บทที่๒ (๑)
๒
พวกเขานัดกันที่ร้านอาหารไทยซึ่งมีห้องพิเศษสำหรับลูกค้าวีไอพี คุณภวิกาเป็นคนจองเพื่อทั้งสองจะได้คุยกันแบบเป็นส่วนตัว โดยไม่รู้เลยว่าพวกเขารู้สึกเช่นไรต่อกัน
ปภพมาถึงก่อนแล้วเข้ามารอในห้องอาหาร ผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีประตูก็ถูกเปิดออก พบร่างแบบบางในชุดเดรสสีชมพูและผมเปียสองข้าง ดูอ่อนวัยกว่าอายุจริงจนแทบไม่เชื่อว่าปีนี้เธออายุสามสิบสี่ปีแล้ว ห่างจากเขาเพียงแค่หกปี
ก็ไม่ได้ถือว่ามาก...
“ไม่ต้องทำหน้ารังเกียจขนาดนั้นก็ได้ ฉันไม่ได้อยากมานักหรอกแต่แม่ของเธอบอกว่ามีโปรเจคจะร่วมทุน” แค่เห็นหน้าเหม็นเบื่อของนารากานต์ก็รีบพูดดัก ใช่ว่าเขาอยากเจอหล่อนนักหนา ถ้าเป็นวรรณวรินก็ไม่แน่
ตั้งแต่อกหักครั้งนั้นก็ไม่ได้ชอบใครอีกเลย เขาใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะตัดใจจากหญิงสาวได้ เป็นครั้งแรกที่ตกหลุมรักเพียงแค่สบตา หน้าตาสวยหวานกริยานุ่มนวล น่าเสียดายที่ตนมาช้าเกินไป สุดท้ายน้องชายของหญิงตรงหน้าก็ได้ไปครอบครอง
“คุณก็เชื่อแม่ฉันหรือไง ไม่มีโปรเจคหน้าหรอก มีแค่โปรเจคนี้โปรเจคเดียว จบแล้วก็คือจบ!” นั่งลงตรงข้ามเขาแล้ววางกระเป๋าใบล่ะสองแสนไว้ข้างกาย ตอนแรกเธอสวมเสื้อเชิ้ตกับกางเกง แต่พอคุณภวิกาเห็นก็ไม่ยอมให้ออกจากบ้าน
จัดการแปลงโฉมลูกสาวจนกลายเป็นสาวหวานต่างจากนิสัยจริง หล่อนจำต้องนั่งเป็นตุ๊กตาให้แม่และเพื่อนสนิทแต่งนู้นแต่งนี้อย่างสนุกสนาน
“หวังแบบนั้นเช่นกัน”
สบตากันนิ่งอย่างไม่มีใครยอมใคร เหมือนมวยถูกคู่ที่มาเจอกันบนสังเวียน แล้วสุดท้ายหล่อนก็ถอนหายใจพลางมองบนโต๊ะที่วางเปล่า
“สั่งอะไรหรือยัง ฉันสั่งเลยนะ” พูดเองเออเองก่อนกดกริ่งเรียกพนักงาน แปลกที่ทุกครั้งยามอยู่ด้วยกันพวกเขาไม่มีความรู้สึกอึดอัดสักนิด หญิงสาวสามารถเป็นตัวเองได้ จะร้ายแค่ไหนหรือบ่นอย่างไรปภพก็ไม่มีการตอบสนองอยู่แล้ว
เผยธาตุแท้ให้เห็นกันไปเลยดีกว่า อย่างไรเขาก็ไม่ใช่คนที่จะมาเป็นสามีในอนาคต
“ขอเป็นต้มยำกุ้ง..น้ำใสนะคะ ปลากะพงทอดน้ำปลา หมูทอดกระเทียม กุ้งเผา...กุ้งดอง กุ้งนี่ขอแบบกึ่งสุกกึ่งดิบนะคะ ปูนิ่ม อุ้ย น่ากิน ปูนิ่มทอดกระเทียมด้วยค่ะ ปลาคังผัดฉ่า...เอาแค่นี้แหละค่ะ คุณจะสั่งอะไรไหม” พนักงานยื่นเมนูให้พร้อมรอจด
แล้วนารากานต์ก็ไม่ทำให้ผิดหวังด้วยการสั่งแบบไม่หยุด ไล่สายตาเจออะไรน่ากินก็พูดออกไป ทำให้ชายหนุ่มที่นั่งด้วยเริ่มขมวดคิ้วแล้วคิดว่าเธอจะกินหมดหรือเปล่า เรื่องเงินไม่เป็นห่วงเพราะต่อให้หล่อนอยากซื้อหมดร้านเขาก็จ่ายไหว
“เธอสั่งขนาดนั้นแล้วยังจะถามฉันอีกเหรอ” หญิงสาวยังอุตส่าห์หันมาถามคนที่นั่งร่วมโต๊ะ แต่ร่างสูงก็ไม่อาจสั่งอะไรได้อีกแล้ว กลัวว่าขนาดโต๊ะจะไม่พอรองรับอาหารที่วาง
“ไม่สั่งแล้วค่ะ ลืมของหวาน..” ยื่นเมนูกลับแล้วบอกเสียงหวาน ทว่าคิดออกว่ากินคาวก็ต้องต่อด้วยหวาน พอจะเริ่มสั่งของหวานก็ถูกเขาคว้ามือเอาไว้ก่อน กลัวว่าเธอจะรับเมนูมาดูอีกครั้ง
“เดี๋ยวค่อยสั่ง” แววตากดดันจนหล่อนต้องยอมตามใจ เหลือบมองมือเขาที่จับมือของตนเองไว้จนชายหนุ่มต้องรีบปล่อย
“เอ่อ ค่อยสั่งดีกว่าค่ะ ขอบคุณนะคะ” ค้อมศีรษะให้พนักงานแล้วยกยิ้มมุมปาก รู้สึกแปลกๆ ยามถูกจับแต่ก็ไม่อยากคิดว่ามันคืออะไร
ใช่ว่าไม่เคยถูกผู้ชายจับมือ แต่ระหว่างคนที่ไม่เคยจะพูดดีต่อกัน การแตะกายแทบจะเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ หญิงสาวจึงไม่อยากคิดมากแล้วพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย
“ฉันมากินข้าวกับผู้ชายทีไรไม่เคยจ่ายเองสักครั้ง หวังว่ามื้อนี้คุณจะเลี้ยงนะ” ไม่รู้อะไรดลใจให้หล่อนพูดเช่นนั้น และด้วยประโยคที่ค่อนข้างเปิดเผยของนารากานต์ก็ทำให้ปภพอึ้งเช่นกัน เขานิ่งไปสักพักแล้วค่อยถาม
“เธอไปกินข้าวกับผู้ชายบ่อยเหรอ” ส่วนเขาก็ต้องไปกินข้าวกับผู้หญิงบ่อยเช่นกัน ตามคำเชิญของคุณหญิงคุณนายหลายคน แน่นอนว่าส่วนมากเอาเรื่องงานมาอ้างทั้งนั้น ชายหนุ่มจึงแสนจะเบื่อหน่ายจนอยากแต่งงานให้รู้แล้วรู้รอด
“โอ๊ย บ่อยมาก เป็นยี่สิบคนแล้ว เรื่องธรรมดาน่ะ กินข้าวอิ่มก็แยกย้ายเลยใช่ไหม นี่ฉันก็มีนัดที่อื่นอีก” เธอคิดว่ามันก็เป็นแค่อาหารหนึ่งมื้อเท่านั้น ไม่ได้มีความสำคัญแต่อย่างใด นอกจากได้กินฟรีเพราะท่านประธานเลี้ยง
“เรื่องโปรเจคคอนโดที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ฉันว่าแบบที่เธอเลือกมันก็สวยดีแต่ถ้าตามฟังก์ชั่นที่ต้องการมันยังไม่ครบ และราคาก็ค่อนข้างแพงกว่างบที่ตั้งเอาไว้ ฉันไม่เห็นด้วยที่เธอจะเลือกบริษัทนั้น”
เข้าเรื่องที่คิดว่าจะพูดกับหล่อนเพื่อไม่ให้การประชุมครั้งหน้ายืดเยื้อ เขาเบื่อกับการต้องทะเลาะกับเธอต่อหน้าคนหมู่มาก ต้องข่มอารมณ์มากแค่ไหนไม่เข้าไปจับไหล่หล่อนมาเขย่าเพื่อให้หญิงสาวมีสติ ไม่ใช่ใช้ทิฐิเป็นที่ตั้ง
แต่เพราะอยู่ท่ามกลางสายตาหลายคู่จึงทำเพียงแค่กัดฟัน แล้วพยายามอธิบายเหตุผลด้วยเสียงที่เข้มกว่าปกติ
“ทำไมฉันต้องเชื่อคุณด้วย เงินส่วนหนึ่งที่ลงทุนก็เงินฉัน” เอนหลังพิงเก้าอี้แล้วยกมือขึ้นกอดอก ไม่มีท่าทีเกรงกลัวแต่อย่างใด
“เธอลองเอากลับไปคิดดูอีกทีแล้วกัน ฉันก็พูดตามที่คิด เอาคติออกแล้ววิเคราะห์ตามเหตุและผล” บทสนทนายังไม่หลุดจากประเด็นเมื่อวานที่เกือบมีปากเสียงกันในห้องประชุม หญิงสาวถึงกับหน้าร้อนผ่าวยามที่เขาพูดแบบนั้น
“คุณว่าฉันไม่มีเหตุผลเหรอ”
“จะว่าแบบนั้นก็ได้” ยอมรับตามตรงจนหล่อนกำมือแน่น เริ่มไม่อยากอาหารแต่พอดีเมนูที่สั่งค่อยทยอยเข้ามาเสิร์ฟ จึงต้องสงบศึกชั่วคราว เธอทำเพียงจ้องใบหน้าคมราวจะกินเลือดกินเนื้อ ไม่ปิดบังว่าเกลียดมากแค่ไหน
“เดี๋ยวค่ะ ขอสั่งอาหารกลับบ้านด้วยนะคะ” พนักงานกำลังจะออกจากห้อง เธอจึงรีบรั้งเอาไว้ก่อนโดยสายตาไม่เคลื่อนจากปภพสักนิด เหมือนต้องการท้าทาย
“ค่ะ กุ้งเผาห้าโล เป็ดย่าง ไก่ผัดเม็ดมะม่วง ไก่ทอดน้ำปลา ไก่ชุบแป้งทอด หมูกรอบ แกงเผ็ดไก่ป่า ทอดมันกุ้ง ลูกชิ้นปลา กุ้งกระเบื้อง ไก่อบน้ำผึ้ง ตามนี้ค่ะ” สั่งรัวเร็วยิ่งกว่าปืนกลทำเอาคนจดรายการฟังเกือบไม่ทัน เขียนจนมือเป็นระวิง
หญิงสาวปิดหน้ารายการอาหารแล้วหันมายิ้มให้ร่างสูงที่ทำหน้าเรียบเฉย เธอรู้ว่าการสั่งอาหารไม่ระคายขนหน้าแข้งเขาหรอก แต่มันโมโหจนหาทางลงไม่ได้นี่นา
ถ้าอยู่บ้านเดียวกันได้ทะเลาะกันสามเวลาแน่
“ขอบคุณที่เลี้ยงนะคะคุณปภพ” เอ่ยปิดท้ายเมื่อพนักงานรับเมนูแล้วเดินออกไปนอกห้อง เธอเริ่มลงมือรับประทานอาหารตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย เหมือนว่าได้ระบายความโกรธบางส่วนออกไปแล้ว ด้วยการใช้เงินของปภพ
“เธอรู้ไหมว่าตัวเองนิสัยเด็กมาก” ร่างสูงนิ่งไปสักพักแล้วมองนารากานต์ที่มีความสุขกับการรับประทานอาหาร เขายกยิ้มมุมปากนึกขำกับนิสัยของหล่อน ไม่ชอบใจอะไรก็ระบายลงกับสิ่งของ คนอย่างนี้ไม่มีทางเอามาเป็นแม่ของลูกเด็ดขาด
“ไม่รู้” ทำลอยหน้าลอยตาไม่สนใจ เพียงแค่ได้แก้แค้นคืนเล็กๆ น้อยๆ ก็มีความสุขแล้ว
“งั้นก็ช่วยรู้ไว้ด้วย” เริ่มลงมือรับประทานอาหารที่วางเกือบจะล้นโต๊ะ เขาไม่รู้ว่าจะกินอย่างไรให้หมด แต่พอเห็นหญิงสาวเริ่มกินของแต่ละอย่างก็แทบไม่อยากเชื่อว่าหล่อนจะมีขนาดตัวเล็กอย่างที่ตาเห็น
เขานิ่งอึ้งไม่ได้หยิบช้อนส้อมเอาแต่มองดูนารากานต์รับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอยกยิ้มมุมปากด้วยความเอ็นดู
หรือตลกกับท่าทีของหญิงสาวก็ไม่อาจทราบ...
งานการกุศลจัดวิ่งเพื่อนำเงินสมัครไปบริจาคช่วยเหลือผู้ยากไร้แถบชายแดนภาคใต้สิ้นสุดลงแล้ว ช่วงเย็นจึงจัดขอบคุณผู้สนับสนุนรายใหญ่ที่มอบเงินสมทบทุน มีคุณหญิงคุณนายหลายคนมาเป็นแม่งานเพื่อไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
และปภพก็ได้รับเชิญมางานนี้เช่นเดียวกัน เขาบริจาคเงินจำนวนหนึ่งเพื่อช่วยเหลือในการจัดงาน และยังสมทบทุนนำไปบริจาคแก่ผู้ยากไร้อีกต่างหาก ทว่าชายหนุ่มไม่ได้มาคนเดียวยังพ่วงลูกชายตัวน้อยที่ทำหน้าเรียบเฉยติดบึ้งตึงมาด้วยอีกต่างหาก
“วินไม่อยากไปเลยครับ” ขณะที่รถตู้คันใหญ่ขับเข้ามาจอดบริเวณลานจอดรถในตัวอาคาร เด็กชายปภังกร วิมลเมฆาก็หันมาพูดกับบิดา แววตาออดอ้อนเพื่อขอความเห็นใจถึงแม้ว่าจะไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เพราะแต่งตัวจัดเต็ม
พ่อคงไม่อนุญาตให้กลับบ้านหรอก
“ไม่ได้ วินสัญญากับพ่อว่ายังไง” ปฏิเสธคำขอร้องนั้นแล้วถามกลับ
“วินจะไปงานฉลองเดือนล่ะครั้งครับ” ตอบเสียงอ้อมแอ้ม เริ่มคิดแล้วว่าไม่น่าสัญญาตั้งแต่แรกเลย ถ้ารู้ว่าจะต้องไปงานเลี้ยงที่มีคนมากหน้าหลายตาเข้ามาทำความรู้จักแบบนี้
เด็กน้อยไม่ชอบอยู่ในที่คนเยอะ โดยเฉพาะคนแปลกหน้าที่แทบไม่รู้จักใครเลย เข้ามาพูดคุยกับตนเพื่อเป็นทางผ่านไปสู่พ่อ...
ไม่ชอบสักนิด
“ใช่แล้ว ลูกผู้ชายพูดคำไหนต้องคำนั้น เดือนนี้พ่อขอแค่งานนี้งานเดียวได้ไหมครับ” ถอนหายใจเสียงอ่อนแล้วมองบิดาที่ส่งยิ้มมาให้
“ได้ครับ” สุดท้ายก็จำต้องตอบรับแล้วลงจากรถด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง แต่พอเห็นปภพเหลียวมองจึงรีบฉีกยิ้มทันที
งานจัดอยู่ที่ชั้นสองของโรงแรม เพียงแค่เดินออกมาจากลิฟต์ก็เห็นทันทีเพราะจองห้องขนาดใหญ่ที่สุดเอาไว้ รองรับคนที่ถูกเชิญมาโดยเฉพาะซึ่งส่วนมากก็เป็นคนในแวดวงสังคมเดียวกันทั้งนั้น
การมาของปภพสร้างความสนใจให้บรรดาคุณหญิงคุณนายที่พาลูกสาวมาด้วย ใครบ้างจะไม่อยากจับคู่ลูกของตนให้ได้กับพ่อม่ายเนื้อหอม มีทรัพย์สินในธนาคารประเทศไทยเป็นแสนล้าน ยังไม่รวมเงินในธนาคารอยู่ต่างประเทศอีก
การได้เกี่ยวดองกับคนในวงสังคมเดียวกันย่อมอุ่นใจกว่าคว้าชายไร้สกุลมาร่วมวงศ์ตระกูลอยู่แล้ว...
“สวัสดีค่ะคุณภพ พาลูกชายมาด้วยเหรอคะ หน้าตาหล่อเหลาเหมือนคุณพ่อเลย” เพียงก้าวผ่านธรณีประตูเข้ามาไม่ถึงสิบก้าวก็มีคนเข้ามาทักทาย เขาทำได้เพียงแค่ยิ้มตอบเล็กน้อยเท่านั้นเพราะไม่รู้ว่าควรต่อบทสนทนาอย่างไรดี
“สวัสดีครับ” พอพาลูกเดินมาอีกสองก้าวก็เจอคุณหญิงเข้ามาทักทาย แน่นอนว่าควงคู่มากับลูกสาวหน้าตาน่าเอ็นดู
“คุณภพพพ พาน้องวินมาด้วยเหรอคะ ตายแล้วไม่เจอกันนานจำป้าได้ไหมลูก” ย่อกายลงเล็กน้อยเพื่อจะได้พูดคุยกับเด็กชายรู้เรื่อง น้องวินมองหน้าคุณป้าแล้วส่ายศีรษะทันที
“เอ่อ จำไม่ได้ครับ” มุกนี้ได้ยินแทบทุกครั้งตอนไปงานเลี้ยง อีกไม่นานตนก็คงถูกดึงออกไปเพื่อให้พ่อได้อยู่กับผู้หญิงคนอื่น