2│ลูกเจี๊ยบในเมืองใหญ่ (4)
“ถ้าพิทำแบบนั้นจะยอมให้เฮียเอาให้ตายเลยค่ะ”
สิ้นประโยคของสมาชิกใหม่ หมอนอิงที่อยู่ใกล้มือหนาก็ถูกคว้ามาเคาะกะโหลกแข็งๆ ของผู้พูดจนสาวเจ้าเผลอหลับตาปี๋
“น้อยๆ หน่อยแม่คุณ เป็นสาวเป็นนาง”
คนตัวเล็กยกมือมาลูบศีรษะป้อย ๆ หาได้รู้สึกเจ็บแต่อย่างใดเพราะแรงที่วสุใช้นั้นน้อยนิดเหลือคณา
“อะไรเล่า เฮียเป็นคนพูดก่อนด้วยซ้ำ”
พอโดนย้อนเช่นนั้นชายหนุ่มก็ทำเพียงทิ้งหางตาไปที่ร่างระหง ก่อนยันตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงโดยที่ครั้งนี้ไม่มีใครรั้งไว้แต่อย่างใด เขาจึงแยกเข้าห้องนอนเพื่อจัดการธุระส่วนตัว
ให้หลังเกือบยี่สิบนาทีวสุจึงเดินออกมาด้านนอก ชุดที่สวมใส่ยังคงเป็นชุดทำงาน เพียงแค่ปลดกระดุมเพื่อให้ผ่อนคลายขึ้น แขนเสื้อเชิ้ตถูกพับอยู่แถวข้อศอก มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าสตางค์ไว้ สายตาถูกทิ้งไปที่โซฟากลางห้องที่มีร่างแน่งน้อยนั่งก้มหน้าก้มตาสนใจเครื่องมือสื่อสาร ทว่าเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากเขา ใบหน้านวลก็ค่อยๆ ผินมาหา
ริมฝีปากสีหวานเบนกว้างเป็นรอยยิ้ม “ออกมามีอะไรจะคุยกับพิเหรอคะ”
เขามุ่นคิ้ว “นี่ห้องฉันด้วยซ้ำ”
สาวเจ้าไหวไหล่ “ก็นึกว่าอยากคุยด้วย”
“อย่าเพ้อเจ้อ”
เขาเองก็ไม่อยากจะแยแสเพื่อนร่วมห้องนัก หลังค่อนขอดเสร็จจึงหมุนปลายเท้าไปทางหน้าห้อง แต่กลับถูกประชิดตัวด้วยความรวดเร็ว
ความไวเป็นเรื่องของปีศาจหรือของพินรีกันแน่
คนตัวใหญ่หยุดการก้าวเท้าไว้เท่านั้น “อะไรอีก”
“เฮียจะไปไหนคะ”
“ไม่เกี่ยวกับเธอ อีกอย่างเธอตกลงกับฉันแล้วว่าจะไม่ก้าวก่ายเรื่องของกันและกัน”
หล่อนยู่ปาก “เรื่องแค่นี้เอง”
“แค่นี้หรือแค่ไหนไม่สำคัญ สำคัญคือสัญญาที่เราตกลงกันแล้ว”
ก่อนมาที่นี่วลีย้ำกับเธอว่าตนส่งถึงได้แค่นี้ คือการสานฝันให้ได้มาอยู่กับวสุ แต่หลังจากนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของเธอเองที่จะใช้วิชามารมัดใจเขาได้ ซึ่งการที่ทำตามกฎและอยู่ไปวันๆ มันจะมีประโยชน์อะไร พาตัวเองมาถึงขนาดนี้แล้วไม่ได้หวังแค่มาอยู่ใครอยู่มันกับเขาในห้องเดียวกันเสียหน่อย
เธอหวังเป็นเจ้าสาวของเขาต่างหาก
วสุเดินลิ่วๆ ไปหน้าห้อง พินรีก็เดินตามเหมือนเงา
เขาไม่ไล่ เธอก็ไม่กลับ
อันที่จริงเหมือนเขาจะไล่ทางสายตา แต่เธอไม่สะทกสะท้าน
หลังแทรกตัวเข้ามาอยู่ในลิฟต์ก็พยายามไสหน้าตัวเองไปอยู่ใกล้ๆ เขา “สรุปเฮียจะไปไหนคะ”
นัยน์ตาคมเข้มทอดมองคนถามด้วยความดุดัน ทั้งยังแสร้งปั้นเสียงขรึม “พาเด็กแถวนี้ไปปล่อยวัด”
“พิเหรอคะ”
ผู้เชี่ยวชาญประจำตัวสส. ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เลิกพูดออกอ่าวออกทะเลก่อนตอบตัดบท “จะไปหาอะไรกิน”
เขาเปลี่ยนเรื่อง เธอก็ตามน้ำได้หมดไม่มีสะดุด “โอ๊ะ! พิหิวพอดีเลยค่ะ”
“ขยับไปหน่อย ที่ว่างเยอะแยะ”
พินรียอมถอยออกมาหนึ่งก้าว เธอรู้ว่าเวลาไหนควรถอยและเวลาไหนควรบุก ดันทุรังมากเกินไปวสุอาจจะรำคาญใจเอาได้
หล่อนสงบปากสงบคำและทำเพียงลอบมองเสี้ยวหน้าคมคายของชายอันเป็นที่รัก อมยิ้มอย่างอิ่มเอมใจโดยไม่ต้องมีคำพูดใด เพราะเท่านี้ก็เกินที่วาดฝันไว้แล้ว เดิมทีพินรีหมดหวังไปแล้วด้วยซ้ำ เธอคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในโลกของวสุได้อย่างไร
แต่ตอนนี้เขาอยู่ใกล้ๆ เธอ
ใกล้แค่นี้เอง...
ใกล้จนใจเต้นแรง
กว่าลิฟต์จากชั้นสี่สิบจะลงมาชั้นหนึ่งมันจึงต้องใช้เวลาพอประมาณ ไหนยังมีผู้อาศัยท่านอื่นเข้ามาใช้บริการด้วย พินรีขยับตัวไปทางพี่ชายเพื่อน โดยที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ถดกายหนีด้วยมีพื้นที่จำกัด เสื้อผ้าเสียดสีกันอย่างมิอาจหลบเลี่ยงได้ พาใจดวงน้อยเต้นระส่ำทั้งยังอมยิ้มจนแก้มนวลพองฟู
หล่อนชำเลืองไปทางชายหนุ่มข้างกายที่ก็หลุบสายตามามองพอดิบพอดี นัยน์ตาดำขลับไร้คลื่นอารมณ์ใด ต่างกับแววตาสุกใสของพินรีที่ทอประกายความสุขสมใจจนเกรงว่าความอิ่มเอมจะล้นทะลักออกมาจากสองตา ริมฝีปากสีระเรื่อถูกเม้มเพื่อกลั้นยิ้ม ก่อนผินหน้าหนีสายตาคมกริบที่ค่อนข้างมีอิทธิพลต่อใจ
เธอคงชอบวสุมากเกินไป ต่อให้เขามองเหมือนหน่ายใจหรืออะไรก็ตาม พินรีก็ขอแค่ได้อยู่ในสายของชายอันเป็นที่รัก เทียบกับเมื่อก่อนที่ไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิด แบบนี้ดีกว่าเป็นไหนๆ
ให้หลังไม่นานนักลิฟต์ก็มาถึงชั้นหนึ่ง ผู้คนทยอยเดินออกเพื่อให้คนใหม่ได้เข้าไปด้านใน
“ไปร้านไหนเหรอคะ”
สาวน้อยจากปราจีนบุรีเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าพี่ชายเพื่อนมุ่งหน้าไปนอกอาคาร โดยที่เธอต้องสับเท้าให้ไวขึ้นด้วยช่วงขาสั้นกว่าวสุพอสมควร
ชายหนุ่มไม่ตอบแต่สืบเท้าเดินไปเรื่อยๆ ขายาวก้าวอาดๆ ไปด้านหน้าอย่างไม่คิดจะรอเพื่อนร่วมห้อง แต่พินรีก็ตามทันอยู่ดี
“เฮีย กินร้านไหนคะ”
วสุยังคงเงียบ กระทั่งเดินมาถึงหน้าร้านสะดวกซื้อถึงได้เข้าใจทุกอย่าง ทั้งสองเข้าไปด้านในโดยที่ฝ่ายชายหยุดอยู่แถวประตูแล้วคว้าตะกร้ามาหนึ่งใบ พินรีก็ทำตามเหมือน Copycat ที่ไม่ว่าคนตัวใหญ่จะทำอะไร เธอก็ลอกเลียนแบบทุกอย่าง เขาเดินไปโซนไหนเธอก็เดินตาม เขาหยุดเธอก็หยุด
“อันนี้อร่อยค่ะ พิเคยกิน” ไม่ว่าเปล่า ยังหยิบขนมปังกลิ่นนมฮอกไกโดลงตะกร้าตัวเองแล้วหันไปพยักหน้าถี่รัวให้คนตัวโต “อร่อยจริงๆ นะคะ มีน้อยด้วย ของแรร์สุดๆ”
ขนมปังถุงสีฟ้าถูกโยนลงไปในตะกร้าตามคำเชียร์ของพินรี ที่พอเห็นว่าเขายอมซื้อของตามตนก็ฉีกยิ้มกว้าง
คนตัวเล็กชวนคุยระหว่างเดินดูของ “พิเปิดตู้เย็นดูแต่ไม่มีอะไรเลย ปกติเฮียไม่ทำกับข้าวเองเหรอคะ”
“ยุ่งยาก” ว่าพลางก้าวเดินไปหยุดอยู่ยังโซนข้าวกล่องและสารพัดอาหารกึ่งสำเร็จรูป ที่แค่โยนใส่ไมโครเวฟก็อิ่มท้อง เขาชอบความสะดวกแบบนี้มากกว่าการพิถีพิถันจัดเตรียมวัตถุดิบ ลงมือทำ ไหนยังต้องเก็บกวาดเช็ดถูหลังทำเสร็จอีก
“แต่พิทำเป็น ทำอร่อยด้วย ให้พิรับผิดชอบส่วนนี้นะคะ เฮียจะได้ไม่ต้องกินของเวฟ โซเดียมมันเยอะนะ”
“ฉันชอบโซเดียม”
หล่อนยิ้มแหย “ถึงว่า”
ชายหนุ่มชะงักมือที่เอื้อมไปคว้าอาหารไว้กลางอากาศแล้วหันไปหรี่ตาแคบใส่คู่สนทนา “อะไร”
“เปล่าค่ะ” ก่อนเสเปลี่ยนเรื่อง “งั้นพิกินด้วย พิก็ยังไม่ได้กินข้าวเย็น”
อันที่จริงแล้วพินรีก็หาใช่พวกรักสุขภาพ แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นนักทำลาย ปกติแล้วเธอทานข้าวที่บ้านโดยที่เป็นฝ่ายจัดการเรื่องอาหารการกินให้ครอบครัว เพราะพ่อและแม่ง่วนอยู่กับการขายของทั้งวัน ขายเสร็จก็ใช่ว่าพักได้ ยังต้องเตรียมของสำหรับขายในวันพรุ่งนี้เช้า พ่อแม่เธอตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึ่งเพื่อมาเตรียมของจะได้ขายทันช่วงเช้า ตกเย็นก็ขายซาลาเปาขนมจีบกว่าจะทำทุกอย่างเสร็จสรรพก็มืดค่ำดึกดื่น อะไรที่พอจะช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ได้ พินรีก็อยากทำ
การที่เธอมาอยู่ที่นี่ก็ได้แต่หวังว่าพ่อแม่จะไม่เหนื่อยจนเกินไป แต่จะทำอย่างไรได้ ภารกิจจีบเฮียสี่ก็สำคัญ
คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยหล่อนก็นิ่งงันไปจนวสุยังผิดสังเกต เขาว่า “เป็นอะไรอีกล่ะ”
“เฮีย พิลืมหยิบกระเป๋าตังมาค่ะ”
เพราะทันทีที่วสุเดินออกมาจากห้อง พินรีก็ปรี่เข้าหาจนไม่ได้หยิบอะไรติดมือมาสักอย่าง ทั้งกระเป๋าสตางค์ที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ทั้งมือถือที่ตอบแชตลูกค้าอยู่ เธอทิ้งหมด
ชายหนุ่มหรี่ตาแคบ “ฉันเกลียดมุกนี้จริงๆ กลับไปเอา”
สาวเจ้าย่นหัวคิ้วเข้าหากันอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง “ต้องให้พิกลับขึ้นไปที่ห้องน่ะเหรอคะ” เจ้าของร่างกำยำเพียงแค่พยักหน้ารับอย่างไม่ทุกข์ร้อนใดๆ “แต่มันชั้นสี่สิบนะ”
“ไปเอามา”
“ออกให้พิก่อนได้ไหม เดี๋ยวกลับห้องแล้วพิคืนเลย ไม่บิดหรอกค่ะ”
ใบหน้าคมคายส่ายไปมาเพื่อปฏิเสธ ก่อนติเตียน “เดี๋ยวเธอจะย่ามใจ ไม่รอบคอบ”
“เฮียอย่าใจร้ายกับพินักสิ เรื่องแค่นี้เอง ไหนก่อนหน้านี้เฮียยังถามพิว่ามีเงินใช้หรือเปล่า ถ้าไม่มีจะให้ยืม นี่ไงคะ พิขอยืม”
วสุกล่าวเสียงแข็ง “คนละกรณีกัน กลับไปเอามา เดี๋ยวรอ”
“โธ่เฮีย ยืมนี่ก็ไม่ใช่จะยืมเยอะยืมนาน กลับห้องก็จ่ายให้แล้ว”
“งั้นก็กลับห้องแล้วไปเอามาจ่ายเองเลยสิ ไป อย่าลีลา”
พินรีกระแทกลมหายใจใส่ชายตัวโตแล้ววางตะกร้าของตัวเองลงใกล้ๆ กับเขา ก่อนหมุนตัวเดินออกจากร้านสะดวกซื้อเพื่อกลับไปยังตึกสูงระฟ้าด้วยสีหน้าบึ้งตึง
วลีเคยเตือนแล้วว่าวสุเป็นพวกหน้าเลือด แต่ก็ไม่คิดว่าจะอาการหนักขนาดนี้ ออกให้เธอก่อนก็ไม่ทำให้เขาขาดสภาพคล่องทางการเงินแต่อย่างใด ที่หยิบๆ ไปมันจะสักเท่าไรเชียว ถึงสองร้อยหรือเปล่าก็มิอาจทราบ แต่เงินแค่นี้เขากลับออกให้ก่อนไม่ได้ เธอก็ใช่ว่าจะไม่คืนเสียหน่อย
สงสัยพี่ชายยายรี่กินเป็นแต่โซเดียมถึงได้เค็มยิ่งกว่าเกลือ ได้เป็นเมียเมื่อไรจะเอาคืนร้อยเท่าพันทวีเลยคอยดู!