3│ลูกเจี๊ยบไม่เด็กแล้ว (1)
บทที่ 3
ลูกเจี๊ยบไม่เด็กแล้ว
.
.
.
สมาชิกใหม่ของคอนโดมิเนียมราคาแพงก้าวออกจากลิฟต์เมื่อมาถึงชั้นที่หมาย แต่ก็เป็นอันต้องชะงักเท้าไว้อย่างนั้นเมื่อพบกับคนที่ยืนอยู่ด้านหน้า
สองมือบางถูกยกขึ้นแนบอกก่อนค้อมศีรษะลงเพื่อทำความเคารพ ปากสีหวานเบนกว้างอย่างกับมีพระอาทิตย์มาโคจรอยู่ใกล้ๆ เพราะรังสีความสดใสแผ่กระจายทั่วทุกซอกทุกมุม
“สวัสดีค่ะ”
หล่อนจำได้ว่าพวกผู้ชายตรงหน้าคือคณะทำงานของสส. เซียง เช่นเดียวกับที่สองหนุ่มผู้ชำนาญการอย่างไมยราพและไตรทศก็จำได้ว่าคนตัวเล็กที่เพิ่งเดินออกมาจากลิฟต์คือ ‘ว่าที่พี่สะใภ้’ ของสดายุ
ครั้งแรกที่พวกเขาทราบก็ที่งานแต่งเจ้านาย ครั้งแรกที่ได้เจอตัวจริงก็ที่งานแต่งของวลี แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้มาเจอกันที่นี่อีกครั้ง
ดูเหมือนอาจจะมีงานแต่งให้พวกเขาต้องไปร่วมงานในเร็วๆ นี้กระมัง
หนุ่มวัยสามสิบสองทั้งคู่ค้อมศีรษะอย่างมีมารยาท “สวัสดีครับ”
สิ้นประโยคนั้นพินรีก็เอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตร แม้ว่าจะไม่เคยพูดคุยกันมาก่อนก็ตาม “พิจำพวกคุณได้ค่ะ จำพิได้เหมือนกันใช่ไหมคะ” หล่อนเอียงคอมองด้วยท่าทีใสซื่อ
ไตรทศเอ่ย “ครับ ผมตงครับ” แล้วพยักพเยิดไปทางคนข้างกาย “นี่เมือง พวกเราเป็นผู้ชำนาญการประจำตัวของสส. เซียง ยินดีที่ได้เจอครับคุณพิ”
“เรียกพิเฉยๆ ก็ได้ค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
สาวเจ้าไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ “งั้นพิขอตัวก่อนนะคะ ไว้เจอกันค่ะคุณตงคุณเมือง”
“ครับ”
แล้วคนตัวเล็กก็มุ่งหน้าไปยังหนึ่งในห้องพักในชั้นสี่สิบ ที่แปดในสิบเป็นของพวกเขา ก่อนเข้าไปในห้องของพี่คนโต
สองหนุ่มหันมามองหน้าแล้วบิดยิ้มน้อยๆ อย่างรู้กันพลางสาวเท้าเข้าไปในลิฟต์
เป็นไตรทศที่เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “งานนี้ไอ้ยี่ได้พี่สะใภ้แน่”
คนฟังพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “แต่เฮียสี่เขาไม่เคยพูดเลยว่าจะพาสาวมาอยู่ด้วย นายก็ยังไม่รู้ไหม ไม่งั้นแหย่ไปนานละ สองคนนี้ยิ่งชอบเขม่นกันอยู่ด้วย”
“น่าจะ ถ้ารู้แล้วอย่างนายมีเหรอจะเงียบ”
ด้านพินรีที่เข้ามาในห้องก็คว้าทั้งกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์มาถือไว้ แจ้งเตือนจากลูกค้าดึงความสนใจได้อยู่หมัด หล่อนจึงเดินไปพิมพ์ข้อความตอบโต้ไปด้วย
ของก็ต้องขาย ผู้ชายก็ต้องไปหา แต่ให้วสุรอบ้าง เอาคืนที่เงินแค่ไม่กี่บาทยังออกให้ก่อนไม่ได้
ระหว่างรอลิฟต์แม่ค้าน้ำหอมก็ง่วนอยู่กับการตอบแชตลูกค้า ที่เริ่มมีเข้ามามากขึ้นเพราะพลังการรีวิวในอินเทอร์เน็ต
ยอดขายขยับขึ้นนิดหน่อย แต่ไม่เข้าใกล้ความเป็นเศรษฐีอย่างแม่ค้าออนไลน์ดังๆ รายอื่น เธอเป็นแค่แม่ค้าตัวเล็ก ร้านค้ามียอดผู้ติดตามไม่มาก แต่เทียบดูแล้วก็มีรายได้เทียบเท่าการทำงานในออฟฟิศ และพินรีรักการเป็นแม่ค้ามาแต่ไหนแต่ไร สำคัญเลยคือการที่ต้องมาดิ้นรนในเมืองใหญ่นั้นมีราคาที่ต้องจ่ายสูงลิ่ว ทั้งค่าหอ ค่าอยู่ค่ากิน ค่าเดินทาง และอีกสารพัดค่าใช้จ่าย เงินที่ได้มาอาจหมดไปกับเรื่องเหล่านั้นจนไม่มีเก็บ
ในขณะที่เลือกอยู่บ้านนั้นมีรายเหลือเยอะพอสมควร บ้านไม่ต้องเช่า น้ำไฟเน็ตแม่จ่าย กับข้าวแม่ออก เงินที่ได้มาของเธอจึงใช้ส่วนตัวและเก็บเท่านั้น
ทว่าเมื่อประตูเปิดออกกลับพบคนที่บอกว่าจะรออยู่ที่ร้านสะดวกซื้อเดินออกมาพร้อมถุงพลาสติกในมือ ก่อนบิลขนาดเล็กจะถูกแปะบนหน้าผากแล้วร่วงหล่นลงสู่พื้น
“จ่ายคืนด้วย”
พินรีรีบย่อตัวลงไปเก็บบิลมาถือไว้ หลุบตามองกระดาษใบเล็กที่อยู่ในมือด้วยความสงสัยทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ามันคืออะไร เธอไม่ได้สงสัยเรื่องบิล แต่สงสัยในคำพูดที่ขัดกับการกระทำของวสุต่างหาก ปากก็บอกว่าจะไม่ยอมออกให้ก่อน แต่ไฉนถึงกลายมาเป็นเช่นนี้
สาวเจ้ากลั้นยิ้มไม่อยู่พร้อมหมุนตัวไปหาร่างกำยำ ก่อนพบว่าขายาวๆ ก้าวไปจนจะถึงห้องพักอยู่รอมร่อ
เธอสับเท้าตามไปติดๆ สอดตัวเข้าไปในห้องแล้วจึงมุ่งตรงไปยังโซฟาที่มีวสุนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“เฮียจ๋าออกให้พิก่อนเหรอคะ”
แววตาคมกริบตวัดมองเจ้าของประโยค ‘เฮียจ๋า’ เหมือนว่าไม่ค่อยสบอารมณ์ “เรียกให้มันดีๆ”
“เฮียจ๋าไม่ดีตรงไหน น่ารักออก”
เขาพ่นลมหายใจออกมาหนึ่งเฮือก แล้ววกเข้าประเด็นสำคัญ “โอนหรือเงินสด”
“เงินสดค่ะ” ว่าแล้วก็เปิดกระเป๋าสตางค์สุดน่ารักแล้วส่งธนบัตรสีแดงให้เขาสองใบ วสุรับไปแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์สีดำแลดูสุขุมขึ้นมาเปิดเพื่อทอนเงินส่วนต่างให้ เพราะราคาของแค่หนึ่งร้อยหกสิบกว่าบาท
นัยน์ตาหวานจดจ้องไปที่ข้าวของสีดำ แล้วลากสายตามาหยุดอยู่ที่ของใช้ของตัวเองที่ค่อนข้างคัลเลอร์ฟูล ตั้งแต่โทรศัพท์สีชมพูพาสเทล เคสลายน่ารักไม่ต่างกับเคสไอแพด ไหนยังติดสติกเกอร์จนแทบไร้ที่ว่าง กระเป๋าสตางค์สีสันสดใส และทุกอย่างที่เป็นของส่วนตัวของเธอล้วนอยู่ในขอบเขตของความน่ารักทั้งสิ้น ต่างกับเขานัก เสื้อผ้าไม่ขาวก็ดำ มือถือสีดำ กระเป๋าสตางค์สีเดียวกัน
วสุดูโตเป็นผู้ใหญ่ ในขณะที่หล่อนเหมือนโตไม่เป็น
เพราะแบบนี้หรือเปล่าถึงถูกปรามาสว่าเป็นเด็ก แต่จะให้ทำอย่างไรในเมื่อของน่ารักมันร้องตะโกนเรียกชื่อเธออยู่ตลอด เธอมีความสุขทุกครั้งที่ได้ครอบครองสิ่งของน่ารักกุ๊กกิ๊ก
หลังส่งเงินทอนให้เสร็จสรรพร่างหนาก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง พินรีก็ลุกตาม เขาถือกล่องข้าวเดินไปทางครัว เธอก็หยิบของตัวเองตามไปด้วย
เมื่อส่งกล่องอาหารเข้าไปอยู่ในไมโครเวฟเขาก็ยืนรออยู่ตรงนั้น มือบางยื่นไปสะกิดต้นแขนหนั่นที่อยู่ภายใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวเบาๆ พอให้เขาหันมามอง
“ทำไมเฮียถึงออกให้พิก่อนเหรอคะ ไหนให้พิกลับมาเอาเองไง”
“เธอช้า”
หล่อนสวน “ก็มันไกล” ก่อนสำทับไปอีกประโยค “แต่ถ้าเฮียจะใจดีออกให้ก่อนก็ไม่เห็นต้องให้พิกลับมาเลยค่ะ แต่ยังไงก็ขอบคุณนะคะ เฮียจ๋าน่ารักที่สุด”
ไม่ว่าเปล่า พินรียังเอื้อมมือมาดึงแก้มเขาเหมือนเด็กๆ วสุไม่ปัดมือออกก็จริงแต่ขมวดคิ้วเป็นปม
เขารู้ว่าพินรีเป็นพวกใจกล้า ถ้าไม่กล้าคงไม่ประกาศต่อหน้าคนหมู่มากว่าอยากเป็นเจ้าสาวของเขาหรอก แต่กล้าถึงขั้นแตะเนื้อต้องตัวเขาแล้วหรือ
ชักอันตรายขึ้นทุกวันแล้วสิเด็กนี่
ใช้เวลาไม่นานนักทั้งสองก็เดินกลับมานั่งที่เดิม เจ้าของห้องเปิดข่าวการเมืองดูเพื่อเก็บตกรายวัน เขาจำเป็นต้องรู้ความเป็นไปของนักการเมืองทุกฝ่าย ทั้งฟากรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน เพื่อที่จะได้เดินเกมอย่างไร้ที่ติเพื่อพาท่านสส. ที่ตนสังกัดอยู่ไปส่งถึงเก้าอี้รัฐมนตรี ถ้าชาตินี้สัตราไต่ไปไม่ถึง มีหวังว่าที่คุณพ่อคงตายตาไม่หลับเป็นแน่
ทว่าเสียงเจื้อยแจ้วของสมาชิกใหม่กลับดังเข้าหูขัดกับเสียงของผู้ประกาศข่าว “เฮียจ๋า”
เขาปั้นหน้าเข้ม “อย่าเรียกแบบนี้”
“เฮียจ๋า”
“พิ เธออย่ากวนประสาทฉันนะ”
พินรีลอยหน้าลอยตา รอบนี้หล่อนขยับปากโดยไร้เสียงว่า ‘เฮียจ๋า’ อย่างไม่คิดเกรงกลัวสายตาของเขาเลย
เสียงหวานโพล่งขึ้นมา “ไม่อยากให้เรียกก็ต้องมีอะไรมาแลกค่ะ ยื่นหมูยื่นแมวน่ะ รู้จักไหมคะ”
“หมูหมากาไก่อะไรฉันก็ไม่ยื่น” แล้วจึงถามอย่างเอาเรื่อง “เธอมีอำนาจการต่อรองกับฉันตั้งแต่เมื่อไรกัน”
แต่สาวเจ้ากลับยักไหล่ให้อย่างไม่ค่อยจะทุกข์ร้อนกับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย “ก็ตามใจค่ะ งั้นพิจะเรียกเฮียว่าเฮียจ๋าไปตลอดเลย คนอื่นเขาคงคิดว่าพวกเราหวานกันมากชนิดน้ำตาลเรียกพี่ พิได้ทั้งขึ้นทั้งล่องจะต้องแคร์อะไร”
วสุข่มโทสะไว้ในใจ พูดเสียงลอดไรฟัน “จะเอาอะไร”
“ปลดบล็อกพิหน่อยได้ไหมคะ”