บทที่๑ (๒)
พอนารากานต์ไปเขาก็ทำการซบไหล่ภรรยาถึงมันจะลำบากเพราะส่วนสูงที่ต่าง ทว่าชายหนุ่มก็พยายามทำตัวให้เล็กเผื่อหล่อนจะเอ็นดู
“กินอะไรมาหรือยัง หิวไหม” วรรณวรินเห็นอย่างนั้นก็ยิ้มขำ ยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมนุ่มเหมือนที่ทำกับลูกสาว เขามักจะน้อยใจที่เธอไม่แสดงความรักจนหลังๆ ยอมทำตามความต้องการของอีกฝ่าย
“ไม่หิว แค่เห็นหน้าเมียก็อิ่มแล้ว” คำหวานก็หยอดตลอดไม่ให้ขาด เล่นเอาหล่อนต้องส่ายหน้าระอากับคำพูดคำจาของคนรัก
“พูดไปเรื่อย” แสร้งทำเป็นไม่ชอบแต่ใบหน้ากลับแดงก่ำ ตั้งแต่เข้ามาอยู่บ้านฤกษ์เดชาเธอก็เหมือนกลายเป็นเจ้าหญิงไปโดยปริยาย สามีดูแลดียิ่งกว่าไข่ในหิน รักหลงเมียจนลูกสาวเอ่ยล้อบ่อยครั้งแต่มีหรือที่เขาจะอาย กลับทำเสียยิ่งกว่าเดิมอีก ขึ้นบันไดแต่ละทีประคองแทบจะอุ้ม เล่นเอาวรรณวรินต้องบอกเขาว่าเธอท้องไม่ได้พิการ
นารากานต์ขึ้นไปบนห้องแล้วจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เปิดโทรทัศน์เอาไว้เพื่อไม่ให้ห้องเงียบเหงา จนได้เห็นใบหน้าหล่อคมของนักแสดงดาวรุ่งที่เพิ่งโด่งดังเมื่อสองปีที่แล้ว ร่างบางหยุดชะงักก่อนจะมองคนในจอสี่เหลี่ยมนิ่ง
แววตากลมฉายความเจ็บปวดเพียงครู่หนึ่ง แล้วหยิบรีโมทเพื่อมาเปลี่ยนช่องทันที ไม่ทันได้ยินคำตอบของเขาหลังจากพิธีกรถามจบ
“แล้วตอนนี้สถานะของคุณอาร์มโสดหรือว่ามีแฟนแล้วครับ”
“โสดครับ...แต่อยากมีแฟนแล้ว หรือบางทีผมอาจจะอยากเริ่มใหม่กับคนเก่าก็ได้”
หล่อนทิ้งตัวนั่งบนเตียงแล้วมองจอสีดำสนิทพลางถอนหายใจ เรื่องอดีตก็กลบมันแล้วฝังเอาไว้ไม่หวนนึกถึงหรือเก็บของที่ระลึกเอาไว้ให้เจ็บช้ำ กำลังจะล้มตัวลงนอนก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์จึงเอื้อมไปหยิบมากดรับ
“ฮัลโหล” กรอกเสียงลงไปด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้าย เธอค่อนข้างสนิทกับอีกฝ่ายเพราะชอบไปสังสรรค์ยามค่ำคืนด้วยกันบ่อย
‘วันนี้วันเกิดนุ้ย เธอสนใจจะมาแจมไหม’ วิลันดาเอ่ยถาม รู้ว่ามันคือการหาเพื่อนเพราะหลังจากแต่งงานเธอก็แทบไม่ได้เที่ยวกลางคืนอีกเลย ทว่าพอเป็นงานวันเกิดของเพื่อนสนิทมีหรือจะไม่มา จำต้องขออนุญาตสามีแล้วโทรหาคนที่พอจะเชื่อใจได้ให้ไปด้วยกัน
“ที่ไหน”
‘ลาวิลล่า’ ที่ประจำเพราะมีห้องสำหรับสังสรรค์ที่ค่อนข้างใหญ่และเป็นส่วนตัว
“โอเค สามทุ่มเจอกัน” อยากเมาพอดีจึงได้ตอบตกลง พอวางสายเรียบร้อยก็นอนพักผ่อนแล้วค่อยตื่นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปข้างนอก
และแน่นอนว่าต้องแอบย่องออกไปไม่ให้คุณภวิกาทราบ ไม่อย่างนั้นหล่อนคงโดนสั่งห้ามเด็ดขาดไม่อนุญาตให้ออกไป...
เกือบตีสองเพิ่งกลับเข้าบ้านด้วยสภาพเดินแทบไม่ไหว ยังดีที่ให้เพื่อนมาส่งหน้าบ้านโดยจอดรถของตนไว้ร้านดัง พรุ่งนี้เช้าค่อยให้คนรถไปขับกลับบ้านก็ได้
แต่ถึงจะเมาจนเดินไม่ตรงพอเข้ามาในตัวบ้านนารากานต์ก็รีบรวบรวมสติแล้วย่องเข้ามาข้างใน มองซ้ายขวากลัวว่าจะเจอมารดา ค่อยเปิดประตูข้างบ้านให้เบาที่สุดเพื่อจะได้ขึ้นไปชั้นบน โผล่หน้ามองซ้ายขวาพอเห็นไฟปิดก็เบาใจไปได้บ้าง
ย่องเข้ามาแล้วปิดประตูอย่างระมัดระวัง ถึงจะโล่งใจที่มารดาเข้านอนแล้วก็ตาม หลังจากน้องชายแต่งงานนึกว่าตนเองจะรอด แต่คุณภวิกาก็เข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของบุตรสาวมากเกินไป
ทั้งจำกัดการเที่ยวและพยายามจับคู่กับปภพให้เธออีก บางครั้งก็ต้องยอมทำตามมารดาเพราะไม่อยากมีปากเสียง
“พรุ่งนี้..” ภายในความมืดมิดกลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้น เล่นเอาคนที่เพิ่งถอนหายใจโล่งอกถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ หล่อนหันมองบันไดกว้างที่มีคนยืนอยู่พร้อมใบหน้าทะมึงถึง มีเพียงแสงจากไฟฉายที่ท่านถือเอาไว้
“ว๊าย คุณแม่! ตกใจหมดเลย” ยกมือทาบอกใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม นึกว่ามารดานอนแล้วเสียอีกอุตส่าห์ดีใจแล้วแท้ๆ
นี่หล่อนดีใจเก้อเหรอ...
“พรุ่งนี้แกต้องไปกินข้าวกับคุณภพ” ไฟในตัวบ้านยังปิด มีเพียงแสงจากไฟฉายที่ส่องสว่างพอให้เห็นหน้าอีกฝ่าย คุณภวิกามองลูกสาวในสภาพที่ดูไม่จืด ผมเผ้ารุงรังกับชุดเนื้อผ้าน้อยชิ้นห่อหุ้มร่างกาย อายุปูนนี้ยังออกไปเที่ยวเหมือนยังเป็นวัยรุ่นอยู่อีก
นั่นคืออีกหนึ่งเหตุผลที่อยากให้ลูกสาวมีแฟนสักที ไม่ต้องฐานะทัดเทียมก็ได้ขอแค่เป็นคนดีก็พอ แต่เหมือนจะไม่มีใครเข้าตานารากานต์สักคน ตนจึงต้องหาลูกเขยมาประเคนให้ถึงที่
แต่ก็ยังไม่เป็นที่ถูกอกถูกใจของแม่ตัวดี
“คะ แต่พรุ่งนี้วันหยุดนะ ทำไมต้องให้หนึ่งไปกินข้าวกับเขาด้วย ไม่ไปหรอกค่ะ” จากที่เมาก็ตื่นเต็มตา แค่เห็นหน้าปภพวันประชุมก็หงุดหงิดจะแย่ ยังต้องไปกินข้าวด้วยกันอีก หล่อนไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิดว่าฝ่ายนั้นจะยอมตกลง
ทว่าพอคิดดูอีกทีก็รู้ว่าเขาตอบตกลงคงมาจากการร่วมทุนที่มหาศาลครั้งนี้ แม่หล่อนทุ่มไม่อั้นเพราะอยากได้ลูกเขยที่เพียบพร้อม ถึงจะมีลูกติดก็ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด
“แกสัญญากับแม่แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเดือนนี้จะออกไปดื่มเหล้าแค่ห้าครั้ง และมันก็ครบแล้วด้วย” นั่นคือข้อตกลงที่พูดเอาไว้เมื่อสามเดือนก่อน เธอทำตามมาตลอดจนวันนี้ที่หลงคิดว่ายังไม่ครบห้าครั้ง
สุดท้ายภัยก็มาถึงตัวเองจนได้ หล่อนพรูลมหายใจเสียงเบาก้าวเท้าเข้าไปหาคนที่ยืนอยู่บนบันได ตอนแรกท่านก็ไม่รู้ว่าลูกสาวออกไปข้างนอก นอนหลับตั้งแต่หัววันมาตื่นกลางดึกเพราะหิวน้ำ ทันได้ยินเสียงรถยนต์แล่นเข้ามาหน้าบ้าน จึงได้ยืนนิ่งเพื่อรอลงโทษคนเมา
“แม่คะ แต่มันไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ให้ไปกินข้าวกับเขานี่นา เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้เหรอคะ” กระพริบตาปริบหวังให้มารดาใจอ่อน
“ไม่ได้ แม่นัดคุณภพไว้ให้แล้ว ถ้าไม่ไปโปรเจคหน้าแม่จะร่วมทุนกับคุณภพอีก...และรู้นะว่าใครจะต้องดูแล” แค่ได้ยินก็ขนลุกด้วยความกลัว เธอแทบจะคลานเข่าเข้าไปจับขามารดา ยอมแล้วทุกอย่างไม่โวยวายสักนิด
“ไปก็ได้ค่ะ อย่าให้หนูต้องตกอยู่ในนรกนานกว่านี้เลย” ประโยคหลังพูดกับตัวเองแต่คงจะดังไปหน่อยทำให้คุณภวิกาได้ยิน
“ยายหนึ่ง!” เตรียมจะเอ็ดลูกสาวคนโตแต่หล่อนรู้ความรีบยกมือปิดปาก แสร้งทำท่าเหมือนจะอาเจียนแล้วรีบวิ่งขึ้นบนบ้าน
“โอ๊ะ เหมือนจะอ้วก อ้วก ขอตัวนะคะแม่”
วิ่งฉิวเข้าห้องแล้วปิดประตูลงกลอน สร่างเมาทันทีเมื่อรู้เรื่องที่แม่ไปตกลงกับปภพโดยไม่ถามความเห็นหล่อนก่อน หญิงสาวทิ้งกระเป๋าราคาห้าหมื่นลงบนโต๊ะแล้วเข้าไปเช็ดเครื่องสำอางออกจากใบหน้า แค่คิดว่าต้องออกไปข้างนอกกับเขาก็อยากจะแดดิ้นลงบนพื้น
เธอควรหาเหตุผลมาช่วยให้หลุดพ้นจากมื้ออาหารแสนน่าเบื่อวันพรุ่งนี้หรือเปล่า ไม่หรอก...แค่กินข้าวคงไม่ถึงสามสิบนาทีก็แยกย้ายแล้ว ใช่ว่าร่างสูงชอบเธอเสียเมื่อไหร่ล่ะ
เขาเองก็เกลียดเธอ พอๆ กับที่หล่อนไม่ชอบเขานั่นแหละ
เช้าวันหยุดที่เขาไม่ได้อยู่บ้าน เหมือนเป็นเรื่องปกติของปภพไปแล้วเพราะชายหนุ่มแทบจะไม่เคยอยู่บ้านเลย ช่วงนี้ขยันสร้างโปรเจคจนต้องประชุมเพื่อถามความคืบหน้าบ่อยครั้ง ขนาดลูกชายที่อยู่บ้านเดียวกันยังไม่ค่อยเห็นหน้าพ่อ มีเพียงพี่เลี้ยงเป็นเพื่อนแล้วก็ไปเรียนพิเศษ
บ้านหลังใหญ่ติดทะเลสาบของหมู่บ้าน ขนาดพื้นที่กว้างขวางกว่าบ้านหลังอื่นเพราะเขาซื้อสามหลังแล้วทุบบ้านเพื่อสร้างใหม่ตามความชอบของตัวเอง จ้างสถาปนิกชื่อดังและบริษัทก่อสร้างที่รู้จักมาทำให้โดยเฉพาะ กว่าจะได้ตามต้องการก็หมดเงินไปหลายร้อยล้าน รวมเฟอร์นิเจอร์และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในบ้านอีก
ชั้นหนึ่งมีไว้สำหรับรับแขก ทั้งยังมีห้องประชุมสำหรับเรียกพนักงานมารวมตัวที่บ้าน ประหยัดเวลาเดินทางไปมากโข บางครั้งประชุมถึงสี่ห้าทุ่มก็มี...
ร่างหนาในชุดสุภาพลงมาจากบันได มีนัดกับลูกสาวของคุณภวิกาโดยทราบดีว่าหล่อนเองก็คงไม่อยากเจอหน้าตนเท่าไหร่ แต่คงขัดคนเป็นแม่ไม่ได้
“พี่ภพ..จะไปไหนแต่เช้าคะ” แขกคนแรกของบ้านเดินเข้ามาหลังจากนั่งรอที่ห้องรับแขกสักพัก หล่อนยิ้มกว้างแล้วตรงเข้าทักทายชายหนุ่ม
พลอยพิชชา ตุลธรเธอเป็นลูกติดของสามีใหม่น้า รู้จักกันเมื่อไม่กี่ปีแต่หล่อนเพิ่งจะรุกหนักหลังภรรยาของเขาเสียชีวิต ทว่าชายหนุ่มไม่มีใจเสน่หาต่อหญิงสาวสักนิด และวางสถานะเป็นเพียงน้องสาวเท่านั้น
“พี่มีนัดกินข้าวกับผู้ร่วมทุนโปรเจคใหม่น่ะ พลอยมีอะไรหรือเปล่า” ร่างบางรู้ว่าเขาต้องถาม เพราะทุกครั้งที่มาบ้านหลังนี้หล่อนต้องมีข้ออ้างเสมอ กลัวเจ้าของบ้านจะไล่ออกไปน่ะสิ หรือบางทีเขาก็อาจติดงานไม่มีเวลาจะคุยกับเธอ
ช่วงนี้พลอยพิชชาได้ข่าวว่ามีคุณหญิงคุณนายพาลูกสาวมาทำความรู้จักเขาหลายคน ยิ่งเป็นพ่อม่ายก็ยิ่งเนื้อหอมมากกว่าเดิม เธอทั้งหวงและหึงแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้สักอย่าง เพราะตนก็ไม่ได้สำคัญกับปภพเช่นเดียวกัน
เป็นเพียงตัวเลือกที่อยู่ใกล้มือ...ซึ่งเขาไม่เคยมอง
“พลอยอยากลองงานใหม่ เลยว่าจะขอสมัครงานที่บริษัทพี่ภพน่ะค่ะ ไม่รู้ว่าพี่ภพสะดวกคุยหรือเปล่า” ร่างสูงนิ่งคิดไปสักพัก เขาไม่มีตำแหน่งว่างให้หล่อนแต่คิดว่าถ้าปฏิเสธไปแม่เลี้ยงของพลอยพิชชาก็คงมาขอร้องอีกเป็นแน่
“เอาไว้คุยกันตอนเย็นนะ” กำลังจะเดินเลี่ยงเพื่อไปยังโรงรถหล่อนก็จับแขนของเขาเอาไว้ก่อน
“ให้พลอยรออยู่ที่นี่ไหมคะ จะได้เล่นเป็นเพื่อนน้องวินด้วย” นำชื่อปภังกรมาอ้าง ทั้งที่เด็กน้อยก็ไม่ได้สนิทสนมกับหล่อนสักนิด พยายามเข้าหาแต่ก็ไม่เคยได้ใจน้องวินสักที เธอเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว
โดยไม่นึกย้อนเลยว่าทุกครั้งที่เข้าไปทำดีกับเด็กน้อย จะต้องอยู่ในสายตาของปภพตลอด ถ้าอยู่สองคนหล่อนก็แทบไม่ได้เข้าหาปภังกรเลย
“ไม่เป็นไร วันนี้น้องวินมีเรียนเปียโนกับไวโอลิน พี่ขอตัวนะ” ยิ้มเล็กน้อยแล้วปลดมือหล่อนออก ก่อนเดินไปยังโรงรถไม่หันมามองด้วยซ้ำ พลอยพิชชาทำได้แค่ตะโกนไล่หลัง
“ค่ะ เดินทางปลอดภัยนะคะ” ใบหน้าที่เคยแย้มยิ้มหุบลง ถ้าไม่ติดว่าเป็นบ้านคนอื่นคงส่งเสียงกรีดร้องไปแล้วเพื่อระบายความอึดอัด เธอเทียวไล้เทียวขื่ออยู่นานก็ไม่เห็นว่าเขาจะใจอ่อนสักที
พลอยพิชชากำลังจะเดินกลับไปห้องรับแขก แต่เห็นเด็กชายปภังกรเดินลงมาจากบนบ้านพร้อมพี่เลี้ยงเสียก่อน จึงรีบสวมหน้ากากคุณอาแสนใจดีแล้วทักทายเสียงหวาน
“น้องวินนน สวัสดีครับ” โบกมือทักทายไม่พอ ยังเข้าไปคุยด้วยอย่างสนิทสนมอีกต่างหาก ทั้งที่ความจริงหนุ่มน้อยไม่สนิทใจด้วยเลยสักนิด
“สวัสดีครับ” ตอบเสียงเบา แล้วเงยหน้ามองอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“วันนี้อาพลอยว่าง น้องวินให้อาพลอยไปเรียนเป็นเพื่อนไหม” พอได้ยินอย่างนั้นก็ส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องการความหวังดีนั้นสักนิด
“ไม่เป็นไรครับ” เด็กอายุหกขวบฉลาดกว่าที่คิด พอจะมองออกว่าคุณอาไม่ได้รักและเอ็นดูตนจริง มาหาทีไรก็มักจะพูดคุยกับพ่อ แล้วอย่างนี้จะให้เห็นถึงความรักได้อย่างไร
พลอยพิชชาทำเพียงแค่ยิ้มหน้าเจื่อน แล้วโบกมือลาส่งหลานชายไปเรียนพิเศษ...ไม่รู้ว่าตำแหน่งคุณผู้หญิงของบ้านวิมลเมฆาจะเป็นของหล่อนเมื่อไหร่ รอนานเกินไปใจมันก็แทบจะขาดอยู่แล้ว เพราะมีหญิงมากหน้าหลายตาจับจองตำแหน่งนี้เช่นเดียวกัน