจากการออกกำลังกาย ตอนเด็กๆ ตัวเขาไม่หนาแบบนี้ เดี๋ยวนี้ล่ำสันขึ้นมาก ไม่พอเท่านั้นพินรียังลามปามด้วยการถูไถใบหน้าไปกับต้นแขนแกร่ง เอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวานเพื่อออดอ้อนเขา “เฮียจ๋าของพิน่ารักที่สุดเลย”
ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้นสี่สิบ พร้อมด้วยชาวบ้านหนึ่ง สอง และสามที่ต้องมาเป็นพยานรักแบบไม่ทันตั้งตัว
ทั้งห้าชีวิตนิ่งงันไปตามๆ กัน พินรีแม้จะเป็นคนใจกล้าหากเป็นเรื่องของวสุ แต่ก็ใช่ว่าจะอายไม่เป็น หลังคุณผู้เชี่ยวชาญสลัดแขนเธอออกแล้วเดินดุ่มๆ ฝ่ากลุ่มรุ่นน้องออกไป คนสร้างเรื่องก็ได้แต่ค้อมศีรษะให้กับคนทั้งสามแล้วรีบสับเท้าหนีอาย
“ไอ้ยี่ พี่มึงหาพี่สะใภ้ให้จริงด้วย”
สดายุยิ้มรับคำพูดของพี่ชายคนสนิทอย่างคมชาญ “ครับเฮีย อีกหน่อยก็คงได้อุ้มหลาน”
หนุ่มเมืองเพชรอดใจไม่ไหวรีบกระโดดร่วมวงสนทนา “คุณอายี่เตรียมรับขวัญหลานได้เลย ทรงนี้ยังไงก็หวานกว่าขนมร้านแม่กู”
ด้วยทุกคนเห็นตรงกัน คำพูดของเขมราฐจึงสร้างเสียงหัวเราะให้แก่กลุ่มคนขี้เหล้าได้เป็นอย่างดี