4│ลูกเจี๊ยบเดินเกม (1)
บทที่ 4
ลูกเจี๊ยบเดินเกม
.
.
.
หนุ่มสาวจากชั้นสี่สิบพากันมายังส่วนของลานจอดรถ หลังก่อสงครามประสาทกันอยู่พักใหญ่เพราะเจ้าของห้องไม่ปรารถนาจะให้มีป้ายบาดตาอยู่บนประตู แต่คนทำกลับยืนกรานที่จะติดมันไว้ ลูกดื้อของพินรีนั้นมีเหลือล้น และวสุก็ป่วยการจะเอาชนะ จึงปล่อยให้พวกมือบอนทำตามใจตัวเอง
เมื่อมาถึงเอสยูวีที่ชายหนุ่มเป็นเจ้าของ เขาไม่รอช้าที่จะสอดกายเข้าไปด้านในโดยมีคนตัวเล็กตามขึ้นมานั่งที่เบาะข้างคนขับ
นัยน์ตาคู่คมถูกทิ้งไปที่ร่างแน่งน้อย เอ่ยเสียงเรียบ “ไปนั่งข้างหลัง”
“คะ?”
“เดี๋ยวมีคนมานั่งตรงนี้ เธอไปนั่งข้างหลัง”
พินรียังคงไม่ขยับเขยื้อนไปตามประโยคแกมสั่งของเขา แต่เลือกที่จะนั่งอยู่ที่เดิมพร้อมเปิดปากถามในสิ่งที่ตนสงสัย “เราไม่ได้จะไปกันแค่สองคนเหรอคะ”
“ตอนแรกจะไปแค่สองคน แต่เธอขอมาด้วยเลยเป็นสาม”
หญิงสาวเอียงคอมอง “หมายถึงพิเป็นคนที่สามน่ะเหรอ”
เขาแกล้งกระทบกระเทียบ “ฉลาดนี่”
ทว่าพินรีไม่หยิบมาใส่ใจ แต่ยิงคำถามไปอีกหน “แล้วคนที่สองคือใครคะ”
“ไปนั่งข้างหลังเดี๋ยวก็รู้เอง”
“ผู้หญิงผู้ชาย?”
บางทีอาจจะเป็นหนึ่งในพลพรรคของเขาก็เป็นได้ ใครสักคนบนชั้นสี่สิบที่เธอยังไม่ค่อยรู้จัก แต่เหมือนว่าปล่อยไปเช่นนี้จะไม่ได้การเสียแล้ว ภารกิจต่อไปนอกเหนือจากการพิชิตใจวสุคงไม่พ้นการผูกมิตรกับคนรอบตัวของเขา เธอจำเป็นต้องหาพรรคหาพวกเพื่อให้คนเหล่านั้นดันหลังตัวเอง แม้ว่าเท่าที่มีตอนนี้เส้นเธอจะใหญ่มากแล้วก็ตาม แต่คนใกล้ชิดของเขานั้นละเลยไม่ได้ด้วยน่าจะเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดี
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เธอต้องมีข้อมูลของวสุตุนไว้ในมือจำนวนมากเพื่อเอาชนะใจที่แข็งประหนึ่งครกหินอ่างศิลา
วสุตอบอย่างไม่ปิดบัง “ผู้หญิง”
เรือนคิ้วสวยได้รูปเริ่มขมวดมุ่น นัยน์ตาสีน้ำตาลขุ่นมัว “แฟนเฮีย?”
“ไม่ใช่”
“งั้นคนที่กำลังดูใจ”
ขณะตั้งคำถาม อกข้างซ้ายของพินรีก็บีบรัดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เธอเกือบหลุดนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดทั้งที่ไม่มีส่วนไหนของร่างกายที่ได้รับบาดแผล ลมหายใจเริ่มกระจายตัวได้ไม่ทั่วท้อง
กลัว...
เธอกลัวว่าเรื่องที่ปั้นแต่งขึ้นมาจะเป็นเรื่องจริง
“นั่นก็ไม่ใช่” ก่อนกล่าวเสียงเข้ม “ไปนั่งข้างหลังได้แล้ว ถ้าหัวรั้นแบบนี้ไม่พาไปนะ”
พินรียอมยกธงขาวในที่สุด หล่อนพาตัวเองมานั่งเบาะหลังตามคำสั่งเจ้าของรถ จากนั้นล้อจึงหมุนออกจากบริเวณนี้โดยไม่มีบทสนทนาอะไรเกิดขึ้นภายในห้องโดยสารเลยสักคำเดียว ทั้งที่ปกติแล้วคนอย่างพินรีคงไม่ปล่อยให้ช่วงเวลาเหล่านี้หลุดมือไปอย่างง่ายดาย แต่เธอเสียศูนย์นิดหน่อยจึงหวังถอยกลับมาตั้งหลัก
การจราจรค่อนข้างติดขัด หล่อนจึงใช้โอกาสนั้นในการเปิดไลน์เพื่อส่งข้อความหา ‘วงใน’ ของตัวเอง
ไก่เน่า: เธอๆ รหัสแดง
Ry: ว่า
ไก่เน่า: เรื่องที่บอกว่าเฮียสี่พาสาวมากกน่ะ สรุปแล้วจริงหรือเค้ก
Ry: เอาไรมาจริง เรื่องนี้ฉันแต่งมาเองกับมือ
ไก่เน่า: เอาดี อย่าแกล้ง
Ry: ไม่แกล้ง ทำไมอะ เฮียมันมีสาวจริงๆ เหรอ
Ry: อย่ายอมนะพิ เธอสวยกว่า
ไก่เน่า: ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าอะไรเป็นอะไร ไว้รู้แล้วจะบอก
Ry: โอเค
ร่างระหงที่นั่งอยู่เบาะหลังลอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของสารถีหนุ่มด้วยใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ริมฝีปากบางถูกเม้มเป็นเส้นตรง หัวคิ้วขมวดแทบจะชนกันอยู่รอมร่อ ภายในหัวคิดไปต่างๆ นานาว่าหากคนที่เขาไปรับอยู่ในสถานะที่เป็นอันตรายต่อหัวใจตัวเอง เธอจะวางตัวเช่นไร
“เฮียสี่”
เสียงหวานดังแผ่วเบา
เขาตอบรับในลำคอ “อื้อ”
“พิรู้มาว่าเฮียโสด แต่พิอยากรู้จากปากของเฮียมากกว่าคนอื่น”
“ฉันโสด”
คล้ายกับต้นไม้เหี่ยวเฉาได้รับแสงแดดและน้ำฝนจนพาให้กลับมาสดชื่นอีกครั้ง
แล้วสำทับมาอีกประโยค “แต่ไม่เคยคิดจะคบกับเธอ”
แล้วมันก็กลับไปเหี่ยวอีกรอบ...
“ให้โอกาสพิได้จีบก่อนสิคะ”
“โอกาสที่รู้ว่ามันจะไม่สมหวัง อย่าเริ่มแต่แรกดีกว่า”
“สิ้นปีนี้ค่ะ”
สารถีใช้ความเงียบในการตอบโต้บทสนทนา เขาไม่สนใจจะถามด้วยซ้ำว่าเธอกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่
ถึงกระนั้นเธอก็เลือกที่จะขยายความ “พิขอเวลาแค่ถึงสิ้นปี ถ้าระหว่างนี้พิทำให้เฮียชอบไม่ได้ ขอสัญญาว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับเฮียอีกเลยตลอดชีวิต พิจะย้ายออกจากคอนโดฯ ถ้าเราบังเอิญเจอกันพิจะไม่ทัก ไม่ยิ้มให้ จะไม่ทำเหมือนว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อน ให้มองเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่ง ชีวิตของเฮียจะไม่มีพิอีกไม่ว่าช่วงเวลาใด พิสัญญาค่ะ แต่ขอให้พิมีโอกาสได้ลองสักครั้ง”
“...”
“อาจจะเพราะที่ผ่านมาพิไม่เคยรู้เลยว่าถ้าเราไม่ได้เป็นแค่พี่น้องมันจะเป็นยังไง แต่ถ้าให้พิได้ลอง พิก็จะได้รู้ ถ้าจนถึงที่สุดแล้วสิ่งที่พิทำไปทั้งหมดจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักนิด พิก็คงเข้าใจและยอมรับได้ว่าควรปล่อย”
พินรีอาจเป็นคนดื้อรั้นและคิดจะพุ่งชนท่าเดียว แต่ทว่า ณ เวลานี้มีแต่ความหนักแน่นและจริงจังเท่านั้นที่ถูกสื่อออกไปให้อีกฝ่ายรับรู้ เธอไม่รู้แน่ชัดว่าหากวันนั้นมาถึงแล้วผลไม่เป็นดั่งใจปรารถนาจะสามารถรับมือได้หรือไม่ แต่ถ้ามันสุดความสามารถก็คงป่วยการจะยื้อ
ขอเพียงก่อนได้ปล่อยมือ ให้เธอได้เอื้อมสุดแรงเพื่อคว้าเขาไว้สักครั้ง
“นะคะ พิขอร้อง ถ้าจนแล้วจนรอดเฮียยังยืนยันหนักแน่นว่าไม่รักพิ พิจะไม่ยื้อเลยค่ะ”
ห้องโดยสารของเอสยูวีสีดำเกิดความเงียบขึ้น ผู้โดยสารเบาะหลังไม่ได้โพล่งสำทับประโยคยาวยืดของตน สิ่งที่หล่อนอยากพูดก็ได้พูดออกไปหมดแล้ว ที่เหลือก็แค่ให้เขาได้ใคร่ครวญและตัดสินใจ
ในขณะที่สารถีเงียบไปเพื่อใช้ความคิด หากเขาเลี้ยงไข้ไปเรื่อยๆ ก็มองไม่เห็นจุดจบว่าเรื่องระหว่างเขาและเพื่อนน้องสาวจะจบที่ตรงไหน เขามองไม่ออกและมิอาจคาดการณ์ได้เลยว่าคนช่างตื้ออย่างพินรีจะยอมรามือที่จุดใด ในเมื่อที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยให้ความหวังหล่อนเลยสักนิด แต่อีกฝ่ายก็ยังเป็นได้ขนาดนี้ ฉะนั้นแล้วข้อเสนอนี้มันก็น่าเสี่ยง
ทว่าเขาไม่อยากให้พินรีรู้สึกเหนือกว่าจนสามารถกุมบังเหียนได้
เสียงทุ้มเปล่งออกไปอย่างไร้แววล้อเล่น “หนึ่งเดือน”
“คะ?”
“ฉันมีเวลาให้เธอแค่หนึ่งเดือน ถ้าทำให้ฉันเปลี่ยนใจไม่ได้เธอต้องออกไป”
ในส่วนของคุณนายวิไลเขาจะเป็นฝ่ายคุยเอง เพราะมารดาไม่ได้บอกสักหน่อยว่าเขาต้องให้พินรีอยู่ด้วยนานแค่ไหน แม่บอกแค่ ‘ให้อยู่ด้วย’ ซึ่งเขาก็ทำตามที่ตกลงไว้แล้ว ที่ดินแปลงนั้นย่อมต้องตกเป็นของเขา
สาวเจ้ากะพริบตาไล่ความงุนงง “เดือนเดียวจะพอได้ไงคะ”
มุมปากหยักของชายร่างกำยำกระตุกขึ้นอย่างนึกขบขัน “ก็นั่นไง คนอย่างเธอจะไปเปลี่ยนใจใครได้ในเวลาแค่เดือนเดียว”
ลมหายใจอุ่นร้อนถูกกระแทกออกหนักๆ “ตกลงค่ะ หนึ่งเดือน ถ้าครบหนึ่งเดือนแล้วเฮียไม่ออกปากให้พิอยู่ต่อ พิย้ายออกทันที”