บทที่๖ (๒)
“เรื่องพี่กับคุณภพจริงหรือเปล่า” ทิวากรเลื่อนเก้าอี้มานั่งลงตรงข้ามสองสาว แล้วถามถึงเรื่องที่ตนสงสัย เขาก็ถูกเพื่อนสนิทถามมาเช่นกัน เพราะตอนนี้ข่าวแพร่กระจายเป็นวงกว้าง ดีที่ไม่ลงหน้าหนังสือพิมพ์หรือซุบซิบออนไลน์
แต่หลักฐานก็ชัดเจนจนไม่สามารถปฏิเสธได้เต็มปาก คงต้องปล่อยตามเลยแล้วให้เวลาช่วยทำให้ทุกคนลืม
“จริงอะไร” มองน้องตาขวาง
“ก็ที่เขาเล่ากันไง ว่าพี่นอนห้องเขาทั้งคืน..ความจริงหรือจัดฉาก” ความจริงเขาก็เห็นคลิปมาบ้าง และมั่นใจว่าได้ผ่านการตัดต่อแต่อย่างใด สิ่งที่สงสัยคือพี่สาวของตัวเองต่างหาก ว่าทำไมออกมาจากห้องของปภพตอนเช้า อีกทั้งสภาพยังดูไม่จืด...
“ฉันเมา..ก็เลยหลงไปนอนห้องเขา” ตอบแบบขอไปทีไม่ลงรายละเอียดมากนัก กลัวว่าทิวากรจะจับได้
“นอนอย่างเดียว..” หรี่ตามองอย่างจับผิด เล่นเอาคนร้อนตัวต้องใช้เสียงดังเข้าข่ม
“เออ! นอนอย่างเดียว จะมีอะไรได้ล่ะ ฉันกับเขาเกลียดหน้ากันจะตาย” ข้ออ้างนี้พอจะฟังขึ้นบ้าง เธอกับเขาเกลียดกันจะมีเรื่องอย่างอื่นได้ไง...ขนาดตนเองยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันเกิดขึ้นจริง เรื่องราวคืนนั้นที่ยังจำฝังใจ
“หลบตาทำไม” หาพิรุธจากอีกฝ่ายแล้วถาม
“ไม่ได้หลบ” กลายเป็นนารากานต์ถลึงตาใส่ทันที แต่มันกลับสร้างรอยยิ้มให้สองสามีภรรยา โกหกไม่แนบเนียนเอาเสียเลย
“ไม่ใช่เข้าสุภาษิตเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกงนะ” ทิวากรเองก็ไม่อยากฟันธง คิดว่าพี่สาวน่าจะไม่เลือกผู้ชายคนนี้
“นี่ แกพูดแบบนี้อยากได้เขาเป็นพี่เขยมากนักหรือไง”
“ก็ไม่อยาก แต่ถ้าพี่ชอบเขาผมก็โอเค แค่พี่ทำตามความรู้สึกของตัวเอง” ความสุขของนารากานต์คือสิ่งที่น้องชายคนนี้ต้องการเห็นมากที่สุด ถึงปภพกับตนจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอดก็ตาม
“ฉันกับสองสนับสนุนเธอนะ” วรรณวรินแตะไหล่เพื่อน พลางส่งยิ้มหวานให้จนนารากานต์ต้องขยับเข้าไปใกล้แล้วคว้าตัวเพื่อนมากอดเอาไว้แน่น การมีคนอยู่ข้างกายมันอุ่นใจแบบนี้เอง อย่างน้อยหันหลังไปก็ไม่เดียวดาย ยังมีทั้งน้องชายและน้องสะใภ้คอยเป็นกำลังใจ
“พูดแบบนี้ค่อยมีแรงสู้กับแม่หน่อย” สูดลมหายใจลึกเข้าปอด พลางผละออกมาเล็กน้อยแต่ทว่าสายตาของวรรณวรินกลับปะทะเข้ากับรอยที่ขาเรียว
“หนึ่ง รอยอะไรที่ขา” นารากานต์ก้มมองขาตัวเองแล้วรีบหยิบหมอนมาปิดอย่างรวดเร็ว เธอเผลอตัวจนไม่ทันระวัง ลืมคิดเรื่องรอยที่ปภพฝากเอาไว้ไปเสียสนิท ไหนจะใส่ชุดนอนเป็นกางเกงขาสั้นอีก
หน้าตาเลิกลักของร่างบางทำให้สองสามีภรรยาเหลือบมองหน้ากัน เห็นถึงความผิดปกติบางอย่าง
“ยุง ยุงกัด!” บอกเสียงดังกว่าปกติ หวังให้ทั้งสองคล้อยตามหล่อน
“ยุงตัวใหญ่มากนะ รอยใหญ่เชียว” หนุ่มผู้ช่ำชองมองดูปราดเดียวก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่รอยยุงกัดหรอก แต่เค้นไปถ้าไม่อยากบอกมีหรือคนอย่างนารากานต์จะพูดอะไรออกมาให้เป็นพิรุธ
“หาว ง่วง อยากนอน เชิญทั้งสองท่านออกจากห้องด้วยนะคะ แล้วก็ฝากล็อคห้องด้วย” รีบสอดตัวเข้าไปใต้ผ้านวมแล้วล้มตัวลงนอน ทำเหมือนง่วงเสียเต็มประดาทั้งที่ตอนนี้ตื่นเต็มตาแล้ว กังวลว่าทิวากรจะรู้ทันตัวเอง
แต่หากให้ยอมรับก็กระดากปาก ออกตัวว่าเกลียดปภพนักหนาแต่ดันเป็นคนเอ่ยขอมีเซ็กส์เสียเอง สงสัยตอนนั้นเธอต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ
วรรณวรินปิดประตูให้เสียงเบาที่สุด แล้วค่อยหันมามองสามีที่เตรียมประคองภรรยา ช่วงนี้เขาตัวติดหล่อนแทบไม่ห่าง ยกเว้นตอนไปทำงาน กระนั้นก็ยังหมั่นโทรถามไถ่ทุกสามชั่วโมง เช็คความปลอดภัยของคนท้องตลอด จนเธอต้องขอร้องให้เขาตั้งใจทำงาน
“ยุงจริงเหรอ” หันมาถามคนที่เดินเคียงกัน
“เน่ว่าไงล่ะ เหมือนหรือเปล่า” เธอนิ่งคิดสักพักแล้วส่ายศีรษะ
“ไม่ค่อยเหมือน..” ไม่ใช่แค่ไม่เหมือน แต่มันไม่ใช่รอยยุงกัดต่างหาก สงสัยการไปทะเลครั้งนี้คงมีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้นกับพี่สาวของเขา ซึ่งไม่กล้าจะบอกใครกระทั่งน้องชายที่สนิท หรือเพื่อนรู้ใจอย่างวรรณวริน
“หึ ก็ต้องมาดูกันต่อไปว่าจะลงเอยยังไง” เขาพอจะเดาได้ว่าใครทำรอย แต่เหตุการณ์ก่อนหน้านั้นต่างหากที่ชวนสงสัย
ปภพกับพี่สาวเขาอย่างนั้นเหรอ...จะลงเอยยังไงล่ะ
ขายาวก้าวเข้ามาในห้องทำงานของเจ้านายเมื่อเห็นเอกสารที่อนุมัติเรียบร้อย เธอไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อนเลย และชายหนุ่มก็ไม่ได้เกริ่นสักครั้ง มารู้ตัวอีกทีตอนที่จะต้องไปทำงานต่างประเทศนานถึงสองเดือน
ใบหน้าหวานงอง้ำตามอารมณ์ กระแทกเท้าอย่างไม่คิดจะรักษามารยาท จ้องมายังท่านประธานที่กำลังอ่านเอกสารอย่างขะมักเขม้น เช็คข้อกฎหมายเพื่อไม่ให้มีความผิดพลาดเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากจะจบบริหารแล้ว ปภพยังเรียนนิติศาสตร์เสริมที่มหาวิทยาลัยเปิด ค่อยต่อปริญญาโทและเอกที่ต่างประเทศ
การศึกษาแน่น เกียรตินิยมการันตีความเก่ง นอกจากนั้นยังทำงานที่ต่างประเทศเกือบห้าปีค่อยมาลุยธุรกิจของครอบครัว สร้างอาณาจักรที่แสนยิ่งใหญ่เพียงแค่เอ่ยชื่อทุกคนก็ต้องรู้จัก
“พี่ภพจะให้พลอยไปทำงานที่ฮ่องกงไม่ได้นะคะ” บอกอย่างเอาแต่ใจ ไม่ใช่การประวิงวอนแต่คือคำสั่งของหล่อนที่อยากให้เขาทำตาม
มือหนาวางปากกาลงบนโต๊ะ พลางเงยหน้ามองหญิงสาวเจ้าปัญหาที่เข้าบริษัทมาเพื่อจ้องเขาทุกย่างก้าว ตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการก็มีประดับไว้สวยหรูเท่านั้น ความจริงพลอยพิชชาต้องการกันผู้หญิงทุกคนออกห่างชายที่ตนหมายตาต่างหาก
“ทำไมจะไม่ได้ พี่มอบให้พลอยตัดสินใจทุกอย่างแทนพี่ มีสิทธิ์เท่าพี่เลยนะ..พลอยไม่ต้องการเหรอ” สิทธิ์ขนาดนี้ไม่ใช่จะมีมาบ่อย ชายหนุ่มมอบหมายโปรเจคพิเศษที่ร่วมมือกับเพื่อนชาวฮ่องกงให้หล่อนดูแลโดยเฉพาะ มันไม่ใช่โครงการใหญ่ทั้งยังมีทีมงานอีกสองถึงสามคนไปด้วย
ปภพรู้ดีว่าการส่งหล่อนไปครั้งนี้เพื่อหญิงสาวจะได้ตัดสินใจลาออกจากงานสักที ทำตำแหน่งนี้ไปก็ไม่มีความหมาย ในเมื่อพลอยพิชชาไม่สนใจจะทำงาน...
“แต่พลอยอยากอยู่ที่นี่ช่วยพี่ภพนิคะ ให้พลอยอยู่กับพี่ภพนะ” เริ่มเห็นว่าเขาหน้านิ่งไม่ชอบใจกับคำพูดของตน จึงลดเสียงให้อ่อนลงกว่าเดิม
“พี่อนุมัติคำสั่งไปแล้ว พลอยคงต้องเดินทางวันมะรืนแล้วล่ะ อีกสองเดือนค่อยเจอกัน” ยืนกรานไม่เปลี่ยนใจ เมื่อมีวิธีจะทำให้เธอออกจากชีวิตได้เหตุใดชายหนุ่มจะไม่ทำ ถึงจะดูเหมือนเป็นการใจร้ายก็ตาม
พลอยพิชชาตาแดงก่ำยามที่คิดว่าต้องไปทำงานห่างไกล พอจะทราบจุดประสงค์ว่าเขาอยากให้ตนลาออกจากบริษัท แต่เธอจะไม่ยอมให้มันเป็นตามความต้องการของปภพเด็ดขาด ต้องการพิสูจน์ให้เขาเห็นถึงความมุ่งมั่นของตน
“แล้วพี่ภพจะไปหาพลอยไหม” อย่างน้อยถ้างานนี้ทำสำเร็จ...เขาอาจจะมองเธอมุมใหม่ก็ได้
“ถ้ามีเวลา..” แบ่งรับแบ่งสู้ ถึงจะคิดในใจว่าคงไม่ไปก็ตาม ทีมที่ไปกับหล่อนรับผิดชอบโครงการนี้อยู่แล้ว และเก่งระดับหัวกะทิของบริษัท คงไม่ทำให้งานล่มหรอก
ร่างหนายิ้มให้เธอเล็กน้อยแล้วก้มอ่านเอกสาร พลอยพิชชาทำอะไรไม่ได้นอกจากเม้มปากแน่นกลั้นน้ำตา แล้วออกจากห้องทำงานของประธานบริษัทเพื่อไปฟ้องแม่เลี้ยงของตน ที่มีศักดิ์เป็นน้าของเขา...ถึงจะไม่ใช่น้าที่เกี่ยวข้องทางสายเลือด แต่ก็นับถือและสนิทสนมกันมาก
อย่างน้อยปภพน่าจะเกรงใจท่านบ้าง...
“ภพส่งน้องพลอยไปทำงานที่ฮ่องกงเหรอ” วันต่อมาคุณอรดี ตุลธรซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของแม่ผู้ล่วงลับไปแล้ว เขาจึงนับถือท่านเป็นน้าเพราะที่ไทยก็แทบไม่เหลือญาติสักคน ส่วนมากไปทำธุรกิจที่ต่างประเทศ สร้างครอบครัวและตั้งรกรากถาวรที่นั่น
เมื่อชายหนุ่มให้ตำแหน่ง ก็เหมือนคุณอรดีจะรุกล้ำเขามากเกินขอบเขต เชียร์พลอยพิชชาอย่างออกหน้าออกตา
“ครับ ผมเห็นว่าน้องมีศักยภาพมากพอจะนำโครงการนี้ได้ อีกอย่างผมก็ยุ่งจนไม่มีเวลาไปเอง มองดูภาพรวมและความเหมาะสม...ก็ไม่แปลกที่ผมจะให้พลอยทำงานนี้” ตอบเสียงเรียบแววตานิ่งจนคุณอรดีต้องเลื่อนเก้าอี้นั่งลงตรงข้ามเขา พลางพรูลมหายใจเสียงเบา
“น้องเพิ่งเข้ามายังไม่รู้ระบบ น้าว่ารอก่อนดีไหม”
“ผมอนุมัติเอกสารไปแล้วครับ” เขาไม่สนใจจะระงับ และอยากส่งหญิงสาวไปให้เร็วกว่านี้ด้วยซ้ำ
“งั้นน้าคงทำอะไรไม่ได้ใช่ไหม” หยั่งเชิงขณะมองใบหน้าคมนิ่ง เธอมาเพื่อคุยธุระเรื่องนี้โดยเฉพาะเมื่อลูกเลี้ยงไปขอร้องเสียงเศร้าให้ช่วยเหลือ
“คุณน้ามีธุระอะไรอีกหรือเปล่าครับ พอดีผมต้องรีบไปประชุม” ปิดเอกสารแล้วจ้องอีกฝ่ายนิ่ง
“น้ากับสามีแพลนจะไปเที่ยวสักสองสามเดือน เลยอยากมาพูดเรื่องของภพกับน้องพลอยเอาไว้ล่วงหน้า” ความหมายของคุณอรดีคืออยากให้หลานชายตกล่องปล่องชิ้นกับลูกเลี้ยงของตน จะได้เป็นทองแผ่นเดียวกันสักที
ช่วงนี้ปภพค่อนข้างเป็นที่นิยมของคุณหญิงคุณนายที่มีลูกสาว พาเข้ามาทำความรู้จักไม่เว้นวัน แต่ช่วงนี้น่าจะมีคนเดียวที่เป็นข่าวด้วย และน่าจับตามอง...นารากานต์
“เรื่องของผมกับน้องไม่มีอะไรต้องพูดแล้วนะครับ”
“ภพ น้าเป็นห่วงเรานะต้องดูแลธุรกิจ ไหนจะต้องดูแลลูกชายอีก อย่าหาว่าน้าเข้ามายุ่งมากเกินไปเลยนะ แต่น้าอยากหาคนมาดูแลลูกกับภพ...น้องพลอยเหมาะสมที่สุดแล้ว” เหตุผลพวกนั้นถูกร่างสูงปัดตกทันที เขาไม่อยากเสียเวลาพูดคุยมากกว่านี้ให้อารมณ์เสีย
“เรื่องนั้นให้ผมเป็นคนตัดสินใจเองดีกว่าครับ ขอบคุณคุณน้ามากที่หวังดี...ผมคงต้องเข้าประชุมแล้ว ขอให้เดินทางปลอดภัยครับ” ลุกยืนแล้วสวมเสื้อสูทเตรียมพร้อมเข้าประชุม ไม่เห็นว่าเรื่องที่คุณอรดีมาพูดจะสำคัญตรงไหน
“แล้วเรื่องภพกับลูกของคุณภวิกาล่ะ มันยังไงกันแน่” แต่ก็ยังถูกรั้งไว้ด้วยข่าวฉาวที่โด่งดังไปที่วงสังคม ชายหนุ่มชะงักครู่หนึ่งก่อนสบตากับคนอายุมากกว่า
“ไม่...เรากำลังอยู่ในช่วงศึกษากันและกันครับ” ตอนแรกเกือบปฏิเสธ แต่ไม่รู้ทำไมจึงเปลี่ยนใจทันที จากหน้ามือเป็นหลังมือด้วยซ้ำ
แล้วแผนการบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัว จนปภพแทบไม่มีสมาธิในการประชุมครั้งนี้ ใจมันอยากร่างเอกสารสัญญาขึ้นโดยเร็ว...และหวังว่าเธอจะตอบรับเช่นกัน
กลับมาจากบริษัทเธอก็เลือกจะขึ้นไปชำระร่างกายแล้วนอนพัก ตอนเย็นค่อยลงมากินข้าวครั้งเดียว ตอนแรกว่าจะไปเล่นกับหลานสาวแต่น้องยิหวาก็ไม่อยู่บ้าน เห็นบอกว่าพ่อกับแม่พาออกไปกินข้าวข้างนอก
หมั่นไส้คนมีครอบครัวเสียจริง...
ทว่าเสียงเคาะประตูและสารที่มารดาฝากแม่บ้านมาส่งทำให้ต้องออกจากห้องนอน แล้วลงไปข้างล่างเพื่อพบแขกที่มาหาไม่รู้จักเวล่ำเวลา ถูกเธอบ่นในใจไปหลายรอบ
“แม่ให้คนไปเรียกหนึ่งมามีธุระอะไรหรือเปล่าคะ” พอก้าวเข้ามาในห้องรับแขก เจอคนที่มาหาก็ถอนหายใจเสียงหนัก ทำหน้าบอกบุญไม่รับทันทีที่เจอหน้า ไม่ได้พบเขามาหลายวันแล้ว เกือบสัปดาห์ด้วยซ้ำตั้งแต่กลับมาจากทะเล
เธอพยายามจะปล่อยเรื่องนั้นให้หายไป เหมือนรอยช้ำที่เริ่มจางลงและไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็เช่นกัน
“คุณภพเขามาหาเราน่ะ” เบนสายตามามองร่างสูง ที่ใส่ชุดเป็นทางการน่าจะเพิ่งออกจากบริษัท
“อ้อ ไม่ว่างค่ะ เชิญคุยกันตามสบายเลย” ตอบอย่างไม่แยแสแล้วเตรียมจะเดินออกจากห้องรับแขก ไม่ไว้หน้าคนเป็นแม่สักนิดจนคุณภวิกาเกือบลุกจากโซฟาเพื่อคว้าแขนบุตรสาวเอาไว้แล้ว แต่เหมือนปภพจะหยุดยั้งนารากานต์เอง
ด้วยการเอ่ยประโยคที่น่าตกใจ...
“ผมต้องการรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นครับ ผมอยากแต่งงานกับหนึ่ง”
นารากานต์อ้าปากค้างด้วยความช็อคไปแล้ว เธอไม่คิดว่าประโยคขอแต่งงานจะออกมาจากปากผู้ชายอย่างปภพ!