2│ลูกเจี๊ยบในเมืองใหญ่ (1)
บทที่ 2
ลูกเจี๊ยบในเมืองใหญ่
.
.
.
วสุเป็นหนุ่มโสด รักอิสระ ชอบใช้ชีวิตคนเดียว เพราะลำพังทำงานกับเจ้านายที่ชอบใช้แรงงานทาสก็สูบพลังงานที่มีใช้ต่อวันไปเกือบหมดแล้ว หมอนั่นมันใช้งานเขาสารพัด มืดค่ำดึกดื่นไม่หลับไม่นอน ยังขยันโทร. มาสั่งงาน งานราษฎร์งานหลวงก็ต้องทำให้หมด ถ้าไม่ติดว่านับถือมันเป็นพี่ชายคนสนิท เขาลาออกไปเฝ้าร้านทองของที่บ้านนานแล้ว
ด้วยประการฉะนั้น วสุมักใช้เวลาหลังเลิกงานในการพักผ่อน ซื้ออาหารมาทาน เปิดหนังดูสักเรื่อง นานๆ ทีจะออกไปท่องราตรีแล้วดีลสาวที่ถูกใจสักคน ไม่เหมือนน้องๆ ที่ขยันออกอย่างกับเป็นสัตว์กลางคืน และเพราะใช้ชีวิตแบบนั้นทุกคนจึงต้องการพื้นที่ส่วนตัว แม้คณะติดตามสส. เซียงจะอยู่ที่คอนโดมิเนียมเดียวกัน ชั้นเดียวกัน แต่ก็จับจองกันคนละห้อง
เขาที่รักอิสระมากๆ ยังไม่อยู่ห้องเดียวกับน้องชายเลย แล้วจะยอมให้เด็กนั่นมาอยู่อาศัยร่วมชายคาด้วยน่ะหรือ สิ้นคิด!
สายของมารดายังไม่ถูกวางเพราะเขายังไม่กระจ่าง “แล้วพิจะมาอยู่กรุงเทพฯ ทำไมครับ”
(น้องจะไปหางานทำ)
“ก็ทำอยู่ที่บ้านไม่ใช่เหรอ” เขาเงียบไปชั่วครู่เมื่อรู้ตัวว่ากำลังหลุดประเด็น ที่จริงพินรีจะทำงานที่ไหนมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา จะทำที่ปราจีนบุรีหรือเข้ามาในเมืองหลวง นั่นเป็นเส้นทางชีวิตที่เจ้าตัวจะเลือกเอง “ไม่สิ จะมาอยู่กรุงเทพฯ แล้วเกี่ยวอะไรกับผม หอพักเยอะแยะก็ไปเช่าอยู่สิ บ้านพิก็ไม่ใช่ข้นแค้น”
(ก็อยู่กับลูกน้องจะได้ประหยัด)
“หอถูกๆ ถมถืดถมเถไปหมด จะต้องมาอยู่อะไรกับผม หรือถ้าอยากแชร์นักไปแชร์กับไอ้ยี่โน่น”
(ก็ลูกจะได้ช่วยดูแลน้องด้วยไง ช่วยเป็นหูเป็นตาให้น้าหนุ่ยกับน้าพรหน่อยไม่ได้เหรอ คนกันเองทั้งนั้น)
“ยี่ก็ดูแลได้”
(...)
เขาถอนหายใจพรืดใหญ่ “ผมไม่สะดวกครับ”
วิไลกำมือแน่น เพราะมัวแต่หลงแม่สาวนักรีดนั่นน่ะสิถึงได้ไม่อยากให้ใครไปขัด แค่ให้น้องให้นุ่งไปอยู่ด้วยยังไม่ยอมใจอ่อน เห็นทีจะต้องใช้ไม้แข็ง
(แม้แต่แม่เป็นคนพูดลูกก็ยังเลือกที่จะปฏิเสธเหรอสี่ คำพูดแม่มันไม่มีความหมายอะไรแล้วสินะ)
“ก็ผมไม่สะดวกใจจริงๆ จะให้ทำยังไงล่ะครับ แม่อย่าเอาเรื่องของคนอื่นมาผิดใจกับผมเลย ผมไม่สบายใจถ้าต้องทะเลาะกับแม่นะ”
(หนูพิใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน)
“ใช่ สำหรับผม”
มารดาเงียบไปหลายวินาที ก่อนว่าต่อ (แต่แม่คุยกับหนุ่ยกับพรไว้แล้วว่าจะจัดการเรื่องที่อยู่ของหนูพิให้ แต่ถ้าลูกยืนกรานว่าไม่ก็คือไม่ แม่เข้าใจ)
“ขอบคุณครับ”
(แต่หารสาม)
“อะไรครับ”
วิไลเอ่ยเสียงเอื่อยเหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ (เหมืองทองให้เฮียจี่ รี่ได้ลาริมาร์ไปแล้ว ร้านทองแม่ว่าจะให้ยี่มัน ส่วนบ้านก็ให้น้องผิง) หล่อนหมายถึงขนมผิง ลูกสาววัยหนึ่งขวบของจิรัชและผลิน (ส่วนที่ทางอะไรก็คงแบ่งๆ กันไปให้ลงตัว อาจจะมีแบ่งโอเลี้ยงด้วย เวลาพ่อกับแม่ตายไปมันจะได้ไม่อด)
โอเลี้ยง ไอ้หมาตัวดำเหมือนถ่านนั่นยังได้ส่วนแบ่ง แต่เขาที่เป็นทายาทแท้ๆ กลับโดนเฉดหัวทิ้ง
เจริญ!
วสุหน้านิ่วคิ้วขมวด ความอยากอาหารมลายสิ้น ตอนนี้เขาแทบไม่รู้สึกหิวเลยทั้งที่ก่อนไปร้านสะดวกซื้อท้องไส้ยังส่งเสียงประท้วง
“ได้ไงอะแม่ ผมก็ลูกแม่ไหม”
(ก็ลูกคนอื่นเขาไม่ได้พูดยากแบบนี้นิ)
“ก็แล้วทำไมแม่จะต้องเอาเรื่องคนอื่นมาบีบผมด้วย ผมไม่อยากอยู่กับเด็กนั่น”
(ไม่อยู่ก็ไม่ต้องอยู่ แม่ว่าอะไรที่ไหน บอกแล้วว่าเข้าใจ)
เขาเริ่มฉุน “แต่เขี่ยผมออกจากกองมรดกอะนะ”
(จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ไว้เดี๋ยวลองโทร. ถามยี่ดูก่อนว่าน้องมันจะให้หนูพิไปอยู่ด้วยได้ไหม นี่พ่อเราเขาไปเจอที่ที่เขาใหญ่มาแปลงหนึ่ง เกือบยี่สิบไร่ได้มั้ง ไม่แน่ใจ แต่ว่าสวยมากเลยล่ะ กำลังตกลงราคากันอยู่ ถ้าได้ว่าจะยกให้ยี่เสียเลย) วิไลว่าด้วยน้ำเสียงเริงร่า
“อย่ามาหลอกล่อผมนะ”
(หลอกล่ออะไร พูดให้มันดี นี่แม่นะสี่)
“โธ่แม่”
วสุได้แต่โอดครวญ ทว่าวิไลหาได้สนใจ (งั้นแม่วางและ จะโทร. หาน้องมัน)
ที่ดินแถบเขาใหญ่เดี๋ยวนี้ตกไร่ละเจ็ดหลักทั้งนั้น แล้วบิดาเขาจะซื้อตั้งเกือบยี่สิบไร่ ซึ่งแน่นอนว่าที่สวยๆ แบบนั้นจะซื้อไปลงทุนหรือเก็งกำไรย่อมคุ้มทุน มือของชายหนุ่มสั่นจนเส้นเลือดปูดโปน หัวใจเต้นแรง ตาดำข้างซ้ายคล้ายมีภาพที่ดินที่ไม่เคยเห็นปรากฏอยู่ ส่วนตาดำข้างขวามองเห็นแต่เม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่ไหลเข้ากระเป๋าสตางค์ของตนเอง
มันต้องเป็นของเขา! กลิ่นเงินที่หอมอบอวลอยู่ ณ เวลานี้ต้องมีเจ้าของชื่อวสุเท่านั้น ใครหน้าไหนก็ห้ามปาด
ก่อนสายจะถูกวางโดยคนฟากปราจีนบุรี เสียงเข้มของหนุ่มวัยสามสิบห้าก็ดังแหวกอากาศขึ้นมาขัดเสียก่อน “พิจะเข้ามาวันไหนนะครับ”
(จะรู้ไปทำไมในเมื่อมันไม่เกี่ยวอะไรกับลูกแล้ว แค่นี้แหละ แม่จะคุยกับยี่)
เขาสวนทันควัน “ให้พิอยู่กับผม ผมสะดวกแล้วครับ”
สิ่งเดียวที่ทำให้วสุใจเต้นแรงคือเงิน เงิน และเงิน
“ผมจะดูแลน้องอย่างดี น้าหนุ่ยกับน้าพร รวมถึงแม่สามารถวางใจได้เลยครับ ยุงสักตัวก็ไม่ให้ไต่ แต่แม่ครับ”
วสุทำเสียงอ่อย ในขณะที่วิไลกลั้นยิ้มแทบไม่อยู่ ถึงกระนั้นก็ยังกระชากเสียงเคร่งขรึมใส่ลูกชายอย่างวางท่า ให้อีกฝ่ายสัมผัสได้ว่าหล่อนไม่ค่อยจะสบอารมณ์ (แต่อะไร)
“ไม่หารสามได้ไหม” ลูกชายยังคงออดอ้อนอยู่ในที “นะแม่นะ อย่าทำแบบนี้กับผมเลย”
(...)
ความเงียบของมารดายิ่งกระตุ้นให้ใจเขาร้อนรน “คุณวิไลคนสวย ช่วยเมตตาลูกชายคนนี้หน่อยนะครับ”
(แล้วเราจะให้หนูพิไปอยู่ด้วยจริงหรือเปล่าล่ะ)
“จริงครับ”
(งั้นก็ได้)
“ว่าแต่เรื่องที่ที่เขาใหญ่นั่นพ่อจะซื้อจริงๆ เหรอครับ”
(อาฮะ)
“ผมขอได้ไหม”
วิไลใช้ความเงียบในการตอบคำถาม หล่อนรู้ดีว่าในบรรดาลูกทั้งสี่คน วสุคือคนที่เค็มที่สุด จึงทั้งแปลกใจและเข้าใจในคราเดียวกันว่าทำไมถึงโดนผู้หญิงหลอก ก็ศัตรูของบุรุษคือนารี เก่งมาจากไหนก็ล้วนแล้วแต่แพ้ราบคาบทั้งเพ
เขาย้ำคำเสียงอ่อนเสียงหวานเหมือนสมัยร้องขอของเล่นตอนเด็กๆ “นะแม่ ผมขอไม่มาก แลกกับการที่แม่อยากให้ทำอะไรผมก็จะทำให้แบบไม่ปริปากบ่นสักคำ ผมขอแค่ที่ผืนนั้น ร้านทองผมเอาไม่มาก สามในสี่พอ ที่เหลือให้ไอ้ยี่ เหมืองผมไม่เอาก็ได้ ให้เฮียจี่ไป ส่วนบ้านถ้าแม่อยากให้น้องผิงก็ได้ แต่ลูกผมต้องได้ที่ดินสวยๆ สามแปลง ไม่เกี่ยวกับที่เขาใหญ่นะ อันนั้นของผม ไม่เกี่ยวกับลูก”
วิไลหน้าแห้งกับคำว่า ‘ขอไม่มาก’ ของลูกชาย ที่ทำเอาพี่น้องคนอื่นแทบไม่เหลืออะไรอยู่แล้ว
(ขอดูพฤติกรรมก่อน ถ้าลูกทำตัวดีที่ว่ามาแม่ให้ได้ทั้งหมด)
หัวใจของวสุคล้ายถูกสูบฉีดจนพองโต แต่มันก็หดลงในวินาทีเดียวกันนั้น
(กลับกัน ถ้าทำไม่ดีจนหนูพิมาฟ้องแม่ อด!)
เขาอดจะนิ่วหน้าไม่ได้ “แล้วพิมันเป็นใครถึงชี้เป็นชี้ตายผมได้”
(เป็นเหมือนลูกสาวแม่อีกคน พอใจยัง) ก่อนปรับเสียงให้เป็นปกติ (สี่ แม่หวังว่าลูกจะเจอคนดีๆ นะ รู้จักดูคนให้มันดีๆ หน่อย คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจอย่าเผลอไว้ใจใครง่ายๆ)
“ครับแม่ ขอบคุณครับ ไว้ ‘ลูกสาวแม่’ จะมาแล้วบอกผมด้วยละกัน”
ก่อนสายจะถูกวางไปพร้อมกับคำถามที่ผุดขึ้นในใจ...เทียนหอมจาก Aroma & Sound มีกลิ่นเงินด้วยหรือ เหตุใดห้องเขาถึงได้อบอวลไปด้วยกลิ่นความมั่งคั่งถึงเพียงนี้