บท
ตั้งค่า

4│ลูกเจี๊ยบเดินเกม (3)

“มาทำงานกับหนูไหมคะ”

คำเชื้อเชิญของเด็กสาวเจ้าของ Aroma & Sound ส่งผลให้พินรีนิ่งงันไปหลายวินาที เธอยังคงสับสนกับสถานะของคนทั้งสองว่าจริงๆ แล้วมันมีความเป็นมาเช่นไร เหตุใดวสุต้องบอกว่าเป็นลูกสาว ทั้งที่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่พ่อลูก ตัวอิสรีเองก็เรียกชายหนุ่มว่าพี่ หรือเขาแค่หยอกให้เธอใจฝ่อจนอยากยอมแพ้ในการจีบ

ต่อให้มีลูกแล้วก็จะจีบเถอะ ถ้ายังยืนยันว่าโสดไม่มีเมียน่ะ พิคนนี้ดับเครื่องชนหมด!

เท่าที่สังเกตดูเหมือนอิสรีจะเป็นคนที่วสุเอ็นดูมากพอสมควร ดูได้จากตอบโต้บทสนทนา สายตาที่ใช้มอง ทั้งยังยิ้มให้อย่างอบอุ่น ยิ้มแบบที่เธอก็เคยได้รับตอนยังเป็นเด็กๆ แต่หลังจากทำตัวเป็นกบฏก็ไม่เคยเห็นมันอีกเลย วสุเริ่มเหินห่างไปเรื่อยๆ จนเธอเข้าใจไปว่าเขาเป็นคนยิ้มยาก แต่เขาแค่ไม่มีมันให้เธอเท่านั้น กับคนอื่นก็ยังได้รับเป็นปกติ

ความเฉยชาของพี่ชายเพื่อนถูกสงวนไว้ใช้แค่กับเธอคนเดียว

ด้วยประการทั้งปวง เธอควรตกลงหากอยากอยู่ใกล้ชิดกับวสุ

พินรีต้องการทีมสนับสนุนจำนวนมากเพราะกำแพงน้ำแข็งนั้นทำลายยากจนอาจจะเกินกำลังจะสู้เพียงลำพัง “ทำเกี่ยวกับเทียนหอมอย่างเดียวเลยเหรอคะ”

“ค่ะ ทำเทียนหอมขาย” เจ้าของร้านวัยแรกรุ่นพยักหน้ารับคำ “เงินที่ได้นำไปสมทบทุนเพื่อช่วยในการผ่าตัดของเด็กคนอื่น แล้วก็มีเวิร์กชอปให้คนเข้ามาทำด้วยค่ะ”

“แต่พี่ไม่เคยทำเทียนหอมนะคะ เราโอเคใช่ไหม”

“โอเคค่ะ เรียนรู้กันได้” ก่อนถามเข้าประเด็น “สรุปว่าทำนะคะ”

“ค่ะ แต่พี่ขอเป็นพาร์ตไทม์ก่อนได้ไหม พอดีต้องหาเวลาไปขายน้ำหอมด้วยน่ะ”

แต่ก่อนพี่สาวอย่างอัปสราก็มีรูปแบบการทำงานคล้ายๆ กัน คือมีงานหลักที่ชาเฮาส์และรับงานพาร์ตไทม์อย่างการรำกับคณะร่ายดาหลา เช่นนั้นแล้วจึงเข้าใจในสิ่งที่คู่สนทนาต้องการสื่อสาร

“ได้เลยค่ะ”

พินรียิ้มกว้างด้วยความดีใจที่จู่ๆ ก็ได้งานที่ไม่ได้ตั้งใจจะหาแบบไม่ทันตั้งตัว กะว่าจะมาสอดแนมวสุไปวันๆ ตามที่วางแผนกับวิไลไว้ แต่ในเมื่อสถานการณ์มันพามาถึงตรงนี้เธอก็มีแต่ต้องตามน้ำ คิดเสียว่าเปิดโลกและไม่ต้องทนเหงาอยู่ที่ห้องคนเดียวตั้งหลายชั่วโมงในช่วงที่วสุไม่อยู่ เธอยิ่งขี้เหงาอยู่ด้วย

แม่ค้าน้ำหอมเอ่ยขึ้นเพื่อต่อบทสนทนา “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้พี่เข้าไปที่ร้านเลยก็ได้ค่ะ ว่างพอดี วานน้องอุ้มส่งโลฯ มาให้หน่อยได้ไหมคะ พี่จะได้ศึกษาว่าต้องเดินทางยังไง พอดีพี่ไม่ค่อยสันทัดการใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ น่ะ ไปไหนมาไหนยังต้องงมอยู่”

เป็นอีกครั้งที่อิสรีชี้ไปหาเจ้าของรถ “ไปกับพี่สี่ก็ได้ค่ะ ให้พี่สี่แวะไปส่ง”

หนุ่มวัยสามสิบห้าอยากทอดถอนลมหายใจทิ้งให้หายคับอก แต่เขามิอาจทำเช่นนั้นต่อหน้าอิสรีได้ เกรงว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจว่าเขาไม่สบอารมณ์กับคำพูดของตน ก็ถ้าอิสรีน้อยใจเขาขึ้นมา คงได้โดนเล่นงานจากทุกสารทิศจากผู้ปกครองทั้งหลายเป็นแน่

วสุเก็บสีหน้าอย่างมิดชิด “น้องอุ้มก็ส่งให้พี่เขาไปเถอะ งมแค่วันแรกแหละวันต่อไปก็ไปไหนมาไหนเองได้แล้ว มันไม่ได้ยาก”

ก็นั่นแล วสุใจดีกับทุกคนยกเว้นเธอ

เด็กสาวเพียงยิ้มรับก่อนก้มหน้าก้มตาไปยังสมาร์ตโฟน กดพิมพ์อะไรยิกๆ

ครู่เดียวก็มีแจ้งเตือนดังขึ้นจากมือถือของพินรี “ได้แล้วค่ะ งั้นพรุ่งนี้พี่ไปที่ร้านนะคะ สักกี่โมงดี”

“ตามแต่พี่พิสะดวกเลยค่ะ”

หลังจบบทสนทนาในเรื่องนี้ สองสาวก็พูดคุยกันต่อในเรื่องอื่นๆ อย่างถูกคอ กระทั่งมาถึงร้านราดหน้าเจ้าดังที่อิสรีอยากมาทาน ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมากับพี่ชายต่างสายเลือดหลายครั้งแล้ว

ทั้งสามพากันไปนั่งในร้านที่มีลูกค้าบางตา อิสรีจับจองที่นั่งเป็นคนแรก วสุเลือกที่จะนั่งฝั่งตรงกันข้ามกับเด็กสาว พินรีที่เห็นว่าน้ำขึ้นก็รีบตัก รุดไปทิ้งสะโพกลงยังเก้าอี้ข้างๆ กับชายหนุ่ม พร้อมกับได้รับสายตาเย็นชาจากคนตัวใหญ่ แต่เจ้าหล่อนไม่ใช่พวกที่จะสะทกสะท้านแค่กับสายตาคมกริบของเขา ยังคงทำหน้าระรื่นส่งยิ้มยิงฟันไปให้

ทว่าให้หลังเพียงหนึ่งนาทีร่างสูงกลับยันตัวลุกขึ้นยืน มือบางรีบเอื้อมไปคว้าแขนแกร่งอย่างทันท่วงที

นัยน์ตาสีดำขลับตวัดมองอย่างไม่สบอารมณ์ “ปล่อย”

“แล้วเฮียจะไปไหนคะ”

“ซื้อน้ำ”

หลังทราบเหตุผลที่แท้จริงก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนเพราะเผลอคิดไปว่าเขาไม่อยากนั่งใกล้เธอจนต้องเปลี่ยนที่นั่ง แล้วค่อยๆ ปล่อยท่อนแขนแข็งแรงให้เป็นอิสระ วสุจึงสืบเท้าตรงไปยังตู้แช่แล้วคว้าน้ำเปล่ามาทั้งหมดสามขวดโดยมีพินมีมองตามพร้อมรอยยิ้มอยู่ตลอด และการกระทำนั้นก็อยู่ในสายตาของอิสรีเช่นกัน

ก่อนที่ฝ่ายชายจะมา เด็กสาวป้องปากกระซิบกระซาบให้พอได้ยินกันแค่สองคน “เป็นแฟนกันเหรอคะ”

คนถูกถามหน้าแดง แต่ก็จำใจส่ายหน้าเพื่อปฏิเสธพร้อมตีสีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด ขยับปากเอ่ยเสียงยานคาง “ไม่ใช่หรอกค่ะ”

อิสรีมองวสุที พินรีที ความฉงนฉายชัดในความรู้สึกของเด็กสาววัยสิบปลายๆ เพราะสายตาที่พี่สาวคนใหม่ที่เพิ่งได้รู้จักใช้มองคุณผู้เชี่ยวชาญนั้นไม่ต่างอะไรกับตอนที่อัปสราใช้มองพี่เขยอย่างคุณสส. เลยสักนิด มันมีประกายของความรักพุ่งออกมาจนถึงคิดจะปิดบังก็คงปิดไม่มิด

เธอไม่เคยมีความรักเชิงชู้สาวมาก่อน มองทุกคนเป็นพี่ เพื่อน น้อง ด้วยกันทั้งนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะดูไม่ออกเสียทีเดียวว่าความรักของชายหญิงนั้นเป็นเช่นไร

ไม่ผิดแน่...สายตาแบบนี้

วสุกลับมานั่งที่เดิมพร้อมน้ำเปล่าที่ถูกยื่นให้สองสาว ใบหน้าคร้ามคมเรียบสนิทจนคาดเดาอารมณ์ได้ยาก แต่พออิสรีชวนคุยเขาก็ปรับสีหน้าให้เป็นมิตรขึ้น กลายเป็นพี่ชายใจดีทันตาเห็น

“เดี๋ยวกินเสร็จพาหนูไปเดินเที่ยวหน่อยได้ไหมคะ อยากซื้อของค่ะ”

“ได้”

เด็กสาวยิ้มกว้างก่อนผินหน้าไปทางพินรี “เดี๋ยวไปซื้อของกันนะคะ”

ใบหน้านวลพยักขึ้นลงเพื่อตกปากรับคำเชิญชวน

ไม่นานนักราดหน้ายอดผักก็มาเสิร์ฟ สาวเมืองปราจีนบุรีเพิ่งเคยได้ทานเป็นครั้งแรกก็เบิกตาโต “อร่อยจัง”

“ใช่ไหมคะ หนูชอบมากเลย ไว้เราสามคนมากันอีกนะคะ” ไม่ว่าเปล่า อิสรียังขยิบตาอย่างมีนัยแฝงมาให้

ด้านพินรีก็ใช่ว่าจะมองไม่ออก ดูเหมือนเธอจะได้มาดามดันเพิ่มอีกหนึ่งคน ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ดีมากเมื่ออีกฝ่ายสนับสนุนตัวเอง เพราะการพังกำแพงหัวใจของวสุหาใช่เรื่องง่าย ก็ถ้ามันง่ายเธอคงไม่ต้องดิ้นรนถึงเพียงนี้ สำคัญเลยคืออิสรีเป็นคนที่ ‘น่าจะ’ มีอิทธิพลกับชายในดวงใจของเธออยู่พอสมควร แม้จะยังเคลือบแคลงไม่สร่างว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์เช่นไรก็ตาม

ไว้สนิทกว่านี้เธอจะถามเจ้าของร้านเทียนหอมเอง เพราะถามคนข้างๆ ไปเขาอาจจะตีมึน ไม่ตอบ หรือหากตอบก็แสนจะคลุมเครือ อย่างที่ตอบว่าอิสรีเป็นลูกสาวแบบก่อนหน้านี้น่ะ ดูอย่างไรก็ไม่ใช่แบบนั้น

ระหว่างทานมีบทสนทนาบ้างประปราย สองสาวเข้ากันได้ดีกว่าที่คิด ด้วยคนหนึ่งก็พูดเก่ง อีกคนก็แสนจะเป็นมิตร โดยมีชายหนุ่มนั่งฟังเงียบๆ แต่หากใครคุยกับเขาเขาก็ขยับปากตอบ เพียงแต่ถ้าคนนั้นเป็นเธอเขาจะตีสีหน้าเรียบสนิทต่างจากคู่สนทนาที่เป็นอิสรี

เก๊กจริงๆ ก็ใช่ว่ายิ้มแบบนั้นเขาไม่เคยมีให้เธอเสียหน่อย ตอนที่เธอยังเป็นแค่เด็กน้อยเขาก็เอ็นดูเหมือนน้องเหมือนนุ่ง เคยซื้อขนมให้กินด้วยซ้ำ พอเธอโตเข้าหน่อยกลับตึงเหมือนเป็นคนแปลกหน้า

เธอชอบเฮียสี่คนนั้น คนที่ยิ้มและหัวเราะไปกับตัวเองได้

“อิ่มไหมคะพี่พิ”

“มากค่ะ ตอนมาเสิร์ฟก็ดูไม่เยอะเท่าไร แต่พอกินจริงก็เอาเรื่องค่ะ”

เด็กสาวฉีกยิ้มกว้าง “ดีใจจังค่ะที่พี่สี่พาพี่พิมาด้วย วันนี้หนูไม่เหงาเลย”

‘คนถูกพามาด้วย’ หน้าเจื่อนทันควัน แต่ก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติในวินาทีเดียวกัน

วสุน่ะหรือพาเธอมาด้วย จำได้ว่าตอนเขาบอกว่าจะไปทานข้าวนอกบ้านแล้วตนเองเอ่ยปากขอ เขาก็ปฏิเสธ แม้แต่ตามมาขึ้นรถได้แล้วยังไล่ไปนั่งข้างหลัง หากรั้นมากๆ ก็จะไม่พาไป พินรีมาที่นี่ได้เพราะพลังแห่งการแบกหน้าหนาๆ เข้าสู้ทั้งนั้น ถ้าถอดใจไปตั้งแต่ตอนถูกปฏิเสธ ป่านนี้นอนเหงาอยู่ในห้องคนเดียวแล้ว

“ได้มาเจอน้องอุ้มพี่ก็ไม่เหงาเหมือนกันค่ะ”

ว่าจบพินรีก็คว้ากระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเปิดแล้วส่งธนบัตรสีแดงให้แก่พี่ชายเพื่อน เพราะเช็กดูแล้วว่าราคาราดหน้าแค่เจ็ดสิบบาท น้ำเปล่าขวดหนึ่งไม่น่าจะเกินสามสิบ

“นี่ส่วนของพิค่ะ”

ทว่ามือบางกลับถูกดันกลับโดยที่ธนบัตรสีแดงก็ยังไม่ถูกหยิบไป พร้อมสุ้มเสียงเข้มที่ดังตามมาติดๆ “ไม่เป็นไร มื้อนี้ฉันออกเอง”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel