บทที่๗ (๑)
๗
เผยอปากค้างครู่หนึ่ง คิดว่าตัวเองหูฝาดไปเสียอีกที่เขาเอ่ยเช่นนั้น การแต่งงานไม่มีอยู่ในหัวของหล่อนเลยถึงจะถูกโจมตีจากข่าวคาว เรื่องของตนถูกเอาไปพูดอย่างสนุกปาก แต่คิดว่าอีกไม่นานมันก็คงจะซาไปเอง
ใครจะคิดว่าคราวนี้ประธานหนุ่มหล่อจะบุกมาหาถึงบ้าน พร้อมเอ่ยขอรับผิดชอบเองกับปาก ทั้งที่ก่อนหน้าเขาย้ำชัดถึงความสัมพันธ์ของเรา แล้วเหตุผลกลใดจึงได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แถมยังพูดต่อหน้ามารดาของหล่อนอีก
“คุณจะบ้าหรือไง!” กำมือแน่นพลางเอ่ยเสียงดัง จ้องร่างหนาตาเขียวต่างจากคุณภวิกาที่ปากสั่นอย่างตื่นเต้น จะยิ้มก็ไม่เชิงจะร้องก็ไม่ใช่ กำลังปลื้มปีติที่ตนทำความปรารถนาสำเร็จเป็นครั้งแรก การจับคู่บุตรสาวเพิ่งสัมฤทธิ์ผล
คราวนี้คนที่เอ่ยปากคือฝ่ายชาย ท่านไม่ได้บังคับหรือพูดขู่เข็ญให้ปภพมารับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้น บางทีอาจเป็นนิมิตหมายอันดีถึงการดองของสองตระกูล
“แม่คะ เราต้องการเวลาส่วนตัว คุณมากับฉัน” ก้าวเข้าไปคว้าแขนหนาพลางใช้แรงทั้งหมดเพื่อดึงเขาให้ลุกขึ้น จากนั้นจึงหันมองคุณภวิกาที่ยังนั่งอึ้ง ยกมือปิดปากแต่ก็ไม่สามารถปกปิดความดีใจเอาไว้ได้ เพราะมันแสดงออกทางแววตาหมดแล้ว
เธอโมโหเขาที่เข้ามาพูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง หญิงสาวอุตส่าห์เอาหูไปนาเอาตาไปไร่หลายวัน ปล่อยเรื่องมันซาลงเอง แต่เหมือนร่างหนาจะไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น
ความรับผิดชอบของอีกฝ่าย เธอไม่ได้ต้องการสักนิด!
พาเขามาคุยกันอยู่สวนข้างบ้าน ค่อนข้างเป็นส่วนตัวเพื่อจะไม่มีคนมาได้ยิน พอถึงจุดหมายก็ปล่อยมือหนาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าสวยแดงก่ำด้วยความโกรธ หากทำได้ก็คงพ่นไฟใส่ท่านประธานไปแล้วล่ะ
คำว่าแต่งงานหากมันเอ่ยออกมาจากแม่ของตนยังพอปฏิเสธง่าย ทว่าพอเป็นปภพที่พูดด้วยแววตาแรงกล้าก็ยากที่คุณภวิกาจะไม่บังคับเธอ เชื่อเลยว่าท่านต้องฝันหวานไปถึงการจัดงานแต่งให้ลูกสาวเรียบร้อยแล้ว
มือบางแทบจะยกขึ้นยีศีรษะ ไล่ความเครียดที่ทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าเกร็งไปหมด กัดฟันกรอดขณะจ้องผู้ชายที่ยืนอยู่ต่อหน้า กำหมัดแล้วข่มใจไม่ชกเขาให้รู้แล้วรู้รอด ทำไมทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับปภพด้วย ทั้งที่เธอเองก็มีสิทธิ์ตัดสินใจเช่นเดียวกัน
“เป็นบ้าไปแล้วเหรอ เราตกลงกันแล้วว่าจะไม่มีการรับผิดชอบ ฉันไม่ต้องการให้คุณมารับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น” โวยวายเสียงเข้ม บังคับไม่ให้มันดังเกินไปจนแม่บ้านที่อยู่ห้องครัวได้ยิน ตอนนี้เธอพยายามเป็นอย่างมากที่จะข่มความโกรธเอาไว้
หากเขาไม่บ้าก็ต้องสติไม่สมประกอบแล้วล่ะ คนเกลียดกันจะให้มาแต่งงานอยู่กินหวานชื่นได้อย่างไร
หล่อนทำไม่ได้หรอก...
“ฉันต้องการแต่งงานกับเธอ” ย้ำเจตนารมณ์ของตนเองอีกครั้ง ผ่านการคิดใคร่ครวญมาอย่างดี ไม่ใช่ว่าจะสุ่มสี่สุ่มห้าเดินเข้าบ้านฤกษ์เดชาแล้วขอแต่งงาน แต่ทุกอย่างเขาได้ร่างเอาไว้หมดแล้ว ยิ่งกว่าสัญญาหลายพันล้านอีก
เพราะต้องเอาชีวิตแต่งงานมาเดิมพันอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้เขาค่อนข้างเห็นแก่ตัวที่ดึงนารากานต์เข้ามาร่วมด้วย แต่ก็มองไม่เห็นคนอื่นที่เหมาะสมไปมากกว่าหล่อนแล้ว
เราไม่ได้รักกัน...ตอนหย่าอะไรมันก็คงง่าย
“เพื่อ!” ตะโกนถามอย่างฉงน
คำว่าแต่งงานไม่ได้อยู่ในหัวของเธอเลย และเชื่อว่ามันก็ไม่ได้อยู่ในความคิดของปภพเช่นเดียวกัน วันนั้นเขายังย้ำชัดเจนว่าจะไม่มีการรับผิดชอบ แล้วผ่านไปไม่นานกลับเดินมาขอแต่งงานต่อหน้ามารดาเธอถึงบ้าน
มันเกิดอะไรกับสมองของปภพหรือเปล่า ดวงตากลมจ้องเขาเหมือนต้องการค้นหาความผิดปกติ แต่อีกฝ่ายก็นิ่งเสียเหลือเกิน
“ฉันเบื่อกับการที่ต้องเข้าสังคม มีผู้หญิงมาล้อมหน้าล้อมหลัง ฉันอยากมีชีวิตแบบสงบสุขแล้วเธอคือทางเลือกเดียวในตอนนี้ ยังไงเราก็ไม่ได้รักกันไม่ใช่เหรอ” ประมวลผลจากคำพูดของประธานหน้าหล่อคือไม่ได้ต้องการแต่งงานเพราะความรัก หรือรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
แต่ทว่าเขาต้องการให้หล่อนเป็นไม้กันหมาสินะ...พอเจอความจริงตีแสกหน้าจะว่าเจ็บก็ไม่ใช่ ผิดหวังก็ไม่เชิง มันเป็นแค่อาการจี๊ดที่ใจเหมือนมดกัด แล้วค่อยหายเอง
“อีกอย่างฉันก็มีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้ชื่อเสียงของเธอเสียหาย ฉันต้องการรับผิดชอบในส่วนนี้ด้วย” เกือบส่งเสียงหัวเราะเยาะในลำคอกับเหตุผลหลัง เขาก็แค่เอ่ยเพื่อให้ตนเองดูดีเท่านั้นแหละ
ใบหน้าหวานบึ้งตึงพลางกัดฟันแน่นข่มอารมณ์ เธอเองก็ไม่ทราบว่าทำไมพอรู้เหตุผลยิ่งเกลียดอีกฝ่ายมากกว่าเดิม
“แต่ฉันไม่ต้องการ! ฉันอยู่แบบนี้ก็มีความสุขดีแล้ว” สองสายตาสบกันนิ่ง เธอมั่นใจว่าตนเองไม่ต้องการแต่งงานกับเขาเพื่อเชิดหน้าเป็นคุณผู้หญิงของวิมลเมฆา แต่ความจริงมีเพียงแค่เปลือกภายนอกหุ้ม ไม่มีความรักอย่างจริงใจ
เหมือนเซ็กส์ของพวกเขาที่มีเพียงความต้องการ ไม่ได้เริ่มจากความรัก...มันผิดแผนที่นารากานต์วางเอาไว้หมดทุกอย่าง
ร่างสูงหลบสายตาแล้วเลือกจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอยู่ครู่หนึ่ง สักพักเสียงข้อความก็ดังจากมือถือของหล่อน จนต้องยกขึ้นมาดูอย่างสงสัย พบอีเมลหนึ่งฉบับที่ส่งมาจากคนตรงข้าม เล่นเอาเธอสับสนไปหมด
“ฉันส่งสัญญาที่ร่างคร่าวๆ เข้าอีเมลของเธอ อ่านดูแล้วพิจารณาเองล่ะกันว่าได้ประโยชน์มากแค่ไหน” จะหัวเราะก็หัวเราะไม่ออก นิ่งค้างอยู่อย่างนั้นขณะจ้องใบหน้าคมที่ไม่มีวี่แววล้อเล่น เขาทำมันอย่างจริงจัง
การร่างสัญญาคงไม่ง่าย ชายหนุ่มคิดเรื่องนี้มาหลายวันแล้วสินะ นารากานต์ถึงกับพูดไม่ออกแล้วค่อยกดอ่านสัญญาทีละข้อ พลางประมวลผลไปด้วยกลัวว่าจะอ่านตัวหนังสือตกหล่น
ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะให้นักกฎหมายร่างมันขึ้นมา เรื่องจะไม่แพร่งพรายออกไปข้างนอกหรือไง
แต่จากที่อ่านทั้งหมดห้าข้อก็ไม่ได้ถือว่าเธอเสียหาย ไหนจะการอยู่บ้านเดียวกันคนละห้อง ไม่แตะเนื้อต้องตัว มีพื้นที่ของตัวเอง สัญญาแต่งงานเพียงแค่สามปีและเมื่อหย่าเธอได้สินสมรสครึ่งหนึ่ง เชื่อว่าคงไม่ต่ำกว่าร้อยล้าน
เพราะถ้าน้อยกว่านั้น...เธอไม่ยอม!
“นี่คุณกำลังเอาเงินมาซื้อฉันเหรอ ขอโทษนะคุณภพ ฉันเองก็รวยเหมือนกันไม่ต้องง้อเงินของคุณ” การแต่งงานหนึ่งครั้งแล้วหย่า โดยที่เธอถูกตราหน้าว่าเป็นแม่ม่ายมันไม่ง่ายเลย คำถากถางพร้อมจะพุ่งตรงมาตลอดเวลา ไหนจะสายตาเหยียดหยามอีก ได้เงินมาทดแทนก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อ
ถึงจะเริ่มคล้อยตามแต่ยังคงไว้ท่า เธอไม่เห็นถึงความจำเป็นต้องแต่งงานกับเขา...นอกจากทำเพื่อความสะใจบางอย่าง ที่ตนก็เพิ่งคิดออกเช่นกัน
“เชื่อฉันเถอะว่าเธอปฏิเสธไม่ได้หรอก..” ปภพพูดต่อหน้ามารดาหล่อนขนาดนั้น ถ้าปฏิเสธมีหวังบ้านแตกหรือไม่ตนก็ต้องออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น เขารู้จุดอ่อนดีว่าคุณภวิกาต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกสาวได้แต่งงานกับคนที่คู่ควร
ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพ่อม่ายลูกติดผู้ถือครองทรัพย์สินกว่าแสนล้าน...ปภพ วิมลเมฆา
“คุณมันบ้าไปแล้วจริงๆ” มองหน้าเขาพลางส่ายศีรษะ ทึ่งในแผนการอันแยบยลจนน่ากลัว ถ้าแต่งเข้าไปไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง
แต่พอคิดว่าชายหนุ่มมีน้องวินเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่ก็เสียชีวิตไปหมดแล้ว เขาอยู่ลำพังกับลูกชายเท่านั้น...ไม่มีญาติคนอื่นอยู่ในบ้านให้กวนใจ ก็น่าพิจารณาเหมือนกัน
“สัญญาสามปีกับเงินที่เธอจะได้ ฉันจะไม่แตะต้องเธอแม้แต่ปลายเล็บ ต่างคนต่างอยู่มีแค่สถานะที่คนภายนอกมองเข้ามา ครบกำหนดก็แค่หย่า” ย้ำอีกครั้งถึงสิ่งที่พวกเขาจะกระทำต่อกัน การแต่งงานในนามที่หล่อนไม่ได้ต้องการ
“แล้วชื่อเสียงของฉันล่ะ ฉันต้องถูกตราหน้าว่าเป็นม่าย”
“เธอไม่สนใจชื่อเสียงอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ฉันยินดีจะให้คนอื่นเข้าใจว่าเธอเป็นฝ่ายทิ้ง”
“หัวการค้าดีนิ...ขนาดเรื่องแต่งงานยังไม่เว้น” หลุดหัวเราะออกมาทันทีกับความเห็นแก่ตัวของปภพ ไม่แปลกหรอกเขาคือนักธุรกิจนี่นา ทุกอย่างที่ทำก็ต้องนึกถึงผลกำไรไว้ก่อนอยู่แล้ว
“ไปคิดดูให้ดีแล้วกัน” เธอเองก็ทำงานสายเดียวกัน สงสัยคงต้องตามชายหนุ่มให้ทันเสียแล้ว
ใบหน้าหวานเชิดขึ้น ปลายคางแทบจะชี้หน้าเขาอยู่แล้วพร้อมเปล่งวาจาเรียบนิ่ง แต่ทรงพลังให้คนตรงข้ามได้รู้ว่าตนตัดสินใจอย่างไร ใช้เวลาไม่ถึงสามสิบนาทีแทบไม่ต้องหว่านล้อมก็เหมือนปลาตัวใหญ่จะกินเบ็ดอย่างง่ายดาย
มุมปากหยักยกยิ้มสมใจยามได้ยินข้อต่อรองของเธอ...
“ถ้าเราหย่ากันฉันต้องการสินสมรสทั้งหมด รวมทั้งการบอกทุกคนว่าเราเข้ากันไม่ได้และคุณเป็นฝ่ายนอกใจฉัน” ข้อตกลงที่เธอเพิ่มขึ้นใหม่ทำให้ร่างหนาต้องขมวดคิ้ว ไม่นึกว่าหล่อนจะหัวการค้ากับตนเหมือนกัน
แต่ยังไม่เท่ากับบอกว่าตอนเลิกเขาต้องเป็นฝ่ายนอกใจ...ปภพอยากถามกลับว่าตนดูเหมือนคนเจ้าชู้หรือไง
นารากานต์นิ่งไปพักใหญ่เมื่อพูดจบ ผุดคิดถึงประโยคที่เคยเอ่ยกับมารดาถึงเรื่องของปภพและตนเอง คุณภวิกาไม่ได้ต้องการให้เธอแต่งงานกับคนที่รัก แต่ต้องการลูกเขยที่เพียบพร้อมต่างหาก ซึ่งชายหนุ่มคือคนที่แม่เลือกเอาไว้
อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าหย่าเพราะอีกฝ่ายนอกใจ ท่านจะรู้สึกเช่นไร...
“แม่ต้องการให้หนึ่งแต่งงานกับผู้ชายคนนั้นมากเหรอ ถ้าหนึ่งแต่งไปแล้วไม่มีความสุดหรือสุดท้ายลงเอยด้วยการหย่า แม่ก็ยังจะให้แต่งใช่ไหม”
“ใช่ คุณภพเหมาะสมกับลูกที่สุดแล้ว”
จำประโยคนั้นได้ขึ้นใจ...แล้วเธอจะทำให้แม่ได้เห็นเองว่าการผิดหวังมันเป็นอย่างไร
“หมายความว่าเธอตกลงแต่งงานกับฉัน”
“ใช่ ฉันตกลงแต่งงานกับคุณและเราต้องหย่ากันในระยะเวลาสามปี” การแก้แค้นที่หอมหวานกำลังจะเกิดขึ้น แม่ที่เอาแต่บังคับเรื่องแต่งงานมาตลอด พอได้สมใจแล้วเสียมันไปในสามปีต่อมาท่านจะรู้สึกอย่างไร
แต่ที่แน่ๆ นารากานต์ตัดสินใจวินาทีนั้นเองว่าหลังหย่าตนจะทิ้งทุกอย่างแล้วบินจากประเทศไทย เพื่อไปใช้ชีวิตในต่างแดน...
หลังจากวันนั้นข่าวการดองของสองตระกูลก็แพร่กระจายไปทั่ววงสังคม ชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นที่หมายตากำลังจะสละโสดแล้ว กับลูกสาวคนโตของคุณทวีปหลังจากฝ่ายหญิงโสดมานาน ความคิดเห็นส่วนหนึ่งบอกว่าเป็นการแต่งงานเพื่อรับผิดชอบ ไม่ได้เกิดจากความรัก
ทำให้หลายคนยังมีหวังในตัวของประธานรูปหล่อ และยังไปมาหาสู่เขาเช่นเดิมไม่สนใจสักนิดว่าอีกไม่นานปภพจะเดินเข้าสู่ประตูวิวาห์
รถยนต์จอดหน้าบ้านหลังใหญ่ มือหนาจัดเสื้อสูทให้เข้าที่ก่อนจะลงมาข้างล่าง สูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกกำลังใจ คุณทวีปเป็นฝ่ายนัดเขามาเพื่อคุยเรื่องการแต่งงาน หลังจากประกาศสละโสดเมื่อสามวันก่อน
“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่มาช้า พอดีช่วงนี้งานหนัก” เข้ามาในห้องรับแขกก็เห็นครอบครัวฤกษ์เดชานั่งอยู่อย่างพร้อมเพรียง จะหายไปก็มีแค่วรรณวรินและเด็กหญิงศศิมณฑล เธออยู่ร้านดอกไม้ยังไม่กลับบ้าน
กล่าวอย่างรู้สึกผิดที่ให้ผู้ใหญ่รอ ดวงตาคมกวาดมองโซฟายาวที่มีประมุขทั้งสองนั่งเคียงกัน ด้านซ้ายเป็นว่าที่เจ้าสาว ส่วนด้านขวาคือคู่อริที่ยังไม่ญาติดีกัน ถึงอีกไม่นานจะได้ดองเป็นทองแผ่นเดียวกันก็ตาม
สายตาของทิวากรก็ยังแสดงความไม่เป็นมิตร...
“ข้ออ้างหรือเปล่าครับ” เลือกเดินไปนั่งลงข้างนารากานต์ ก้นยังไม่ทันอุ่นก็ถูกชายหนุ่มอายุน้อยกว่าเอ่ยวาจาถากถาง
เขาไม่เห็นด้วยกับการแต่งงาน รู้ว่าพี่ไม่ได้รักอีกฝ่ายแต่ไม่อาจทราบว่าเหตุใดจึงตกลงแต่ง พยายามถามก็ไม่ได้คำตอบ จึงต้องตามน้ำไม่สามารถขัดขวางอะไรได้
“สอง” มารดาเอ็ดบุตรชายเสียงเข้ม แล้วค่อยหันมายิ้มให้ว่าที่ลูกเขยของตนเอง
ไม่คิดว่าวันนี้มันจะเกิดขึ้นจริง มันเหมือนฝันที่สองตระกูลจะได้ดองกันสักที ท่านหายห่วงบุตรสาวแล้ว เชื่อว่าต่อจากนี้ปภพจะดูแลนารากานต์เป็นอย่างดี ถึงวันนี้จะยังไม่มีความรักแต่อีกไม่นานหรอก...ทุกอย่างมันจะเข้าที่เข้าทางเอง
“ไม่เป็นไรจ้ะ สายไปแค่สิบนาทีเอง อีกอย่างเราก็คนกันเองทั้งนั้นอีกไม่นานก็เป็นญาติกันแล้ว” บอกกับปภพเสียงหวาน เล่นเอาคนเป็นสามีถึงกับผินหน้ามองพลางถอนหายใจเสียงเบา ท่านเป็นประมุขของบ้านแต่ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ
คุณทวีปรู้จักกับปภพเป็นอย่างดีจากธุรกิจที่อีกฝ่ายทำ ถือว่าหนุ่มคนนี้ค่อนข้างเอาการเอางาน ขยันขันแข็งพอสมควร ส่วนเรื่องผ่านการแต่งงานมาแล้วทั้งยังมีลูกติดก็ไม่ได้เป็นข้อด้อยมากนัก เสียแต่เรื่องเดียวที่ท่านกังวลคืออีกฝ่ายไม่มีญาติในไทยเลย
เริ่มเป็นห่วงว่าลูกสาวจะต้องทำทุกอย่างเพียงลำพัง ไม่มีแม่ย่าหรือคนในครอบครัวเขาคอยบอกสอนเรื่องงานบ้านงานเรือนที่นารากานต์ต้องควบคุมดูแล ทว่าท่านก็เชื่อในตัวของลูกพอสมควร
ว่าจะจัดการทุกอย่างได้สมบูรณ์แบบ
“ผมขอเข้าเรื่องเลยนะครับ ผมอยากจัดงานแต่งสัปดาห์หน้า..” เหลียวมองแล้วสบตากับนารากานต์ ก่อนจะเกริ่นเรื่องสำคัญที่ต้องแจ้งให้ทุกคนทราบ ถึงมันจะค่อนข้างน่าตกใจมากแค่ไหน แต่เขาก็ได้ปรึกษากับว่าที่เจ้าสาวเรียบร้อยแล้ว
“สัปดาห์หน้า!!” ใบหน้าของทั้งสามคนตกอยู่ในอาการอึ้ง