4│ลูกเจี๊ยบเดินเกม (4)
แม้ว่าไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองแต่ก็ต้องยอมรับว่านั่นเป็นความจริง วสุออกค่าอาหารให้กับทุกคนแม้ว่าอิสรีจะขอเป็นเจ้ามือก็ตาม
เธอจะต้องนำเรื่องนี้ไปโม้ให้วลีฟังอย่างแน่นอน
ให้หลังไม่นานนักเอสยูวีสีดำก็แล่นมาจอดยังลานจอดรถของตลาดกลางคืนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่หมายที่อิสรีอยากมาเดินเที่ยวจับจ่ายซื้อของตามประสา แต่ก่อนการเงินไม่ค่อยคล่องมือจึงไม่ค่อยได้เที่ยวเล่น แต่หลังจากอัปสราพบรักกับท่านสส. ชีวิตน้องสาวอย่างเธอก็พลอยพลิกผันไปด้วย ทำให้ทุกวันนี้อิสรีได้ใช้ชีวิตอย่างที่เด็กอายุสิบเก้าทั่วๆ ไปใช้กัน
สองสาวเดินไหล่ชนกันโดยมีวสุเดินตามหลังราวเป็นบอดี้การ์ด
“ชาชีสน่ากินจัง”
คนเด็กกว่าหันไปตามสายตาของสาวรุ่นพี่ “กินไหมคะ” เมื่อพินรีพยักหน้ารับ เจ้าหล่อนก็เหลียวไปมองด้านหลัง “พี่สี่ ชาชีสกันค่ะ”
“ตามสบายเลย”
สิ้นประโยคนั้นสองสาวก็สับเท้าไปหยุดยืนหน้าร้านน้ำ
“น้องอุ้มเอาอะไร”
“ชาเขียวค่ะ”
ได้รับคำตอบแล้วพินรีจึงผินหน้าไปหาคนที่มาด้วยกัน “เฮียล่ะคะ”
“ไม่เป็นไร กินกันเถอะ”
“น่า น้ำมันหวานก็จริงแต่ชีสมันเค็มๆ เฮียน่าจะชอบนะ”
วสุมุ่นคิ้ว “พูดอะไร”
หล่อนเพียงไหวไหล่แล้วเอ่ยอย่างมัดมือชก “เร็วค่ะ”
ชายหนุ่มลอบถอนหายใจก่อนตอบไปส่งๆ เพื่อตัดบท “ชาไทย”
“เป็นชาเขียว ชาไทย แล้วก็นมชมพูอย่างละหนึ่งค่ะ หวานน้อยนะคะ”
ระหว่างรอก็คว้ามือถือขึ้นมาตอบแชตลูกค้าไปพลางเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา รอไม่นานก็ได้น้ำหวานมาถือกันคนละแก้ว พินรีที่ถือสมาร์ตโฟนอยู่ก็ตั้งท่าจะสแกนจ่าย แต่ก็ไม่ทันวสุที่ยื่นเงินสดส่งไปให้แม่ค้าเสียก่อน ราคาตกแก้วละเก้าสิบห้าบาท สามคนก็เกือบสามร้อย
วันนี้วสุกินยาลืมเขย่าขวดหรือเปล่านะ ไม่ปกติสุดๆ เลย
เด็กสาวโพล่งขึ้น “ถ่ายรูปกันค่ะ”
แก้วชาเขียวถูกยื่นมาตรงหน้า พินรีที่เห็นดีเห็นงามก็ยื่นแก้วนมชมพูของตัวเองไปบ้าง ด้านวสุถูกกดดันโดยปริยายจนต้องยื่นแก้วชาไทยมารวมกับแก้วอื่นๆ
อิสรียกมือถือมาเก็บภาพแล้วทั้งสามจึงเดินไปตามตรอกซอกซอยเพื่อจับจ่ายซื้อของ ซึ่งส่วนมากเป็นอิสรีที่เป็นคนซื้อ แต่วสุเป็นคนจ่าย แค่น้องบอกว่าอยากได้ก็พาเข้าไปในร้านและจ่ายเงินให้เสร็จสรรพ ทั้งยังทำหน้าที่ถือของให้ด้วย
แสนดีเกินไป เธอยิ่งชอบเขามากๆ อยู่ด้วย เจอมุมที่อบอุ่นแบบนี้จะไปไหนรอด
แม้ว่าความอบอุ่นนั้นจะไม่ถูกใช้กับเธอก็ตาม
“โอ๊ะ! รองเท้าสวย” พูดพลางสืบเท้าเข้าไปในร้านอย่างไม่รอช้า
พินรีมองตามแผ่นหลังบอบบางแล้วยกยิ้มด้วยความเอ็นดู “น้องน่ารักมากเลยค่ะ ว่าแต่ที่บอกว่าเป็นลูกสาวนี่เฮียหมายถึงยังไงคะ ขอความจริงนะ อย่าเฉไฉ”
ไหล่หนาไหวเล็กน้อย “ก็ลูกสาว”
“เหรอ หน้าไม่เหมือน เหมือนใครสักคนแต่นึกไม่ออก แต่ไม่ใช่เฮีย”
“สู่รู้”
เธอไม่เก็บคำตำหนิมาใส่ใจ ยิงคำถามใส่ต่อ “ไหนแม่เด็กล่ะ”
แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าแม่เด็กไม่มีอยู่จริงเพราะหากวสุมีลูก มีหรือที่ข่าวจะไม่รั่วไหลมาถึงหูเธอ วลีคือเหยี่ยวข่าวที่แสนจะวงใน ไหนอิสรียังไม่ใช่เด็กสองสามขวบแต่เป็นสาวแล้ว ถ้าเขามีลูกจริงก็มีตั้งแต่สมัยเรียนนู่นล่ะ เป็นไปไม่ได้แน่นอน
จะหลอกใครก็หลอก แต่หลอกคนมีหัวคิดอย่างพินรีไม่ได้!
“เซ้าซี้จังพิ”
“ก็ถามดู เผื่อพิเป็นแม่ให้ได้ ยังไงพิกับน้องอุ้มก็เข้ากันได้ดี ไม่มีปัญหาแม่เลี้ยงใจร้ายให้กวนใจคุณพ่อหรอกค่ะ”
นัยน์ตาคมหลุบลงต่ำ ปั้นหน้าแหยใส่อย่างไม่ปิดบัง “อย่างเธอเป็นได้แค่แม่หมาด้วยซ้ำ”
“ค่ะ คุณพ่อหมา”
เรือนคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันที่ถูกสวนว่าเป็นหมา ก่อนจะผละออกจากยายเด็กปากไวเถียงคำไม่ตกฟากแล้วเดินเข้าไปในร้านรองเท้า
ขาเรียวก้าวตามร่างสมส่วนไปติดๆ ใบหน้าหวานมีรอยยิ้มประดับอยู่อย่างคนสุขล้น แค่ได้หยอกเอินวสุบ้างก็ทำให้หัวใจเธอสูบฉีดจนพองโต ต่อชีวิตเหี่ยวเฉาของไก่เน่าไปได้อีกหลายวันเลย
“คู่นี้สวยไหมคะ”
ชายหนุ่มตอบรับด้วยเสียงนุ่มนวล “สวย เอาไหม”
พอถูกถามเช่นนั้นอิสรีก็พยักหน้าเพื่อตอบตกลง
มือหนาเอื้อมไปคว้ารองเท้าหุ้มส้นที่อิสรีหมายตามาถือไว้ ก่อนพยักพเยิดใบหน้าไปทางเก้าอี้ตัวเล็กๆ ที่อยู่ในร้าน “ไปนั่งสิ เดี๋ยวพี่ใส่ให้”
เด็กสาวทิ้งสะโพกลงตามคำของพี่ชาย พร้อมกับร่างกำยำที่ทรุดตัวลงไปนั่งตรงหน้าเพื่อถอดรองเท้าคู่เก่าออกแล้วสวมคู่ใหม่ให้ด้วยท่าทีอ่อนโยน
พินรียืนมองตาค้าง...บ้าไปแล้ว วสุน่ารักขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน พ่อไมโครเวฟของน้องพิ
เจ้าของร้านเทียนหอมผินหน้ามาทางสาวรุ่นพี่ “พี่พิใส่คู่กับหนูไหมคะ”
“ฮะ?...อ้อ เอ่อ มันก็น่ารักดี” ว่าจบก็เบี่ยงตัวเข้าไปด้านในอีกนิดเพื่อหยิบรองเท้าที่เหมือนกับคู่ที่อิสรีสวมอยู่ เพียงแต่ของน้องเป็นสีฟ้า ของเธอเป็นสีชมพู
อิสรียันตัวลุกขึ้นยืน “พี่พิมานั่งสิคะ จะได้ใส่คู่กัน”
สาวเจ้ายืนมองเก้าอี้ว่างสลับกับผู้ชายหน้าไร้อารมณ์ที่นั่งอยู่ที่เดิมอย่างชั่งใจ ริมฝีปากล่างถูกขบเม้มเพื่อสะกดกลั้นความประหม่า ด้วยความใจกล้าที่มีมลายหายไปในพริบตา สองแก้มนวลเริ่มซับสี
กระทั่งเสียงเข้มดังขึ้น “จะมาก็มา”
เพียงเท่านั้นพินรีก็ตัดสินใจได้ว่าควรทำเช่นไร หล่อนรีบเดินไปหย่อนก้นลงบนเก้าอี้โดยไม่ลืมเอียงขาเล็กน้อยเพราะกระโปรงที่ใส่ค่อนข้างสั้น วสุเองก็ก้มหน้าก้มตาสวมรองเท้าให้โดยไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นมาเพราะเห็นอยู่ว่ายายเด็กแต่งตัวอย่างไร
พินรีไม่สามารถละสายตาไปจากร่างหนาของชายในฝันได้เลย ทุกการสัมผัสของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน แม้ว่าสีหน้าจะไร้อารมณ์แต่ก็ไม่ได้ทำให้อย่างขอไปที
หัวใจดวงน้อยเต้นคร่อมจังหวะ เธอยอมรับว่าครั้งนี้รู้สึกเขินกว่าทุกครั้งตั้งแต่เริ่มลงใจให้วสุ
ครู่สั้นๆ ชายวัยฉกรรจ์ก็ผุดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วปลีกตัวไปทางเจ้าของร้าน
“ทั้งหมดเท่าไรครับ”
“มันคู่ละสองร้อยยี่สิบเก้า งั้นพี่คิดสี่ร้อยสี่สิบพอ”
วสุล้วงมือไปหยิบกระเป๋าสตางค์มาเปิดแล้วส่งธนบัตรสีม่วงให้แก่อีกฝ่าย ก่อนที่ทั้งสามจะพากันออกจากร้านแล้วเดินเที่ยวต่ออีกนิดหน่อย ที่ไม่ว่าจะซื้ออะไรวสุก็จะเป็นทั้งคนจ่ายและคนถือของ เดิมทีพินรียังไม่คิดจะซื้ออะไร มีแต่อิสรีเท่านั้น ทว่าจู่ๆ เธอก็อยากรู้ว่าหากเป็นของของเธอคนเดียวไม่เกี่ยวกับคนที่เขาอ้างตัวว่าเป็นลูกสาว วสุจะมีปฏิกิริยาเช่นไร
พินรีเลือกซื้อเสื้อยืดหนึ่งตัวแล้วถือไปหวังจะจ่ายเงิน “เท่า-”
แต่วสุที่อยู่ใกล้กันกลับเอ่ยตัดหน้า “เท่าไรครับ”
ขอฟ้าดินจงเป็นพยานว่าพี่ชายยายรี่แค่ชอบทานโซเดียม แต่เขาไม่ได้เค็มตามสิ่งที่ทานเลยสักนิด
เธอพิสูจน์แล้ว...