บทที่๓ (๑)
๓
ลงจากแท็กซี่มาได้หล่อนก็เดินตามทางทอดยาวเข้ามาในบ้าน เริ่มหงุดหงิดเสียแล้วที่ทางเข้าบ้านมันยาวเสียเหลือเกิน กว่าจะเข้ามาถึงตัวบ้านต้องผ่านสนามหญ้า สระว่ายน้ำ ไหนจะโรงจอดรถด้านนอกที่เพิ่มใหม่นอกจากชั้นใต้ดินอีก
นารากานต์หงุดหงิดกว่าเดิมจนแทบจะหายใจเป็นเปลวเพลิงอยู่แล้ว ก้าวเข้ามาในบ้านก็เปลี่ยนจากรองเท้าส้นสูงเป็นสลิปเปอร์ นาฬิกายังไม่บอกเวลาเที่ยงคืนแต่เหมือนซินเดอเรลล่าจะกลับมาจากงานเลี้ยงก่อนกำหนด
คุณแม่ลูกสองยังไม่หลับและเพิ่งออกจากห้องครัวพร้อมน้ำผลไม้และผลไม้สดในจานที่ปอกไว้เรียบร้อย เห็นเพื่อนเข้ามาในบ้านกำลังจะทัก แต่เหมือนคนใจร้อนจะทนไม่ไหวเลยระบายความอัดแน่นที่มีจนล้นอก
“ฉันไม่ไหวแล้ว! แกรู้ไหมวันนี้ฉันเจอผู้หญิงบ้าที่ไหนไม่รู้มาด่าว่าฉันไปขโมยลูกของไอ้คุณภพเพราะต้องการจับเขา แล้วแทนที่ฉันจะด่ากลับแต่ตอนนั้นสมองมันแบลงค์ไปหมด พอจะพูดออกมาสักคำคนพวกนั้นก็เดินหนีไปหมดแล้ว ฉัน ฉันโมโหมาก!”
ก้าวเข้าไปในห้องนั่งเล่นติดริมสระน้ำที่ลูกสาวชอบนักหนา แล้ววางของทุกอย่างลงบนโต๊ะพลางมองนารากานต์ที่ใบหน้าแดงก่ำ เห็นการหายใจหอบถี่รู้ว่าโมโหมากแค่ไหน ไม่ค่อยเห็นเพื่อนมีอาการอย่างนี้เลย หล่อนหยิบกระเป๋าใบละหลายหมื่นจากพื้นเพื่อวางไว้บนโซฟา
“แกใจเย็น..” พยายามปลอบแต่คนที่ยืนทำหน้านิ่วไม่ยอมเย็นลงสักที
“แล้วยังการที่หมอนั่นเมินฉันเหมือนว่าฉันทำผิดที่ไปขโมยลูกเขามา แต่ฉันไม่ได้เป็นคนทำ! ลูกเขาเดินมาหาฉันเอง ฉันยังไม่เฉียดเข้าไปใกล้เลย โอ๊ย โมโหๆๆๆ” อยากจะยีผมตัวเองหรือชกหน้าปภพสักหมัดให้หายแค้น
“ดื่มน้ำ..” หยิบแก้วน้ำของตนเพื่อยื่นให้เพื่อน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายไม่ได้สนใจสักนิด ยังคงร่ายยาวถึงสาเหตุที่ทำให้โมโห
“ผู้หญิงคนนั้นก็เหลือเกิน ด่าฉอดๆๆๆ เหมือนเป็นเมียเขาอย่างนั้นแหละ ทำหน้าเชิดคอตั้งเป็นนางพญา แล้วตอนออกไปยังหันมาเยาะเย้ยฉันอีก ขอโทษเถอะ ฉันไม่เคยคิดจะกระโดดเข้าไปแย่งชิงผู้ชายคนนั้นสักครั้ง ไม่ตรงไทป์ ไม่ชอบ ไม่เลยสักนิด!”
ตะโกนแล้วก็นั่งลงที่โซฟาอย่างแรงจนเธอกลัวว่าถ้าไม่ใช่เบาะนิ่ม กระดูกก้นกบเพื่อนคงหักไปแล้วล่ะ
นารากานต์ขบฟันแน่นด้วยความเกลียด หูไม่ได้ยินสิ่งที่วรรณวรินพยายามจะพูดหรือสื่อสักนิด จำได้เพียงสายตาคมของปภพที่ปรายตามองแล้วรีบอุ้มลูกออกไป ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็ทำท่าเหมือนชนะหล่อน ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแข่งอะไร
กำมือแน่นด้วยความโมโห ถ้าเจอกันอีกรอบจะซัดให้น่วมเลย
“หนึ่ง ฉันว่า..”
“โมโหไปหมดเลยแก หัวร้อนเหมือนจะระเบิด ตอนฉันกลับมาบ้านก็อยากจะตะโกนด่าไปตลอดทาง หัวใจมันเต้นตุ้บๆๆ เลยเนี่ย ไม่รู้จะโมโหไอ้คุณปภพหรือผู้หญิงคนนั้นดี” แค่คิดถึงเหตุการณ์นั้นก็ร้อนรุ่มทั่วโพรงอก
หล่อนเหมือนคนทำผิดทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง หากคิดว่าปภังกรหายไปก็น่าจะถามไถ่กันก่อนไม่ใช่โยนบาปที่ไม่ได้ก่อให้เธอ
กล้ามเนื้อเกร็งไปหมดจนคนที่เพิ่งลงมาข้างล่างแล้วเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีรีบเข้ามาช่วยภรรยา ทิวากรค่อยนวดไหล่ให้พี่สาวของตนพลางพูดเพื่อเตือนสติ
“ผมว่าพี่ต้องใจเย็นก่อน ดื่มน้ำแล้วหายใจเข้าปอดลึกๆ หายใจออกช้าๆ ตั้งสติว่าเรื่องมันผ่านไปแล้ว อีกอย่างคือช่วยฟังเมียผมพูดด้วย” ดวงตากลมหลุบมองน้ำผลไม้สีเข้ม จึงเอื้อมมือไปหยิบมาดื่มรวดเดียวหมด ทำให้สองสามีภรรยาผ่อนลมหายใจเสียงเบา
นึกว่าจะไม่ฟังกันแล้วเสียอีก
“เฮ้อ ก็ว่าทำไมคอแห้ง” วรรณวรินแทบจะมองบนใส่เพื่อนสนิท ยามโมโหใครก็เอาไม่อยู่ อยากรู้เหลือเกินว่าถ้านารากานต์อยู่กับปภพจะเป็นอย่างไร
เคยได้ยินคนอื่นเล่าให้ฟังไม่เคยเห็นด้วยตาตนเองสักครั้ง สำหรับหล่อนคิดว่าปภพค่อนข้างเป็นคนดีพอสมควร และเหมาะสมกับเพื่อนที่สุด
ทว่านารากานต์อาจมีความเห็นแตกต่างออกไป...
“รัวอย่างกับปืนกล ไม่คอแห้งให้มันรู้ไปสิ” ผละจากพี่สาวแล้วไปนั่งข้างภรรยา โอบไหล่เล็กเอาไว้แล้วลูบหน้าท้องที่เริ่มนูนเล็กน้อย พอท้องลูกคนที่สองเหมือนว่าขนาดจะค่อนข้างใหญ่กว่าลูกสาวคนแรก
“ลูกพ่ออย่าไปฟังป้าเขานะครับ เดี๋ยวหนูออกมาขี้บ่นพ่อต้องหูชาอีกแน่ๆ” ผู้หญิงบ้านนี้บ่นเก่งตั้งแต่มารดาไปจนถึงพี่สาว ดีที่ภรรยาว่านอนสอนง่ายไม่ค่อยพูดอะไร แต่ถึงวรรณวรินจะบ่นเขาก็ชอบฟังอยู่ดีนั่นแหละ
ปากเล็กๆ เจื้อยแจ้วน่ารักจะตายไป เพื่อนเขายังอิจฉาที่ได้เมียสวยเก่ง อยากพาออกไปโชว์ตัวให้ทุกคนรู้จักเสียด้วยซ้ำ
“ไอ้สอง เดี๋ยวจะโดนอีกคน” ยกฝ่ามือเตรียมตีน้องชาย แต่ทิวากรก็ฉลาดพอจะเปลี่ยนเรื่องทันที
“แล้วแม่ล่ะ ไม่มาด้วยกันเหรอ”
“อยู่งาน ฉันกลับแท็กซี่ ถ้ามากับแม่ฉันได้อกแตกตายพอดี จะบ่นหรือพูดอะไรก็ไม่ได้ หงุดหงิดโว้ย อยากหาอะไรทำระบายอารมณ์ เน่ เราออกไปข้างนอกกันดีไหม ค่อยกลับ..” กำลังคิดจะชวนเพื่อนไปคลายเครียดข้างนอก แต่เหมือนวรรณวรินจะบอกความจริงที่ตีแสกหน้าหล่อนจนไม่อาจลุกไปไหนได้
“พรุ่งนี้เธอบอกว่ามีประชุมไม่ใช่เหรอ”
“เออใช่! นี่ฉันต้องเจอหน้าหมอนั่นอีกแล้วเหรอ แค่คิดก็หัวร้อนแล้ว...ไอ้สอง แกมาดูแลโปรเจคนี้แทนฉันสิ” เอนกายพิงพนักโซฟาแล้วโวยวายอยู่อย่างนั้น ก่อนจะลุกนั่งตรงเพื่อมองสบตาน้องชายสุดที่รัก แล้ววอนขอความเห็นใจ
“หือ เรื่องอะไรโยนมาที่ผมล่ะ แม่ได้ด่าผมเปิงน่ะสิ ไม่เอาหรอก ช่วงนี้ไม่อยากเครียดกลัวกระทบกับลูกในท้อง” หากคุณภวิการู้ว่าตนไปขัดขวางเส้นทางรักของพี่สาวและว่าที่ลูกเขยของท่านได้ถูกเพ่งกบาลพอดี เรื่องอะไรจะเอาตัวเองไปเสี่ยง
ร่างหนารีบส่ายหน้าปฏิเสธแบบไร้เยื่อใย แล้วลูบหน้าท้องของภรรยาด้วยความเอ็นดู เขาทะนุถนอมคนรักยิ่งกว่าไข่ในหินเสียอีก
“เพื่อนฉันท้องไม่ใช่แก จะไปกระทบบ้าอะไร..เปลี่ยนกัน เร็ว” รีบเข้าไปใกล้ทิวากรโดยมีวรรณวรินนั่งคั่นเอาไว้
“ไม่เอา ไม่เปลี่ยนหรอก...ขึ้นห้องกันดีกว่าที่รัก อยู่ตรงนี้แล้วได้กลิ่นคนโสดไม่ค่อยจะหอมเท่าไหร่ ป่ะๆ” ประคองร่างแบบบางที่มีอีกหนึ่งชีวิตอาศัยอยู่ข้างในให้ลุกอย่างช้าๆ แล้วเหลือบมองพี่สาวที่ทำหน้าเหมือนจะเข้ามาต่อย
“ฝันดีนะหนึ่ง” แต่เจอประโยคของวรรณวรินเข้าไปก็ทำอะไรไม่ได้
“จ้า แกก็ฝันดีนะ ส่วนไอ้สองฝันร้าย” อย่างน้อยก็ขอแช่งน้องชายหน่อยแล้วกัน อุตส่าห์ได้เพื่อนมาอยู่ร่วมบ้านนึกว่าจะได้ไปไหนมาไหนด้วยกัน
แต่ทิวากรก็เก็บเมียไว้ข้างกายตลอดเวลาไม่ให้มาสุงสิงกับหล่อนเลย เหมือนกลัวว่าตนจะพาไปทำสิ่งไม่ดีไม่ควรอย่างนั้นแหละ...
ประชุมเกือบสามชั่วโมงดวงตากลมจ้องหญิงสาวหน้าใหม่ที่เพิ่งเคยเข้าประชุมครั้งแรก และแนะนำตัวว่าเป็นผู้ช่วยเลขานุการของปภพด้วยวาจาฉะฉาน ดูแล้วคงมาแรงกว่าใครเพื่อน และน้องวินอาจได้แม่ใหม่เร็วๆ นี้
แต่หล่อนกลับไม่ถูกชะตากับอีกฝ่ายเอาเสียเลย...พลอยพิชชา
แค่เห็นก็รู้สึกโมโหที่ถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม วันนี้ถ้าเลิกประชุมเธอจะต้องเข้าไปเคลียร์ให้รู้เรื่อง หรือด่าคืนสักทีให้หลาบจำว่าอย่างมาเล่นกับคนอย่างนารากานต์
ตนไม่เคยยอมให้ใครรังแกฝ่ายเดียวอยู่แล้ว
“เมื่อเราได้ข้อสรุปแล้ว ผมก็ขอปิดการประชุมเลยนะครับ ขอบคุณทุกคนมากครับ” ได้ข้อตกลงที่สมเหตุสมผล และนารากานต์ไม่ได้โต้แย้งอะไรมากนัก หล่อนนั่งฟังการนำเสนอของสถาปนิกแล้วก็เริ่มคล้อยตามคำพูดของปภพ
ตัดทิฐิทุกอย่างออก...แบบที่ชายหนุ่มเลือกก็ไม่เลว คุ้มกับงบประมาณที่ตั้งเอาไว้อีกด้วย เชื่อว่าถ้าเปิดจองคงเต็มภายในระยะเวลาไม่ถึงเดือน
เมื่อประธานที่นั่งหัวโต๊ะกล่าวปิดประชุม ทุกคนจึงรีบลุกเพื่อออกไปข้างนอก อยู่ในนี้นานเกินไปแล้วอึดอัดแปลกๆ แต่ยกเว้นคนหนึ่งที่รีบเข้ามาหาหล่อนหลังรู้ว่านารากานต์เป็นใคร
พลอยพิชชาฉาบใบหน้าด้วยรอยยิ้มแสนหวาน ต่างจากแววตาเหยียดหยามเมื่อคืนราวฟ้ากับเหว
“สวัสดีค่ะคุณหนึ่ง พลอยต้องขอโทษที่เมื่อวานกล่าวหาคุณหนึ่งด้วยนะคะ พลอยไม่ทราบจริงๆ เพิ่งรู้จากน้องวินว่าเดินไปหาคุณหนึ่งเอง ขอโทษที่พูดไม่ดีหวังว่าคุณหนึ่งคงไม่โกรธ..” ร่างบางลุกยืนเพื่อประจันหน้ากับอีกฝ่าย กอดอกนิ่งแล้วมองด้วยแววตาวาวโรจน์แทบเป็นประกายเพลิง
ผ่านไปหนึ่งคืนไม่ได้ทำให้ความโกรธของหล่อนลดลงเลยสักนิด แค่เห็นการเข้ามาขอโทษก็รู้แล้วว่าเป็นการแสดง ไม่รู้สึกจริงจากใจสักนิด
“โกรธค่ะ โกรธมากด้วย ขอด่าคืนหน่อยได้ไหมคะเพราะเมื่อวานคุณไม่ให้โอกาสฉันได้ด่ากลับเลย คิดว่าฉันเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายที่คุณชอบหรือไง ฉันไม่เคยชอบ..” ผู้ร่วมหุ้นบางคนยังไม่ออกจากห้องพอเห็นว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นก็ลดฝีเท้าการเดินเพื่อรอฟังว่าเกิดอะไรขึ้น
ปภพเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเข้าไปดึงแขนนารากานต์ไม่ให้พูดไปมากกว่านี้ ขณะที่พลอยพิชชาทำเพียงนิ่งอึ้งพูดไม่ออก หล่อนไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาตอบโต้ที่ค่อนข้างแรง เมื่อวานไม่เห็นพูดอะไรนึกว่าจะเป็นคนเงียบเสียอีก
นี่หล่อนมองคนแต่เพียงภายนอกเหรอ เห็นท่าทีติ๋มๆ คิดว่าจะเรียบร้อย
“ฉันมีเรื่องส่วนตัวอยากคุยกับเธอหน่อย ตามมานี่” หวังจะดึงหล่อนออกจากห้อง แต่มีหรือที่หญิงสาวจะยอมออกไปโดยง่าย ยังด่าพลอยพิชชาไม่หนำใจเลย
“ฉันยังไม่อยากคุย คุณภพปล่อยฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ ปล่อยสิ”
“เดินตามมาดีๆ หรืออยากให้คนอื่นเห็นว่าเราทะเลาะกัน มันคงไม่ดีกับภาพลักษณ์เท่าไหร่หรอกนะ” กัดฟันแล้วโน้มลงไปกระซิบข้างหูหล่อน แต่การใกล้ชิดกันเกินไปทำให้ผู้ช่วยเลขาเริ่มอยู่ไม่สุข เกือบเดินไปแยกสองคนนั้นให้ออกจากกันแล้ว
“ทำอย่างกับคนอื่นไม่รู้ว่าเราเกลียดกันงั้นแหละ”