บทที่๑ (๑)
๑
ประตูห้องประชุมถูกเปิดออกหลังจากผู้ร่วมลงทุนนั่งถกกันเรื่องแบบอาคารที่ตนชอบ กินเวลาไปเกือบสามชั่วโมงและยังไม่ได้ข้อสรุป จนสุดท้ายต้องปิดประชุมแล้วกลับไปพิจารณาอีกรอบควบคู่กับงบที่ไม่ควรเกินจากตั้งเอาไว้
ร่างบางในเสื้อสูทสีชมพูอ่อนและกางเกงแสล็คเข้าคู่กันถือแฟ้มเอกสารออกมาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง การทำงานร่วมกับประธานที่เป็นมีนิสัยเนี๊ยบจนหาตัวจับยาก สร้างความน่ารำคาญแก่หล่อนยิ่งนัก ไม่ว่าจะพูดหรือเสนออะไรก็ถูกปัดตก
ดีที่หล่อนไม่วีนมันกลางห้องประชุม ทำได้เพียงกัดฟันแล้วกำมือแน่น พลางกำหนดลมหายใจเข้าออกให้เย็นลง
เท้าเรียวสวยก้าวอย่างมั่นคงไปที่ลิฟต์ หล่อนไม่พูดกับใครและตรงเข้าไปข้างในทันที นึกว่าคนจะแน่นแต่กลับมีผู้บริหารระดับสูงไม่กี่คน ขณะที่ประตูกำลังจะปิดก็มีคนเดินมาจับเอาไว้ซะก่อนมันจึงเปิดออก แล้วคนนั้นก็คือประธานบริษัทที่เป็นหัวเรือใหญ่ของโครงการนี้
‘บ้าเอ๊ย ประตูน่าจะหนีบให้มือหัก’ สบถในใจแล้วเมินใบหน้าคมที่สบตากับเธอพอดี หล่อนอยู่ด้านหน้าสุดจึงต้องเห็นเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
นารากานต์ ฤกษ์เดชา สาวแกร่งวัยสามสิบสี่ปีเพื่อนต่างแต่งงานไปหลายคน บ้างก็มีลูกหรือบ้างก็หย่าขาดกลับมาโสดอีกครั้ง ทว่าหล่อนกลับแตกต่างออกไปเพราะไม่ได้คบใคร และไม่เคยคบกับหนุ่มคนไหนออกหน้าออกตาสักคน
จนคนอื่นคิดไปเองว่าหล่อนโสดสนิทมาตลอดสามสิบสี่ปี...กระทั่งคนในครอบครัวก็ไม่เว้น
“วันนี้เหนื่อยหน่อยนะครับ” หนึ่งในคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเอ่ยกับประธานมากความสามารถ และด้วยหน้าตาที่แทบไม่เหมือนคนวัยสี่สิบ ทำให้ตอนแรกที่นั่งตำแหน่งนี้มีคนปรามาสเอาไว้ซะเยอะ แต่พอเห็นฝีมือการทำงานก็ต้องยอมรับโดยดี
ว่าปภพ วิมลเมฆามีดีมากกว่าหน้าตา แถมยังโหดมากอีกด้วย
“ไม่หรอกครับ ผมว่าเราได้แลกเปลี่ยนความคิดกันสนุกดี” ตอบเสียงเรียบแต่ท้ายประโยคหล่อนกลับรู้สึกเหมือนว่าตนกำลังถูกจิกกัดอย่างไรไม่ทราบ
หญิงสาวต้องยืนข้างท่านประธานหน้าหล่ออย่างเลี่ยงไม่ได้ ตอนแรกคิดว่าจะไม่สนใจแค่ต้องอาศัยลิฟต์ตัวเดียวกันไม่ถึงนาทีคงได้ออกไปแล้ว แต่เหมือนเขาจะไม่ยอมให้เธออยู่เงียบ แววตาคมกริบปรายมองเหมือนไม่สบอารมณ์แต่ใบหน้ายังคงนิ่ง
แน่ล่ะ...ผู้ร่วมทุนใหญ่สุดคือหล่อนและมีสิทธิ์ตัดสินใจเท่าเขา แล้วมีหรือที่เธอจะปล่อยผ่านงานที่ตนเองยังไม่ถูกใจ
ห้องประชุมแทบลุกเป็นไฟเมื่อปภพและนารากานต์ไม่ยอมลงให้กัน ประชุมมานานมีเพียงท่านประธานและผู้ร่วมทุนสาดวาจาใส่กันแบบไม่มีใครยอมใคร คนที่เหลือทำได้เพียงเหลือบมองนาฬิกาเมื่อไหร่จะเลิกสักที
“เหอะ” หัวเราะในลำคอแต่มันก็ดังจนคนรอบข้างหันมามอง คิ้วหนากระตุกไม่ค่อยชอบผู้หญิงคนนี้สักเท่าไหร่ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแล้ว ทว่าตามมารยาทก็ไม่อาจพูดออกไปอย่างนั้นได้
ครอบครัวของเธอถือครองธุรกิจขนาดใหญ่ มีทรัพย์สินไม่ใช่น้อยและเอื้อประโยชน์ต่อโครงการนี้ของเขาเป็นอย่างมาก ถึงพอจะมองออกว่าที่คุณภวิกาอยากร่วมทุนด้วยเพราะต้องการประเคนลูกสาวให้ก็ตาม
เขามีวิธีรับมือเพราะบรรดาแม่ๆ คนอื่นก็ใช้วิธีเดียวกัน เพียงแค่ไม่มีตระกูลไหนเงินใหญ่เท่าฤกษ์เดชา
“ดูเหมือนคุณหนึ่งจะมีปัญหานะครับ” คนถูกกล่าวหาแสร้งทำตาโตเหมือนตกใจ แต่ดูก็รู้ว่ามันเป็นแค่การแสดงเท่านั้น
“คะ ฉันมีปัญหาเหรอคะ ไม่มีเลยค่ะ ฉันจะกล้ามีปัญหากับท่านประธานได้ยังไงล่ะคะ” ชี้ที่ตัวเองพลางทำหน้าเหลอหรา ปภพเกือบถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วถ้าไม่ยั้งตัวเองเอาไว้ได้ทัน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ถูกชะตากับเธอจริงๆ
นารากานต์เองก็เช่นกัน...หล่อนไม่ชอบผู้ชายคนนี้สักนิด
“ถ้าไม่มีปัญหา...ก็ช่วยเคารพมติเสียงข้างมากด้วยนะครับ” ยิ้มด้วยแววตาเชือดเฉือนเมื่อสบตากัน พวกเขาไม่มีใครพูดอะไรแต่บรรยากาศภายในกล่องสี่เหลี่ยมช่างน่าอึดอัดเสียเหลือเกิน พอดีที่มาถึงชั้นล่างประตูจึงเปิดออก
“ค่ะ คุณก็เหมือนกัน” ตอบกลับเสียงรอดไรฟันแล้วเดินออกมาทันที ศักดิ์ศรีมันค้ำคอประชุมคราวหน้าเธอจะเลือกแบบที่ตนเองชอบให้ได้ แม้ว่ามันจะขัดกับความต้องการของปภพก็ตาม จะได้รู้ผลแพ้ชนะกันในครั้งเดียวไปเลย
เมอร์เซเดสเบนซ์สี่ประตูสีขาวขับเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ ลงชั้นใต้ดินเพื่อไปจอดประจำที่ของตนเองโดยไม่รอให้คนขับรถมาบริการ ใบหน้าหวานบูดบึ้งไม่สบอารมณ์จึงระบายลงกับประตูรถ ปิดเสียงดังซะคนรถที่เดินตามหลังแทบสะดุ้ง
“คุณหนูจะให้ผมเอารถไปล้างไหมครับ” ลุงชมที่คอยดูแลรถให้บ้านฤกษ์เดชาเข้ามาถามคุณหนูคนโต ถึงนารากานต์จะทำหน้าบึ้งหรืออยู่ในอารมณ์โมโหก็ไม่เคยเอามาลงที่คนอื่นเลย ส่วนมากจะระบายกับน้องชายมากกว่า
และทิวากรก็ต้องรับบทหนักทุกทียามพี่สาวอารมณ์เสีย คอยนั่งฟังแล้วต้องมีอารมณ์ร่วมด้วย
“ไม่ต้องหรอกค่ะ มันยังสะอาดอยู่เลย” มองดูรถที่ยังสะอาดเหมือนซื้อใหม่แล้วบอกปฏิเสธ ความจริงเธอมีรถอยู่สามคัน สลับกันใช้บ้างแต่ส่วนมากชอบนั่งรถตู้ของมารดาหรือบิดามากกว่า ไม่ต้องขับเองแถมยังสะดวกสบาย
“แต่คันนี้ไม่ได้ล้างมาสองเดือนแล้วนะครับ”
“เหรอคะ หนึ่งนึกว่าเพิ่งล้างซะอีก ถ้างั้นฝากลุงชมด้วยแล้วกันค่ะ” ยื่นกุญแจรถให้อีกฝ่ายค่อยเดินขึ้นไปบนบ้าน
แค่เปิดประตูออกก็ได้ยินเสียงเจี้ยวจ้าวของเด็กหญิงที่สร้างสีสันให้บ้านน่าอยู่มากขึ้น ตอนนี้ศศิมณฑลน่าจะเลิกเรียนแล้ว และกำลังวิ่งเล่นอยู่ที่สวนหย่อมกับแม่บ้านซึ่งควบตำแหน่งพี่เลี้ยงเด็กไปในตัว ทุกคนต่างรักและเอ็นดูหนูน้อยกันถ้วนหน้า
เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของบ้านก็ไม่ปาน แต่เธอก็เข้าใจเพราะหลานตัวน้อยช่างน่ารักเหลือเกิน วันก่อนคุณป้าที่แสนจะเห่อหลานก็เพิ่งพาไปซื้อของเล่นที่จำลองแบบห้องครัว หมดเงินไปหลายพันจนโดนเพื่อนสนิทบ่น
เพราะที่มีอยู่น้องยิหวาก็เล่นจะไม่หมดอยู่แล้ว ทั้งคุณปู่ คุณย่า คุณป้าและคุณพ่อ ประเคนให้ตามใจเสียเหลือเกินจนวรรณวรินกลัวลูกสาวจะเสียนิสัย
“น้องยิหวาขา ป้าหนึ่งกลับมาแล้ว” สวนของบ้านค่อนข้างกว้าง หญ้าสีเขียวถูกตัดจนเรียบเสมอกันเพราะหลานรักชอบมาวิ่งเล่น คุณปู่คุณย่าเลยจัดการกำชับคนสวนให้ดูแลอย่างดี ห้ามมีหินหรือเศษเหล็กอยู่พื้นเด็ดขาด
เด็กหญิงศศิมณฑลชอบมากจนมาวิ่งเล่นทุกเย็น ชวนพี่แม่บ้านมาเล่นด้วยกันตลอด หรือไม่ก็เพื่อนที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง ทว่าส่วนมากไม่ค่อยมีเด็กอายุเท่ากัน จนคุณภวิการ่ำๆ อยากให้หลานอีกคนคลอดสักที
ใช่แล้ว...วรรณวรินกำลังท้องลูกคนที่สอง
คุณผู้หญิงของบ้านปลื้มใจเป็นอย่างมาก แต่คนที่ดีใจมากสุดคงเป็นคุณพ่อลูกสอง คราวนี้ได้ดูแลลูกตั้งแต่ยังอยู่ในท้องแม่ คอยประเคนอาหารการกินและวิตามินไม่ขาด ไหนจะหาพนักงานร้านดอกไม้เพิ่มเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระภรรยา เธอจึงได้กลับบ้านเร็วทุกวัน
“ป้าหนึ่งงงง ยิหวาคิดถึงป้าหนึ่งจังเลยค่ะ ขอไปเล่นวิ่งไล่จับกับพี่ๆ ก่อนนะคะ” วิ่งมากอดคุณป้าที่ย่อกายลงนั่งเพื่อรอรับอ้อมกอดจากหลาน ทว่าไม่นานก็ผละออกแล้วไปวิ่งเล่นต่อ ทำเอานารากานต์ถึงกับส่ายหัว
เธอเดินไปนั่งเก้าอี้ทรงกลมข้างเพื่อนสนิท โต๊ะตรงหน้ามีของว่างให้เลือกหยิบกิน อีกทั้งยังมีน้ำแดงเย็นสดชื่นวางเอาไว้สำหรับหนูน้อยโดยเฉพาะ
“นั่นหลานคิดถึงฉันแล้วเหรอ” หันมาถามวรรณวรินที่ทำเพียงยิ้มมุมปาก
“ตอนนี้กำลังสนุกน่ะ ทำไมวันนี้กลับเร็วล่ะ” เพียงแค่เปิดเรื่องคนที่อัดอั้นมานานก็พร้อมระบายให้ฟังทันที การได้เพื่อนมาเป็นน้องสะใภ้ดีแบบนี้เอง อยากพูดคุยตอนไหนก็ได้เพราะอยู่ร่วมบ้านชายคาเดียวกัน
“ไปประชุมกับอีตาปภพน่ะสิ ฉันล่ะอารมณ์เสีย เขาพูดขัดฉันตลอดการประชุม ไหนจะแหกหน้าหาว่าฉันไม่ดูข้อมูลเรื่องงบประมาณมาก่อน พอฉันจะเอาสถาปนิกของบริษัทนี้ก็บอกว่าไม่ตอบโจทย์อีก แกรู้ไหมว่าเป็นการประชุมครั้งแรกที่ฉันประสาทเสียมากที่สุด ฉันอยากจะลุกขึ้นกรี๊ดๆๆๆ มันตรงนั้นเลย”
หายใจเกือบไม่ทันเมื่อร่ายยาวจนฟังเหมือนกำลังแร็ป วรรณวรินเห็นอย่างนั้นก็นึกสงสารจนต้องรีบยื่นน้ำให้อีกฝ่าย ไม่คิดว่านารากานต์จะระบายความในใจยาวเหยียด
“น้ำไหม ใจเย็นก่อนนะ” คว้าน้ำเย็นมาดื่มอึกใหญ่แล้ววางลงบนโต๊ะ เธอยังระบายความโกรธได้ไม่หนำใจ
“ฉันรู้แล้วทำไมอีตานี่ไม่มีแฟนสักที ไม่ใช่ไม่เอาใครนะแต่ไม่มีใครเอาต่างหาก...นิสัยแบบนี้ใครบ้างจะชอบ หึ่ย แค่คิดก็โมโห เนี่ยแกดูสิหน้าเหน่อฉันร้อนไปหมดเลย ก่อนกลับยังมาพูดใส่ฉันอีกนะว่าฉันเป็นพวกมีปัญหา โอ๊ย อยากจะกรี๊ดให้รู้แล้วรู้รอด” ทุบกำปั้นลงบนโต๊ะจนวรรณวรินสะดุ้ง เพิ่งเคยเห็นเพื่อนโกรธจริงจัง
ร่างหนารีบวิ่งเข้ามาหาคนรักแล้วโอบกอดหล่อนเอาไว้ทันที ทิวากรเพิ่งเลิกงานแล้วตรงกลับมาที่บ้านเพื่ออยู่กับเมียและลูกสาว ทันเห็นพี่ของตนกำลังโมโห
“อย่ามาอารมณ์เสียใส่เมียผมนะ ถ้าลูกในท้องผมได้ยินจะทำยังไง ออกมาดุเหมือนร็อตไวเลอร์แบบพี่ผมไม่แย่เหรอ” โอบประคองภรรยาไม่พอยังลูบท้องที่เพิ่งได้สามเดือนกว่าอีกต่างหาก ช่วงนี้เขาไม่ค่อยอยากให้หล่อนไปไหนเท่าไหร่ กลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุไม่คิดฝันกับหล่อน
แต่เมื่อพูดออกไปอย่างนั้นพี่สาวก็เผยอปากค้างไม่คิดว่าตนจะถูกเปรียบเทียบกับสัตว์สี่ขา
“ไอ้สองแกว่าใครดุเหมือนร็อตไวเลอร์!”
“เนี่ย พูดไม่เพราะเลย ลูกพ่ออย่าไปฟังนะครับ” ลูบท้องวรรณวรินแล้วบอกเสียงอ่อนโยน เล่นเอาคนที่โมโหอยู่แล้วเกือบจะลงไม้ลงมือกับร่างหนา
“มันน่าตบสักทีจริงๆ กวนประสาทอยู่นั่นแหละ”
“แล้วใครทำให้พี่อารมณ์เสีย” หยิบขนมของลูกสาวมากิน แล้วมองศศิมณฑลวิ่งเล่นอย่างมีความสุข ไม่สนใจพ่อสักนิดว่ากลับมาแล้ว
“จะใครซะอีกล่ะ ก็คุณปภพแสนเลิศเลอเพอร์เฟคของคุณแม่ไง แค่พูดชื่อก็หัวร้อนแล้ว ไปอาบน้ำให้ใจเย็นขึ้นหน่อยดีกว่า” แค่ได้ยินชื่อเขาก็ไม่ชอบเช่นเดียวกัน ต่างจากคุณภวิกาที่ชื่นชมเสียเหลือเกิน ไหนจะจับคู่ให้ลูกสาวอีกต่างหาก ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าได้ดองกันจะเป็นอย่างไร
ร่างบางลุกยืนแล้วหยิบกระเป๋ามาถือเอาไว้ มองหน้าน้องชายที่รักและหลงเมียมากก็นึกหมั่นไส้ เลยผลักศีรษะทิวากรไปเบาๆ หนึ่งที
“เหม็นหน้าแกด้วย” คนเป็นน้องมองตามแล้วหันมามองเมียพลางโน้มตัวไปกอดหล่อนเอาไว้เหมือนต้องการขอกำลังใจ
“อ้าว ผมโดนด่าซะงั้น” โกรธอีกคนแล้วมาพาลใส่ซะอย่างนั้น เล่นเอาทิวากรต้องส่ายหน้าขณะที่ภรรยายิ้มแก้มปริ เธอชอบดูยามสองพี่น้องทะเลาะกัน ไม่ได้จะเถียงอย่างเอาเป็นเอาตายเพราะสุดท้ายก็มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมลงให้ตลอด