บทที่๔ (๒)
“เดินไปก่อน อย่าเพิ่งแสดงพิรุธ” พยายามแกะแขนเธอออกแต่หญิงสาวก็ไม่ยอมปล่อย เพราะรู้ว่าอาชวินกำลังมองไม่ละสายตา เธอจึงได้เอนศีรษะซบเขาอย่างที่ไม่เคยทำ จนร่างสูงพูดไม่ออกแต่ก็ยอมเล่นตามน้ำ
เพราะแววตาแสนเศร้าโศกของคนที่ไม่เคยยอมลดราวาศอกให้เขาสักครั้ง ทว่าวันนี้กลับเผยมุมอ่อนแอให้เห็น
พอเดินพ้นชายหาดมายังโซนโรงแรมก็รีบผละห่างจากเขาทันที เธอเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาตอนไหนไม่อาจทราบอย่างรวดเร็ว สูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกพลังกายและใจให้กลับมา ไม่อยากจมกับความรู้สึกเศร้านานเกินไป
แต่มันก็ทำได้ยากเหลือเกิน
อดีตที่คิดว่าลืมไปแล้ว แต่พอได้เจอหน้ากันอีกครั้งภาพเก่าก็ย้อนกลับเข้ามาในหัวจนเธอเหมือนถูกดึงเข้าไปในความเจ็บปวดซ้ำอีก
“ขอบคุณมากที่ไม่แหกหน้าฉัน” บอกเสียงเบาระหว่างก้าวไปตามทางเดิน พลางใส่รองเท้าให้เรียบร้อย หล่อนคิดว่าเขาอาจจะพักที่โรงแรมเดียวกัน ในละแวกนี้มีไม่กี่โรงแรมหรอกที่ใหญ่สมฐานะท่านประธานเข้าพัก
“เธอรู้จักเขาเหรอ” ไม่เคยเห็นหญิงสาวทำหน้าหม่นหมองขนาดนี้มาก่อน เขาจึงไม่อาจปล่อยหล่อนไว้คนเดียวได้ ระหว่างเดินเพื่อกลับที่พักจึงได้เอ่ยถามด้วยความสงสัย คาดเดาไว้บ้างแล้วแต่ก็ไม่อยากฟันธงเสียทีเดียว
“ไม่รู้จัก” ตอบปฏิเสธทันทีโดยไม่คิดไตร่ตรอง ก็ตอนนี้เธอกับผู้ชายคนนั้นขาดกันไปแล้วนี่นา...
ระหว่างเดินกลับโรงแรมเธอก็เหลือบเห็นร้านสะดวกซื้อเสียก่อน พลันคิดบางสิ่งขึ้นมาได้จึงคว้าแขนหนาเอาไว้ ทำให้เขาต้องหยุดชะงักก่อนผินหน้ามามองหล่อน
“คุณว่างไหม..” คำถามอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เล่นเอาปภพถึงกับมองเธอด้วยความฉงน
“ทำไม”
“ดื่มเป็นเพื่อนหน่อย ฉันไม่ชอบดื่มคนเดียว รู้สึกเหงาเกินไป” พูดจบไม่ทันให้เขาได้ตอบรับเธอลากร่างสูงเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ ไม่รู้ว่าแรงหล่อนเยอะหรือเป็นเขาที่ยอมง่ายเกินไป จึงมาลงเอยในร้านสี่เหลี่ยมที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำจนหนาว
มาหยุดยืนด้านหน้าเคาน์เตอร์แล้วเลือกแอลกอฮอล์อย่างคล่องแคล่ว เหมือนจดจำชื่อได้เป็นอย่างดี พนักงานจึงไปหยิบมาให้หล่อนสามขวด
ปภพมองแล้วก็ต้องส่ายหน้า...เชื่อเลยว่าถ้าดื่มหมดหล่อนคงน็อคไปอีกสองวัน คนตัวเล็กผละไปซื้อขนมขบเคี้ยวมาวางไว้หน้าเคาน์เตอร์
“เลี้ยงด้วยสิ ฉันไม่มีเงิน...ถือว่าสงเคราะห์คนอกหักก็ได้” การมางานแต่งครั้งนี้หญิงสาวพกแค่โทรศัพท์ แล้วไม่คิดว่าจะต้องใช้เงินเพราะอย่างไรก็กะมากินฟรีอยู่แล้ว ใครจะไปคิดว่าต้องมาเจอคนรักเก่าล่ะ
เธอออกจากงานทั้งที่ดื่มไวน์ไม่หนำใจ อาหารก็ตกท้องไม่ถึงสามร้อยแคลอรี่ด้วยซ้ำ เสียเงินเป็นหมื่นแต่กินไม่ถึงราคา...
“เธออกหักเหรอ” จำต้องยื่นแบงค์พันให้พนักงานแล้วพาหล่อนออกมานอกร้าน ถามเรื่อยเปื่อยเหมือนไม่ได้สนใจ แต่ก็แอบเก็บข้อมูลเอาไว้เหมือนกัน จำได้ว่าคุณภวิกาเคยบอกเรื่องลูกสาวโสดมาตลอด ไม่เคยมีแฟนสักคน
สงสัยท่าจะไม่จริงเสียแล้วล่ะมั้ง
“อือ...นานมาแล้วล่ะ” ตอบเสียงเบา เหมือนต้องการพูดกับตัวเองมากกว่า
ร่างสูงรับถุงมาถือแล้วเอาเงินทอนทั้งหมดใส่กระเป๋ากางเกง ออกจากร้านโดยมีร่างบางเดินเคียงกาย เขาพยายามระวังไม่ให้หล่อนเดินลงข้างทาง ดูเหมือนเธอจะดื่มไปเยอะพอสมควร ดวงตาคมก้มมองขวดเหล้าในมือของตนก็ถอนหายใจเสียงเบา
เขายอมตามใจซื้อเหล้าให้เธอได้อย่างไรนะ
“มาบอกให้ฉันเลี้ยงเหล้า...เราดีกันแล้วหรือไง” ถามเชิงเย้า ปกติไม่เคยจะพูดดีกัน หญิงสาวมักหาเรื่องชวนทะเลาะตลอดยามเจอหน้า ถึงโดนแม่เธอจับให้คู่กันก็ตาม
“ใครเลี้ยงเหล้าฉันก็นับญาติหมดนั่นแหละ เหล้าหมดค่อยว่ากันใหม่” ตอบติดตลกแล้วเข้ามาในอาคารสูง คิดว่าเธอคงพักที่เดียวกันจึงไม่ได้เอ่ยถาม ระหว่างอยู่ในห้องโดยสารหล่อนก็พึมพำอยู่คนเดียว เหมือนต้องการพูดกับตัวเองมากกว่าจะชวนคุย
ชายหนุ่มคิดถึงใบหน้าของชายคนนั้นแล้วก็นึกสงสัย คงไม่ใช่รู้จักกันแค่ผิวเผินหรอก ถ้าทำให้นารากานต์ไม่เป็นตัวของตัวเองได้ขนาดนี้
บางทีคนที่หักอกเธอ...อาจเป็นดาราคนนั้นก็ได้
“โอ๊ะ ห้องคุณอยู่ชั้นเดียวกับห้องฉันเลย ไปห้องคุณแล้วกัน” เขามาชั้นที่พักของตนโดยลืมถามหล่อนไปเสียสนิท แต่พอออกมาจากลิฟต์ก็ได้ยินเสียงของนารากานต์บอก ดวงตากลมมองเลขชั้นพลางฉีกยิ้มกว้าง
แต่ประโยคท้ายเล่นเอาเขาเบิกตากว้างพลางส่ายศีรษะทันที ปภพไม่ได้มางานแต่งอย่างเดียว ยังรวมไปถึงดูโปรเจคที่กำลังรุดหน้าไปไกล การสร้างรีสอร์ทริมทะเลโดยร่วมทุนกับนักธุรกิจชาวไต้หวัน ใกล้กำหนดเปิดเข้าไปทุกทีจึงอยากมาตรวจตราความเรียบร้อย
“เดี๋ยวๆ ฉันไม่ได้บอกว่าจะให้เข้าห้องเลย เธออย่าคิดเองเออเองแบบนี้สิ” เดินมาหยุดหน้าห้องตัวเองเสียแล้ว หญิงสาวก็มาหยุดข้างเขาพร้อมเร่งเร้าอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนเขาเป็นเพื่อนมากกว่าศัตรู สามารถแสดงออกอย่างไรก็ได้โดยไม่ต้องสวมหน้ากากยิ้มแย้มเป็นคนแสนดี
“เปิดเร็ว พูดมากอยู่ได้ ไม่บ่อยนะที่ฉันจะพูดดีกับคุณน่ะ” อันนี้ก็ค่อนข้างเห็นด้วย เจอหน้ากันก็บ่นไฟแล่บจนหูแทบชา ไหนจะพูดรัวเร็วฟังเกือบไม่ทัน...
“ฉันต้องขอบคุณเธอใช่ไหม” ถามเสียงเนือย
“อือ”
จำต้องเปิดประตูห้องแล้วปล่อยร่างบางเข้าไปข้างใน หล่อนวิ่งดูรอบห้องเหมือนว่าเป็นห้องพักของตัวเอง พลางร้องอย่างสดชื่นแล้วชนขอบเตียงจนเจ้าของห้องเกือบวิ่งเข้าไปประคองกลัวเธอล้ม ทว่าเห็นหญิงสาวยังปกติดีจึงปล่อยเธอตามสบาย
“โห ห้องคุณวิวสวยกว่าห้องฉันอีก แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหรอก นั่งพื้นได้ไหมฉันไม่ถนัดนั่งบนโซฟา..แก้ว แก้วอยู่ไหน” ม่านถูกเปิดออกจนเห็นวิวทะเลและเลียบชายหาด มองดูวิวแค่ไม่กี่วินาทีก็หันมาสนใจของในถุงที่เขาถือ
ห้องกว้างมีมุมนั่งเล่นติดระเบียง เธอจึงคิดว่าจะดื่มด่ำกับความขมของน้ำสีเข้มอยู่ตรงนี้ เดินออกจากห้องนอนไปที่ห้องดูทีวีซึ่งถูกจัดเป็นสัดส่วน ตรงไปที่ตู้เย็นแล้วหยิบแก้วมาสองใบ เผื่อเจ้าของห้องหนึ่งใบ
หยิบเหล้าออกจากถุง...เลือกบรั่นดีขวดขนาดกลางออกมา แล้วยิ้มกว้างพลางเปิดออกอย่างง่ายดายจนเขาอึ้ง ถึงจะเป็นขวดแบบฝาหมุนแต่มันก็ถูกปิดผนึกมาอย่างดี ไม่คิดว่าแรงผู้หญิงจะสามารถเปิดได้ ทั้งที่เขาเอื้อมมือคิดจะช่วยเปิดแล้วแท้ๆ
เก้อเลย...
“เธอเซียนเหมือนกันนะ” เอ่ยชมจากใจจริง ทำเอาร่างบางหันมายักคิ้วให้เขา
“มันแน่อยู่แล้ว..แม่ฉันให้ฉายาว่าเมรีเลยนะ..เมรีขี้เมาน่ะรู้จักไหม” ต่อจบประโยคเองแล้วเริ่มรินบรั่นดีลงแก้วให้เพื่อนร่วมวงก่อน เธอไม่ค่อยชอบดื่มคนเดียวเท่าไหร่ หญิงสาวมักจะพูดคุยยามเมาได้ที่ เน้นสังสรรค์ไม่เน้นปลีกวิเวก
ยังดีที่มีปภพอยู่เป็นเพื่อน ถึงเขาจะไม่ค่อยเต็มใจก็ตาม แต่เวลานี้เธอเองก็ต้องการระบายความอึดอัดภายในใจ แล้วเขาก็เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะวินาทีนี้สนิทกับเขามากที่สุด
อย่างน้อยก็ไม่ต้องมานั่งห่วงมารยาท...เพราะเธอไม่เคยมีมารยาทกับเขาอยู่แล้ว
“เธอไม่รักษาภาพพจน์หน่อยเหรอ” รับแก้วที่เทน้ำสีอำพันมาดื่ม พลางถามอย่างสงสัย หล่อนสามารถพูดทุกอย่างกับปภพได้อย่างไม่เขินอายแต่อย่างใด
“รักษาทำไม ฉันไม่ได้คิดจะเป็นแฟนหรือแต่งงานกับคุณสักหน่อย เป็นตัวของตัวเองดีที่สุด อ่า...ชื่นใจ” ดื่มบรั่นดีหมดแก้วแล้วหยิบขนมที่อยู่ในถุงมากินด้วย เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยเอาความหวานมาดับความขมในลำคอสักหน่อย
“เธอไม่ขมเหรอ” เห็นดื่มรวดเดียวหมดแก้วจึงถาม
“เวลาคุณดื่มขมไหมล่ะ” เธอถามกลับ
“ขม...เข้ากับรสชาติชีวิตดี” ไม่เคยเข้าใจผู้ใหญ่ที่มักดื่มน้ำสีเข้ม ตอนเพิ่งแตกเนื้อหนุ่มเขาได้ลองดื่มแล้วรู้สึกว่ามันไม่อร่อยสักนิด ทุกวันนี้ก็ดื่มเพื่อเข้าสังคมเท่านั้น ไม่ได้จริงจังเหมือนคนตรงหน้า
ปภพเลือกจะนั่งบนโซฟา ขณะที่ร่างบางนั่งลงบนพื้น โดยเอนหลังพิงโซฟาพลางจ้องมองวิวทะเลยามค่ำคืน ที่แทบไม่เห็นทิวทัศน์สวยงาม มีเพียงดวงจันทร์ที่เปล่งแสงเหลืองนวลอยู่ตรงหน้าเท่านั้น
สายตาคมเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ใกล้กัน เธอเงียบไปสักพักแล้วรินบรั่นดีลงแก้ว พลางดื่มไปอึกใหญ่เหมือนต้องการใช้มันเพื่อลืมบางอย่าง
“เหมือนกัน สำหรับฉันการดื่มมีสองกรณี หนึ่ง..เอาสังคม สอง..ดื่มให้เมาไปข้างเพื่อลืมความเจ็บปวด” ดวงตากลมแดงก่ำ เธอไม่อยากร้องไห้แต่พอคิดถึงอดีตมันก็อดไม่ได้
เขาคือแฟนคนแรกที่เธอทุ่มเทเป็นอย่างมาก หลงรักเพียงแรกพบสบตาแล้วพัฒนาเป็นแฟนในระยะเวลาไม่กี่วัน วินาทีนั้นอยากกู่ก้องบอกคนทั้งโลก แต่ทำได้แค่เก็บเอาไว้ข้างในใจ มีความสุขเพียงแค่ได้คอยส่งกำลังใจให้อาชวินโดยพยายามไม่ให้คนอื่นทราบ
เป็นรักสวยงามที่ห่อหุ้มด้วยหนามแหลม...
“แต่มันก็ไม่ได้ลืมถาวร” เตือนหญิงสาวถึงความจริงข้อนี้ ซึ่งเธอก็ทราบเป็นอย่างดี
“แค่ชั่วเวลาหนึ่ง...แค่นั้นให้ฉันได้ลืมก็ยังดี” ดื่มไปอึกใหญ่แล้วรีบเช็ดน้ำตาที่ไหลเปื้อนใบหน้า ปภพเห็นอย่างนั้นก็ไม่กล้าพูดอะไร เอนกายพิงโซฟาดื่มเงียบๆ ปล่อยให้บรรยากาศสงบโอบล้อมพวกเราสองคน
“คุณอยากฟังนิทานไหม” แล้วนารากานต์ก็เอ่ยราวกับคนละเมอ พ่อม่ายเนื้อหอมรู้ทันทีว่าหล่อนต้องการระบายความรู้สึกที่อัดแน่นภายในอก
“ไม่”
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...” ถึงกับถอนหายใจเสียงเบา หากจะเล่าแล้วจะถามตั้งแต่แรกทำไม ‘ฉันไม่ได้อยากฟังเรื่องของเธอสักหน่อย’ เขาทราบดีว่านิทานไม่ใช่เรื่องใครอื่นไกลหรอก คงเป็นเรื่องของเธอกับชายคนรักนั่นแหละ
“มีหญิงสาวชาวบ้านไปเก็บเห็ดอยู่ในป่า เธอได้เห็นเจ้าชายที่ขี่ม้าขาวเข้ามาใกล้เพื่อถามทาง หญิงคนนั้นตกหลุมรักเจ้าชายตั้งแต่แรกพบ...เจ้าชายก็เช่นเดียวกัน พวกเขาตกลงจะคบหากันโดยไม่ยอมบอกใคร ด้วยฐานะที่แตกต่าง..”
นิทานถูกแต่งขึ้นมาเวลานั้น นารากานต์ล่องลอยอยู่ในอดีตแล้วพูดออกมาเป็นวรรคเป็นเวร ไม่รู้ปภพจะมองออกหรือเปล่าว่านิทานเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของเธอเอง ความรักที่มีเพียงคนสองคน แต่ดันมีสิ่งเร้ารอบข้างทำให้ความสัมพันธ์เริ่มสั่นคลอน
ก่อนมันจะปริร้าวและแตกออกจากกันในที่สุด...
“ก็ไม่น่าจะคบตั้งแต่แรก” พึมพำเสียงเบาแล้วหยิบขนมมาเคี้ยว ขณะที่คนนั่งบนพื้นดื่มบรั่นดีไปแล้วหลายแก้วขณะเล่านิทานให้เขาฟัง
“วันหนึ่งเจ้าชายต้องกลับไปยังปราสาท เขาขอเลิกกับสาวชาวบ้านเพื่อไปแต่งงานกับเจ้าหญิงสูงศักดิ์ที่คู่ควร ไม่ว่าหญิงคนนั้นจะอ้อนวอนขอร้องแค่ไหน เขาก็เลือกจะไป..จบแล้ว” ปิดท้ายด้วยการยกขวดบรั่นดีที่เหลือเพียงแค่ครึ่งดื่มจนเกือบหมด
ปภพต้องเข้าไปดึงขวดมาถือเอาไว้ ไม่รู้ว่าควรสมเพชหรือสงสารหล่อนดี เขาไม่เคยเจอนารากานต์ในสภาพน่าสงสารเช่นนี้มาก่อน จนเผลอยกมือข้างที่ว่างมาวางบนศีรษะมน
“มันเป็นแค่นิทาน อย่าไปคิดมากเลย” ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านทั่วศีรษะไล่ตามร่างกายทำให้หญิงสาวเปล่งเสียงโฮอย่างไม่อาย
เป็นครั้งแรกที่เธอร้องไห้ต่อหน้าผู้ชาย...ที่ไม่ใช่พ่อหรือน้องชาย