ตอนที่ 4 ย้ายบ้าน (2)
ตอนที่ 4 ย้ายบ้าน (2)
ช่วงสายๆ ของวันต่อมา กัญชรสก็จ้างรถตุ๊กๆ ขนของมาที่อู่ของอิงครัตอย่างที่ได้บอกชายหนุ่มเอาไว้ และเมื่อมาถึงเขาก็รีบละมือจากงานที่ทำอยู่ ไปช่วยหญิงสาวขนของขึ้นห้อง ที่ทั้งเขาและญาติผู้น้องได้ช่วยกันจัดเตรียมและทำความสะอาดเอาไว้แล้วตั้งแต่เมื่อคืน ซึ่งดูแล้วก็สะอาดในระดับหนึ่ง แต่มันก็ไม่ได้สะอาดเท่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นวันนี้อิงครัตจึงยังไม่ให้กัญชรสเริ่มงานเลยอย่างที่เจ้าตัวร้องขอ เพราะเขาจะให้เธอจัดเก็บของที่เพิ่งขนย้ายมา พร้อมทั้งทำความสะอาดห้องให้เรียบร้อยซะก่อน ซึ่งหญิงสาวก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย
พอตกเย็นกัญชรสก็ได้รู้จักกับอัทธ์ ซึ่งเป็นญาติผู้น้องของอิงครัตอย่างเป็นทางการ และตอนนี้นี่เองเธอถึงได้รู้ว่าครอบครัวนี้เขาหน้าตาดีกันทุกคน เรียกได้ว่ากินกันไม่ลง แต่สำหรับเธอแล้วยังไงอิงครัตก็ยังดูดีและดูหล่อกว่าญาติผู้น้องของเขาอยู่ดี
คืนนั้นหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ทั้งสามได้พูดคุยทำความรู้จักกันเพื่อเพิ่มความสนิทสนมต่ออีกนิดหน่อย ก่อนต่างคนต่างจะแยกย้ายกันเข้าห้องใครห้องมัน จวบจนเวลาผ่านไปพักใหญ่ อิงครัตก็ออกมาเดินวนเวียนอยู่หน้าห้องนอนสมาชิกสาวคนใหม่ของบ้านหลายรอบ ก่อนเขาจะตัดสินใจเคาะประตูเรียกเจ้าของห้อง ไม่นานหญิงสาวในชุดเสื้อกล้ามกางเกงกีฬาขาสั้นมัดผมข้างหน้าเป็นจุกด้วยหนังยาง ก็มาปรากฏตรงหน้าเขาพร้อมรอยยิ้ม
“อ้าว พี่อิงค์...มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เปล่า พี่แค่จะมาถามรสว่ามีอะไรขาดเหลือหรือเปล่า พี่จะได้หาให้”
อิงครัตถามพลางยกมือเกาที่หลังใบหู ซึ่งถ้าหากใครรู้จักชายหนุ่มดีก็จะรู้ว่าการทำกิริยาท่าทางอย่างนี้นั่นคือเขากำลังเขิน
“แค่นี้ก็พอแล้วพี่ มีตู้เสื้อผ้า มีโต๊ะ แถมยังมีเตียงนอนนุ่มๆ ให้อีกด้วย สบายและดีกว่าห้องเก่าตั้งเยอะ รสคิดว่ามันพอจนไม่รู้จะพอยังไงแล้วละค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะพี่” ว่าแล้วกัญชรสก็ยกมือไหว้ชายหนุ่มอีกครั้ง
“อืม...ก็ดี ถ้าไม่มีอะไรแล้วพี่ไปนอนก่อนนะ”
“ค่ะ”
เท่านั้นร่างสูงก็หมุนตัวเดินหายเข้าไปในห้องที่อยู่ถัดออกไป โดยมีสายตาฉงนปนสงสัยของกัญชรสมองตามไม่วางตา
“เราตาฝาดไปหรือเปล่าวะ ทำไมรู้สึกเหมือนพี่เขาทำท่าทางเขินๆ แถมยังหน้าแดงด้วย แต่ก็น่ารักดีชอบ...กรี๊ด! ไปอ่านนิยาย แล้วเพ้อฝันต่อดีกว่า” หญิงสาวทำท่าทางกระดี๋กระด๋า ก่อนจะปิดประตูห้อง แล้ววิ่งไปล้มตัวลงนอน คว้านิยายรักที่เธอเพิ่งไปเช่ามาเมื่อตอนกลางวันมาอ่านต่อ พลางเพ้อฝันจินตนาการว่าตัวเองเป็นนางเอก และแน่นอนพระเอกในจินตนาการของเธอจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าของอู่สุดหล่ออย่างอิงครัต
หลังจากที่หายหน้าหายตาไปหลายวัน เพราะงอนชายหนุ่มที่ไม่ยอมทำตามคำสั่ง และในวันนี้รถเก๋งสีแดงคันเดิมก็วิ่งมาจอดหน้าอู่อีกครั้ง เพียงแค่ร่างสะโอดสะองของนันท์นภัสก้าวลงจากรถ สิ่งแรกที่หญิงสาวทำคือกวาดสายตามองไปทั่วอู่ และเมื่อไม่เห็นกัญชรสเธอก็ฉีกยิ้มกว้างรีบเดินตรงเข้าไปหาร่างสูงที่ก้มๆ เงยๆ อยู่กับงานอย่างดีใจ
“พี่อิงค์”
“ครับ” ชายหนุ่มรับคำสั้นๆ ขณะที่มือและสายตายังไม่ละจากงานที่ทำอยู่
“จะเที่ยงแล้วเราไปกินข้าวกันไหมคะ ร้านอาหารตามสั่งใกล้ๆ นี้ก็ได้ หรือไม่ก็เดี๋ยวนภัสจะไปสั่งใส่กล่องมากินที่นี่แทน เอาไงคะพี่อิงค์” นันท์นภัสเอ่ยชวนอย่างอารมณ์ดี
อิงครัตเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวเล็กน้อย กดยิ้มมุมปากพลางหัวเราะในลำคอ ก่อนจะหันกลับไปสนใจงานต่อ พร้อมทั้งเอ่ยปฏิเสธน้ำใจของเธออย่างนิ่มนวล
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะผมใช้รสเขาไปซื้อแล้วละ”
“รส! รสไหนคะ ที่นี่มีคนชื่อรสด้วยเหรอ ทำไมนภัสไม่รู้จัก” หญิงสาวถามพลางขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“รู้จักสิครับ วันนั้นที่เขามาสมัครเป็นผู้ช่วยช่างคุณยังว่าเขาเป็นลูกค้าของผมอยู่เลย”
พอชายหนุ่มพูดจบเท่านั้นแหละ อารมณ์ดีๆ ของนันท์นภัสก็แปรเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว ออกอาการฮึดฮัดขึ้นมาทันที
“นี่พี่อิงค์รับผู้หญิงคนนั้นเข้าทำงานอย่างที่บอกจริงๆ เหรอคะ ทำไมไม่ฟังกันบ้าง มาถึงตอนแรกนภัสอุตส่าห์ดีใจที่ไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นทำงานอยู่ที่นี่ แต่ที่ไหนได้...”
“ก็บอกแล้วไง ว่าผมจะรับรสเข้าทำงานที่นี่ ผมเป็นเจ้าของอู่มีสิทธิ์ที่จะรับหรือไม่รับใครก็ได้ ไม่ต้องรอให้คนใครมาสั่งหรือบงการ” อิงครัตพูดอย่างเบื่อหน่ายและระอากับการที่หญิงสาวพยายามแสดงตัวและก้าวก่ายกับชีวิตส่วนตัวของเขามากเกินไป ทั้งที่เขาและเธอก็ไม่ได้เป็นอะไรกันเสียหน่อย
“นภัสขอโทษ นภัสแค่ไม่ชอบใจที่จะมีผู้หญิงอื่นมาอยู่ใกล้ๆ พี่อิงค์ ถึงผู้หญิงคนนั้นจะไม่สวยก็เถอะ”
“ถึงรสเขาจะไม่สวยเหมือนคุณนภัส แต่เขาก็มีเสน่ห์และน่ารักในแบบฉบับของเขา” ชายหนุ่มแย้งเสียงเข้ม นั่นเท่ากับเพิ่มความไม่ชอบใจของนันท์นภัส ที่มีต่อหญิงสาวอีกคนให้มากขึ้นไปอีกเท่าตัว
“มาไม่ทันไรพี่อิงค์ออกรับแทนขนาดนี้เลยหรือคะ แล้วก็การเรียกชื่อเฉยๆ นั่นด้วย ที่นภัส นภัสบอกให้พี่อิงค์เรียกชื่อเฉยๆ ทำไมพี่อิงค์ไม่เคยเรียกเลย เรียกคุณนภัส คุณนภัสอยู่นั่นแหละ ทั้งๆ ที่นภัสสนิทสนมกับพี่อิงค์มากกว่าผู้หญิงคนนั้น” นันท์นภัสตัดพ้ออย่างน้อยใจ นอกจากนั้นยังแอบอิจฉากัญชรสไม่น้อยที่มาไม่ทันไรอิงครัตก็ให้ความสำคัญและสนิทสนมมากกว่าเธอที่รู้จักกับชายหนุ่มมาหลายปี
“ไปกันใหญ่แล้วนะครับคุณนภัส ผมให้เกียรติเรียกคุณอย่างนั้น เพราะเห็นว่าฐานะคุณสูงกว่าผมเยอะ เป็นถึงลูกสาวคนเดียวของเสี่ยใหญ่ เจ้าของร้านขายอะไหล่และอู่ซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอ ผมจะไปเรียกชื่อคุณเฉยๆ มันคงดูไม่เหมาะ แต่กับรสเขาเป็นลูกน้องผมและทำงานคลุกคลีกันอยู่ทุกวัน จะให้ผมไปเรียกเขาว่าคุณรสอย่างนั้นเหรอ คุณคิดว่ามันเหมาะสมไหมล่ะ” อิงครัตพยายามอธิบาย แต่มันก็ไม่ได้ทำให้นันท์นภัสพอใจ เธอเห็นด้วยกับเหตุผลที่เขาเรียกกัญชรสด้วยชื่อเล่นเฉยๆ อย่างสนิทสนม แต่กับหตุผลที่เขาเรียกเธอว่าคุณนภัสนั้นมันฟังดูไม่ขึ้นแม้แต่นิดเดียว
“แต่พี่อิงค์ก็รู้ว่านภัสติดดินไม่ได้เคยถือตัว ออกจะเต็มใจให้พี่อิงค์เรียกนภัสว่านภัสเฉยๆ ด้วยซ้ำ และเพราะอะไรนั้นพี่อิงค์ก็คงรู้อยู่แก่ใจ” หญิงสาวบอกเสียงอ้อนพลางทรุดตัวลงไปนั่งยองๆ ใกล้ๆ กับชายหนุ่มที่ยังคงขะมักเขม้นอยู่กับการทำงาน อย่างไม่ได้รู้สึกรังเกียจ
“คุณนภัสเองก็รู้อยู่แกใจเหมือนกันนะครับว่าผมไม่สามารถทำและเป็นในสิ่งที่คุณนภัสต้องการได้ เพราะมันขัดกับความรู้สึกของผม...ถอยไปครับเดี๋ยวเปื้อนและผมทำงานไม่ถนัด” อิงครัตไล่อย่างนิ่มนวล
และทันทีที่ร่างสะโอดสะองของนันท์นภัสยอมลุกและถอยห่างออกไปนั่งลงที่โต๊ะหินอ่อน รถมอเตอร์ไซค์ที่ถูกขับโดยกัญชรสก็วิ่งเข้ามาจอด
“สวัสดีค่ะ” และหลังจากลงจากรถกัญชรสยกมือไหว้นันท์นภัส ที่ยืนมองเธอตาขวางพร้อมกับถุงกับข้าวในมือพอเป็นพิธี ก่อนจะหันไปพูดกับอิงครัตต่อ “พี่อิงค์ข้าวมาแล้ว รสเอาจานมาใส่เลยนะ...คุณนภัสกินข้าวด้วยกันนะคะ” ท้ายประโยคเธอหันไปชวนหญิงสาวอีกคนด้วยรอยยิ้มจริงใจและต้องการผูกมิตร แต่สิ่งที่ได้รับตอบกลับคืนมาคือความเงียบและใบหน้าที่บึ้งตึง นั่นทำให้รอยยิ้มของกัญชรสค่อยๆ เจื่อนลง
“รสไปเอาจานมาเถอะ เดี๋ยวพี่จะไปล้างมือรอ ว่าแต่ได้อะไรมากินบ้างล่ะ”
“พี่บอกให้รสซื้อตามใจ รสเลยซื้อน้ำตกกับต้มยำไก่บ้านมา” หญิงสาวพูดพลางยกถุงในมือขึ้นโชว์พร้อมเปิดยิ้มกว้างอีกครั้ง
“แล้วนั่นอะไร” ชายหนุ่มพยักพเยิดไปที่ถุงในมืออีกข้างของหญิงสาว ซึ่งเธอก็ยกมันขึ้นพร้อมกับตอบเสียงใส
“อ๋อ...นี่เหรอคะ ปลาทูค่ะ รสได้ยินพี่อัทธ์เขาบ่นๆ ว่าเบื่อเมนูหมูๆ ทั้งหลายแหล่ พอดีรสเห็นเขาขายปลาทูเลยซื้อมา กะว่าเย็นนี้จะทำเมนูต้มยำปลาทูกินกัน”
“นี่มันอะไรกันคะพี่อิงค์ นอกจากทำงานในอู่แล้วการเป็นลูกน้องของพี่อิงค์จะต้องปรนนิบัติเจ้าของอู่ด้วยการทำกับข้าวเย็นให้กินด้วยเหรอคะ” นันท์นภัสกระชากเสียงถามอย่างไม่พอใจเป็นอย่างมาก หลังจากที่เธอตั้งใจฟังการสนทนาระหว่างสาวมาดทอมบอยกับอิงรัตอยู่นาน
“ใช่ ต้องทำสิเพราะทั้งบ้านมีผู้หญิงอยู่คนเดียว ถึงหน้าตาท่าทางจะไม่ให้ก็เถอะ แต่ไม่น่าเชื่อว่ายายนี่ทำกับข้าวเก่งมาก ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์รับเข้าทำงาน ซ่อมรถก็ได้ทำกับข้าวก็เก่ง” อิงครัตเอ่ยชม
“พี่อิงค์! นี่พี่อิงค์กำลังจะบอกนภัสว่าผู้หญิงคนนี้อาศัยอยู่กับพี่ที่นี่อย่างนั้นเหรอคะ” นันท์นภัสถามเสียงดัง ความอิจฉาพุ่งขึ้นถึงขีดสุด
“อื้อ” ชายหนุ่มตอบอย่างไม่ปิดบัง เพราะเห็นว่าไม่จำเป็น แต่กัญชรสกลับทำหน้าแหยๆ เมื่อเห็นท่าทีแทบลุกเป็นไฟของนันท์นภัส
“พี่อิงค์!”
“ครับ” อิงครัตรับคำสั้นๆ อย่างไม่สนใจท่าทีของอีกฝ่าย
“พี่ทำอย่างนี้ได้ยังไง” นันท์นภัสโวยวาย และหันไปมองกัญชรสตาขวาง
“เคยบอกแล้วไงครับ ที่นี่บ้านของผมอู่ของผม จะให้ใครอยู่ใครไปมันก็สิทธิ์ของผม คนอื่นไม่เกี่ยว” อิงครัตบอกอย่างไม่ถนอมน้ำใจ แม้แต่กัญชรสฟังแล้วยังรู้สึกหน้าชา และรู้สึกสงสารคนที่โดนว่าอย่างนันท์นภัสไม่น้อย ไม่คิดว่าผู้ชายใจดีอย่างอิงครัตจะเย็นชาได้ขนาดนี้
“คนบ้า!” หญิงสาวด่าเพียงแค่นั้นก็เดินกระฟัดกระเฟียดออกไปขึ้นรถปิดประตูดังปัง แล้วขับออกไปด้วยความเร็วเหมือนกับครั้งที่แล้วไม่มีผิดเพี้ยน
กัญชรสมองตามท้ายรถที่เพิ่งวิ่งออกไป แล้วหันกลับมามองเจ้านายสุดหล่อของเธอที่ยังคงขมักเขม้นทำงานต่ออย่างไม่สนใจ ตกลงความสัมพันธ์ระหว่างอิงครัตกับนันท์นภัสมันคืออะไรกันแน่