CHAPTER. 4
ปกรณ์อายุมากกว่าเธอสองปี พ่อแม่อีกฝ่ายรบเร้าอยากอุ้มหลาน เขาจึงคุยกับเธอเรื่องนี้ว่าอยากแต่งงานสร้างครอบครัว ในหนึ่งวันพิมพิสาอยู่กับงานไปแล้วสิบสองชั่วโมง พิจารณาแล้วเห็นว่าตัวเองยังไม่เหมาะมีพันธะใด หากแต่งไปแล้วเป็นภรรยาและแม่ที่ดีไม่ได้ ก็ไม่ควรทำในสิ่งที่ตัวเองไม่พร้อม
แต่ถ้าวันหนึ่งฐานะมั่นคงกว่าเดิม ความสัมพันธ์กับปกรณ์ที่ผ่านมาก็ดีไม่มีข้อขัดแย้งใด เธอก็ควรลดความใส่ใจเรื่องของตัวเอง แล้วเบนมาวางเป้าหมายสำหรับชีวิตคู่ดูบ้าง แต่งงานตอนเลขสามต้น ๆ ไม่ถือว่าช้าหรือเร็ว
หญิงสาวพลันออกจากความคิดตัวเองเมื่อมีคนหย่อนตัวนั่งลงฝั่งตรงข้าม
“อ้าว กรณ์ มาแล้วเหรอ” รอยยิ้มสดใสระบายบนใบหน้าแม้อีกฝ่ายจะมาสายเกือบสองชั่วโมง “หิวไหม เมื่อกี้แพรดูเมนูมีเนื้อหลายตัวเลย สั่งอะไรกินดี”
พิมพิสาจำอาหารที่เขาชอบได้แม่นยำ ในเล่มเมนูมีหลายรายการน่าสั่งมาลอง “เอาโคลด์คัตหนึ่งค่ะ” เธอหันไปสั่งอาหารเรียกน้ำย่อยกับพนักงาน
“เอาแค่ไวน์แดงแก้วเดียวพอ” ชายหนุ่มบอกให้พนักงานและพิมพิสาทราบ ไม่ต้องมีสัมผัสที่หกก็พอรู้สึกได้ว่าบรรยากาศแปลกไป
“เอาแค่ไวน์เองเหรอ น่ากินจานหลักอะไรซะหน่อย” ท้วงด้วยความเป็นห่วง แต่อีกคนส่ายศีรษะเธอเลยไม่คะยั้นคะยอ
อีกสองชั่วโมงจะเข้าสู่คืนปีใหม่ ผู้คนทยอยตบเท้าเข้ามาในบาร์มากขึ้น ทุกที่นั่งล้วนถูกจับจอง ไม่นานเครื่องดื่มและอาหารทานเล่นก็มาเสิร์ฟ บรรยากาศบนโต๊ะฝืดฝืนอย่างประหลาด ท่าทีคนรักเฉยชาถามคำตอบคำราวกับใจไม่ได้อยู่ตรงนี้
“กรณ์ ปีใหม่กลับไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่วันไหนเหรอ” เธอไปไหว้พ่อแม่ของปกรณ์ทุกปี หากรู้วันแน่ชัดจะได้จัดเตรียมของขวัญจำพวกอาหารสุขภาพไปให้พวกท่านเสียหน่อย
“ยังไม่รู้เลย” เขาว่าพลางยกไวน์ขึ้นจิบไปหลายอึก คล้ายอยากให้มันหมดแก้วเสียที “แพร…”
เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นจากถาดโคลด์คัต รอฟังว่าปกรณ์จะกล่าวสิ่งใด
“แพรไม่ต้องไปบ้านกรณ์ก็ได้”
“อ๋อ ไม่เป็นไร ช่วงนี้หยุดยาว แพรไปได้” หญิงสาวโบกมือสื่อให้ทราบว่าไม่ใช่เรื่องลำบากสำหรับเธอ หากแต่ปกรณ์ส่ายศีรษะ
“ไม่ใช่แบบนั้นแพร” เขาว่าด้วยสีหน้าจริงจัง “คือเรากำลังจะจบกัน แพรไม่จำเป็นต้องไปหาพ่อแม่กรณ์แล้วละ”
ยังไม่ถึงชั่วโมงสุดท้ายของวัน ดนตรีของบาร์ยังเล่นเพลงแนวเลานจ์ฟังสบายหู ทั้งที่ชายหนุ่มพูดด้วยความดังระดับสนทนา หากแต่ประโยคเมื่อครู่กลับดังกลบท่วงทำนองจนหมด พิมพิสารู้สึกเหมือนมีสายฟ้าฟาดลงมากลางโต๊ะจนทำสิ่งใดไม่ถูก
“หมายความว่ายังไง…ใครจะจบกับใคร” เธอถามเสียงขาดห้วง
“เราสองคนควรพอ” หลังจากที่เรียบเรียงในหัวมาพักใหญ่ปกรณ์ก็โพล่งความคิดออกมา
“เหตุผล?” ความเสียใจจุกอยู่ตรงลิ้นปี่ หากแต่พิมพิสาพยายามกดข่มก้อนความรู้สึกนั้นเอาไว้ จะไม่เปิดปากอ้อนวอนถ้าชายหนุ่มหมดรัก แต่ทุกอย่างควรต้องมีเหตุผลมารองรับให้เธอ
“ก็…ไม่ใช่ ไลฟ์สไตล์เราไม่ตรงกัน” ปกรณ์ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ไม่ใช่ว่าเขาไม่รักเธอ เพียงแต่ความรู้สึกนั้นมันจืดจางไปนานแล้ว “แพรก็รู้ว่าพ่อแม่กรณ์อยากอุ้มหลาน แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวมันก็ไปต่อไม่ได้แล้วแพร”
นัยน์ตากะพริบถี่เพื่อดันน้ำตาให้ย้อนคืนลงไป พิมพิสาไม่เคยหวั่นต่องานที่ต้องพรีเซนต์หรือพูดต่อหน้าคน ทว่าตอนนี้กลับหาเสียงตัวเองไม่เจอ เธอรักปกรณ์แต่ยังไม่มากพอจนถึงขั้นจะสละหน้าที่การงานเพื่อไปเป็นแม่คนเต็มตัวได้
ในสถานการณ์แบบนี้พิมพิสายังเก็บอาการได้ดี ไม่มีร่องรอยความเสียใจให้เห็น ปกรณ์มองคนตรงข้ามด้วยสายตาเรียบนิ่ง แฟนที่กำลังจะกลายเป็นอดีตคนนี้สวยครบเครื่อง ไม่ใช่แค่หน้าตาแต่ความสามารถทางการงานก็โดดเด่น
เขาแค่อยากได้ผู้หญิงอ่อนหวานว่าง่ายไม่จำเป็นต้องเก่งกาจอะไร และตอนนี้ก็เจอคนที่ใช่มากกว่าพิมพิสาแล้ว กระนั้นไม่คิดจะแง้มความจริงในใจให้อีกฝ่ายได้รับรู้ มือแตะกระเป๋ากางเกงเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงสั่นจากอุปกรณ์สื่อสาร
“ที่มาก็เพราะอยากเคลียร์ต่อหน้า งั้นกรณ์ไปก่อนนะ” ไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเขาก็ทราบว่าเป็นข้อความจากใคร จบประโยคปกรณ์ก็ลุกขึ้นทันที มีใครอีกคนกำลังรอให้เขาไปใช้ช่วงเคาน์ดาวน์ด้วยกัน
“อืม ไปเถอะ กลับดี ๆ” พิมพิสาพูดเพียงเท่านั้น ถ้าคนอยากไปใครจะห้ามได้
ใบหน้าสะสวยหันชมทิวทัศน์เมืองอมรยามราตรี เธอตัดสินใจนั่งคนเดียวต่อ
เพราะกว่าจะจองโต๊ะช่วงเทศกาลได้แสนยากเย็น เข็มยาวของนาฬิกาขยับใกล้เลขสิบสองทุกขณะ
“สิบ! เก้า! แปด!…”
เสียงผู้คนเริ่มตะโกนนับถอยหลัง จำนวนตัวเลขที่ขานลดลงกระทั่งถึงศูนย์ ดอกไม้ไฟหลากสีสันพลันกระจายทั่วท้องฟ้า ชุดแล้วชุดเล่าสว่างวาบแล้วดับไป เหมือนความรักห้าปีครั้งนี้ของเธอ เคยสวยงามแต่เพียงพริบตาก็จางหาย ไม่หลงเหลือสิ่งใดนอกจากอากาศและความว่างเปล่า
------
ค่ะอีกรณ์ ไลฟ์สไตล์ไม่ตรงกันแต่คบมาได้ตั้ง 5 ปี หึหึ !!! หลงชะนีใหม่สิไม่ว่า บ้าบอมาก!!