ตอนที่ 4 ย้ายบ้าน (1)
ตอนที่ 4
ย้ายบ้าน
“กรี๊ดดด!!! ฉันได้งานทำแล้ว...ขอบคุณนะคะขอบคุณมากๆ เลย ฉันสัญญานะคะว่าจะตั้งใจทำงานให้เต็มที่” คนเพิ่งได้งานกระโดดกอดเจ้าของอู่ที่นั่งอยู่ข้างอย่างดีใจ ก่อนจะผละออกแล้วคว้ามือหนาของชายหนุ่มมากุมพร้อมทั้งเขย่าถามอย่างดีใจ
อิงครัตตกใจเหมือนกันที่โดนจู่โจม แต่ก็อดที่จะหัวเราะขำกับอาการดีใจจนสาวแตกของกัญชรสไม่ได้ โดยที่ทั้งคู่ไม่ได้สังเกตสายตาไม่พอใจของหญิงสาวอีกคนเลยแม้แต่น้อย
“โทษนะคะพี่อิงค์ นภัสขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหมคะ”
“ว่ามาสิครับ”
“นภัสว่าเชิญทางนี้ดีกว่าค่ะ” นันท์นภัสลุกขึ้นพร้อมกับดึงมือของอิงครัตที่ยังถูกกัญชรสจับไว้ไม่ยอมปล่อยออกอย่างไม่พอใจ แล้วลากชายหนุ่มไปที่รถของเธอ
โดยมีกัญชรสมองตามไปอย่างไม่สบายใจ นันท์นภัสแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าไม่พอใจที่เธอเผลอไปกระโดดกอดและจับมือของอิงครัต และไม่แน่ว่าเมื่อชายหนุ่มกลับมา เธออาจจะต้องกลายเป็นคนตกงาน หลังจากที่เพิ่งจะดีใจกับการได้งานทำไปเมื่อไม่กี่นาทีนี้เองก็เป็นได้
ผ่านไปครู่ใหญ่เธอไม่รู้หรอกว่าสองคนนั้นพูดคุยอะไรกัน ได้ยินบ้างบางคำแต่จับใจความไม่ได้ แต่สิ่งที่เธอรู้แน่ชัดนั่นก็คือคงมีการทะเลาะกันเกิดขึ้นแน่นอน เพราะนันท์นภัสเดินขึ้นรถปิดประตูดังปังแล้วขับออกไปด้วยความเร็ว จากนั้นเจ้าของอู่สุดหล่อก็เดินกลับเข้ามานั่งลงที่เดิมพลางถอนหายใจ ซึ่งมันก็ทำให้คนที่คิดว่าตนเองเป็นต้นเหตุของการทะเลาะกันของคนทั้งสองอดรู้สึกผิดไม่ได้
“เอ่อ...ขอโทษนะคะที่ฉันทำให้คุณกับทะเลาะกัน”
“คุณว่าอะไรนะ เมียใครโกรธใคร” อิงครัตเอียงหูพลางหรี่ตาถามอย่างได้ยินไม่ค่อยถนัด
“ก็เมียคุณไง ขึ้นรถขับหนีไปเลย ไม่ไปตามง้อหน่อยเหรอ” คนต้นเหตุแนะนำอย่างหวังดี ซึ่งมันก็ทำให้อิงครัตถึงกับหน้าเหวอ ต้องรีบแก้ไขการเข้าใจผิดของหญิงสาวเป็นการใหญ่
“เดี๋ยวๆ นะ ผมว่าคุณกำลังเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงเลยละ คุณนภัสไม่ใช่เมียผม! ผม-ยัง-โสด” อิงครัตเน้นสามคำสุดท้ายช้าๆ ชัดๆ คราวนี้เป็นกัญชรสบ้างที่ทำหน้าเหวอ มองชายหนุ่มราวกับไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน
“จริงๆ” อิงครัตย้ำ เมื่ออ่านสีหน้าของอีกฝ่ายออก
“ถ้าไม่ใช่เมียก็ต้องเป็นแฟน” หญิงสาวยังไม่เลิกคาดเดา
“เขาทะเลาะกับผมเพราะคุณนั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่เขาก็ไม่ใช่แฟน”
“อ้าว...เมียก็ไม่ใช่ แฟนก็ไม่ใช่ แล้วจะทะเลาะกันเพราะเราทำไมวะ” กัญชรสพึมพำกับตัวเองมากกว่าจะพูดกับเจ้าของอู่สุดหล่อพร้อมกับเกาศีรษะอย่างงงๆ แต่มันก็ดังพอที่อิงครัตจะได้ยินเขาเลยอธิบายเพิ่มเติม
“คงประมาณมากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟนนั่นแหละ”
“กิ๊ก!” เสียงใสสวนขึ้น ชายหนุ่มจึงพยักหน้ารับแบบส่งๆ แล้วบอกเรื่องที่เขาคุยกับนันท์นภัสให้หญิงสาวรู้บางเรื่องเท่าที่จำเป็น
“คือเขาไม่พอใจที่คุณมากอดและจับมือผม เลยบอกไม่ให้รับคุณเข้าทำงาน แต่ผมก็ปฏิเสธไป เพราะเรื่องนี้ผมย่อมรู้ดีว่าควรรับใครหรือไม่รับ เขาก็เลยโกรธหนีกลับบ้านไปเลย เรื่องมันก็มีเท่านี้เอง”
“เฮ้อ...โล่งอกนึกว่าจะได้งานและตกงานในวันเดียวกันเสียแล้ว ขอบคุณอีกครั้งนะคะ และขอโทษคุณด้วยที่ทำให้คุณกับกิ๊กต้องทะเลาะกัน” กัญชรสบอกอย่างรู้สึกผิดจริงๆ แต่ลึกๆ ก็แอบดีใจนิดๆ ที่ชายหนุ่มยังโสด เพราะนั่นจะทำให้เธอแอบมองและแอบปลื้มเขาได้อย่างสนิทใจมากขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอกครับเรื่องเล็ก...เรามาคุยเรื่องงานกันต่อดีกว่านะ เรื่องแรกค่าแรง ช่วงแรกผมจะให้คุณเดือนละหกพันห้าก่อนแล้วกัน และต่อไปก็อาจจะขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือและความรับผิดชอบของคุณเอง ส่วนเรื่องที่สองก็คือผมอยากให้คุณย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วยกัน คุณจะว่ายังไง”
“ห๊า! ย้ายมาอยู่ที่นี่กับคุณสองคนเนี่ยนะ”
“สองคนที่ไหน ยังมีญาติผมอีกคนหนึ่ง คนนี้วันปกติเขาจะทำงานออฟฟิศ แต่ถ้าวันหยุดเขาก็จะมาช่วยงานในอู่ของผมเหมือนกัน ถ้าคุณมาอยู่ที่นี่คุณคงจะได้รู้จัก” อิงครัตอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ
“แต่ญาติคุณเขาก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน…และอีกอย่างที่ที่ฉันพักก็อยู่ไม่ห่างจากอู่ของคุณมากนัก นั่งรถแป๊บเดียวก็ถึง” กัญชรสแย้งเสียงอ่อย ซึ่งมันก็ทำให้อิงครัตหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจ ไม่คิดว่าหญิงสาวมาดห้าวๆ จะกลัวเขากับญาติที่เป็นผู้ชาย
“คุณไม่ต้องกลัวหรอกครับ ผมกับไอ้อัทธ์เป็นสุภาพบุรุษพอ ไม่รังแกคนที่ไม่เต็มใจเด็ดขาด...แต่ถ้าคุณไม่ย้ายก็ไม่เป็นไรนะผมไม่บังคับ”
“ได้เหรอคะ การที่ฉันไม่ทำตามความต้องการของคุณหวังว่ามันคงจะไม่มีผลต่อการพิจารณาการทำงานของฉันหรอกนะคะ” หญิงสาวถามอย่างหวั่นใจ
“แน่นอน...แต่ที่ถามนี่ เพราะมันเป็นความตั้งใจของผมอยู่ก่อนแล้ว ว่าอยากจะให้คนทำงานในอู่ได้พักอยู่ที่นี่”
“ทำไมคะ” หญิงสาวถามอย่างสงสัย อยากจะฟังรายละเอียดให้มากกว่านี้ เพราะไม่แน่มันอาจจะทำให้เธอเปลี่ยนใจก็เป็นได้
“เพราะผมไม่ชอบทำงานค้างหรือดองงานไว้เยอะๆ ถึงเวลาปิดอู่ผมก็ปิดตามเวลาแต่ถ้ามีงานค้างอยู่ถึงจะปิดอู่ไปแล้ว ผมก็ยังจะทำงานของวันนั้นให้เสร็จไปภายในวันนั้นเลย ซึ่งก็หมายความว่าคุณที่เป็นผู้ช่วยช่างจะต้องอยู่ช่วยผมจนกว่างานจะเสร็จ...และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ค่าแรงที่ผมให้ใช่ว่ามันจะเยอะแยะมากมาย ถ้ามาพักอยู่ด้วยกันมันก็จะเป็นการประหยัดไปได้อีกทาง ผมว่ากรณีของคุณไม่น่าจะปฏิเสธข้อเสนอนี้นะ”
กัญชรสเริ่มคล้อยตามและเห็นด้วยกับสิ่งที่อิงครัตพูดมา แต่ก็ยังมีความลังเลหลงเหลืออยู่อีกนิดๆ “คุณคิดอย่างนั้นเหรอคะ”
“ใช่...ถ้าเกิดคุณพักอยู่ที่อื่น วันไหนไม่มีงานค้างคุณก็ได้กลับเร็ว แต่ถ้าวันไหนงานเยอะล่ะ กว่างานจะเสร็จกว่าคุณจะได้กลับมันอาจจะดึก และผู้หญิงตัวคนเดียวกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ มันอันตรายผมเป็นห่วง และเรื่องเงินถ้าคุณมาอยู่ที่นี่บ้านไม่ได้เช่าข้าวไม่ได้ซื้อ พอเงินเดือนออก เงิณคุณก็จะเหลือไว้ใช้สอยเยอะ แต่ถ้าคุณพักอยู่ที่อื่นล่ะ ผมถามหน่อยเถอะเดือนหนึ่งเดือนหนึ่งคุณจะเหลือเงินใช้ซักกี่ร้อย ไหนจะหนี้ผม ไหนจะค่าห้อง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกล่ะ”
พอฟังเหตุผลชี้แจงจากชายหนุ่มเพิ่มเติมคราวนี้ความลังเลไม่มีหลงเหลือ กัญชรสตัดสินใจเดี๋ยวนั้นเลยว่าเธอควรจะเอายังไงกับเรื่องนี้ดี “เอาเป็นว่าฉันจะย้ายมาอยู่ที่นี่ค่ะ...แต่ขอย้ายมาวันพรุ่งนี้ได้ไหมคะ”
“ได้ ไม่มีปัญหา เดี๋ยวผมจะปิดอู่ไปช่วยขนของเอง” ชายหนุ่มบอกอย่างใจดี ซึ่งกัญชรสก็รีบปฏิเสธ เพราะมันจะทำให้เขาเสียเวลางานเปล่าๆ และอีกอย่างของของเธอก็นิดเดียวเอง
“โอ๊ย! ไม่เป็นไรค่ะ ในห้องไม่มีอะไรเลยนอกจากโทรทัศน์เครื่องเดียวกับเสื้อผ้า ฉันเหมาตุ๊กๆ ขนมาเองดีกว่า”
“อย่างนั้นก็ได้ครับ เดี๋ยวผมออกค่ารถให้”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ค่ารถไม่กี่บาทฉันออกเองดีกว่า แค่คุณให้งานฉันทำ แถมยังให้ที่พักอาศัยแบบกินฟรีอยู่ฟรี แค่นี้ฉันก็ซึ่งใจและเกรงใจคุณจะแย่อยู่แล้ว”
“ตามใจคุณแล้วกัน...เดี๋ยวถ้ายังไงผมรบกวนขอเอกสารของคุณไว้อย่างละชุดก็แล้วกันนะครับ”
“ได้ค่ะ” มือบางดึงสำเนาวุฒิการศึกษา ทะเบียนบ้าน และสำเนาบัตรประชาชนขึ้นมา จากนั้นก็เซ็นสำเนาถูกต้องก่อนจะยื่นมันให้กับชายหนุ่ม
“นี่ค่ะ”
อิงครัตรับไป แล้วก็เปิดไล่อ่านดูอย่างละเอียด เขาอยากรู้จักหญิงสาวเพิ่มอีกสักนิด แม้มันจะเป็นเพียงข้อมูลพื้นๆ ก็ตาม
“เรียบร้อยครับ ไม่มีปัญหา”
“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะคะ จะแวะไปโอนเงินส่วนที่เหลือคืนให้คุณด้วย” หญิงสาวพูดพลางเก็บวุฒิการศึกษาตัวจริงเข้ากระเป๋า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มหวานให้กับเจ้าของอู่ที่นอกจากจะหล่อแล้วยังใจดีเอามากๆ
“ไม่ต้องรีบก็ได้ครับ พรุ่งนี้ก็ยังทัน” อิงครัตบอกพลางมองรอยยิ้มหวานนั้นเพลินๆ รู้สึกว่าเวลา หญิงสาวยิ้มแล้วมันทำให้อีกฝ่ายดูเป็นผู้หญิงและสวยขึ้นเป็นกอง
“คุณอิงครัตใจดีอย่างนี้เสมอหรือคะ” กัญชรสอดถามอย่างสงสัยไม่ได้ เพราะไม่คิดว่าชีวิตนี้จะเจอสุภาพบุรุษมาดแมนแฮนซั่มแถมใจดีมากๆ อย่างนี้มาก่อน
“ไม่หรอกครับ คงเพราะคุณดูเป็นผู้หญิงที่ใสซื่อและน่าสงสาร ไม่รู้สิไม่รู้จะพูดยังไง มันเป็นเรื่องของความรู้สึก ผมคงถูกชะตากับคุณมั้ง” ชายหนุ่มบอก เขาเองก็ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกของตัวเองยังไงเหมือนกัน จะพูดออกไปโต้งๆ ว่าใจดีเพราะรู้สึกสนใจในตัวเธอก็ใช่ที่
“อย่างนั้นเหรอคะ” เธอตอบรับเสียงแผ่วเบา รู้สึกเขินกับสิ่งที่ชายหนุ่มพูดมาพิกล แม้เขาจะไม่ได้พูดส่อไปในทางชู้สาว แต่แค่เขาบอกว่า มันเป็นเรื่องของความรู้สึกและถูกชะตากับเธอ แค่นั้นมันก็สามารถทำให้หัวใจดวงน้อยๆ พองโตและเต้นแรงได้
“อ้อ อีกอย่าง ไหนๆ เราก็จะได้ทำงานและอยู่บ้านเดียวกันแล้ว คุณไม่ต้องเรียกผมว่าคุณอิงครัตนะครับ เอาเป็นว่า เรียกผมว่าพี่อิงค์ดีกว่านะ ฟังดูเป็นกันเองดี และอีกอย่างคุณก็อายุน้อยกว่าผมตั้งหลายปีแน่ะ”
“ค่ะพี่อิงค์ งั้นคุณเอ้ย! พี่อิงค์ก็เรียกรสว่าอะไรก็ได้ค่ะ จะเรียกรสเฉยๆ หรือไอ้รส อีรสก็ได้ ไม่ถือเพราะสมัยเรียนช่างถูกห้อมล้อมไปด้วยเพื่อนผู้ชายโดยเรียกแบบนี้ประจำ”
“เอาเป็นว่าเรียกรสเฉยๆ ก็แล้วกันนะครับ” เขาบอกพร้อมกับระบายยิ้มกว้าง และนั่นทำให้กัญชรสถึงกับตาพล่า เพราะในสายตาของเธอรอยยิ้มนี้มันช่างเป็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ชวนให้หลงใหลเสียจริงๆ เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยใจเต้นเพราะรอยยิ้มผู้ชายเลยสักครั้ง ให้ตายสิ รีบกลับดีกว่าขืนอยู่ต่อไปมีหวังละลาย
“เอ่อ...ถ้างั้นรสขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะคะ”
“ครับ แล้วเจอกันพรุ่งนี้”
“ค่ะ ไปนะคะ” หญิงสาวยกมือไหว้ลาชายหนุ่ม แล้วเดินออกไปเรียกวินมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งผ่านมาพอดี ไปส่งที่หน้าปากซอย