บทที่ 4
อัคคีตะโกนร้องลั่นเพราะขวดสีอย่างน้อยสามขวด กระแทกโดนหน้าอกของตนเองเข้าอย่างจัง ดวงตาสีสนิมวาวโรจน์ ใบหน้าถมึงทึงเพราะความโกรธจัด เขาก้าวเท้าช้าๆ เข้าหาร่างเล็กของณัฐณดา ซึ่งกำลังแหงนหน้าหัวเราะร่วนด้วยความสะใจ
‘อีน้ำขิง!’
ณัฐณดาหยุดหัวเราะในฉับพลัน ก้าวถอยกรูดไปข้างหลัง เมื่อเห็นอัคคีตีหน้าถมึงทึงคำรามลั่นขณะก้าวเข้าหากำลังจะทำร้ายเธอ
‘ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยน้ำขิงด้วย ไอ้ไฟมันกำลังจะต่อยน้ำขิง’
เมื่อจวนตัว ณัฐณดาก็รีบวิ่งหนี พร้อมกับตะโกนขอความช่วยเหลือจากคนรับใช้ในบ้าน
‘ช่วยด้วย ไอ้ขี้ข้ามันจะฆ่าน้ำขิงแล้ว’
ณัฐณดาแผดเสียงตะโกนลั่นบ้าน และคราวนี้บรรดาคนรับใช้ รวมทั้งนางนวลทิพย์ซึ่งเป็นมารดาของอัคคี ต่างก็วิ่งกรูเข้ามาภายในบ้าน
‘คุณหนูเกิดอะไรขึ้นคะ’
คนใช้คนหนึ่งซึ่งอายุมากที่สุดและเป็นแม่นมของคุณหนูณัฐณดา ตะโกนถามคุณหนูของนางด้วยความเป็นห่วง พอร่างเล็กของคุณหนูโผเข้ามาสวมกอด ก็รีบกอดตอบไว้แนบแน่น
ณัฐณดาร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวสั่นโยน จากนั้นก็ชี้นิ้วไปยังอัคคีที่ยืนตีหน้าบึ้งใกล้กับมารดาของเขา แล้วฟ้องแม่นมใส่ไคล้ให้กับคนที่เธอเกลียดเป็นการใหญ่
‘ไอ้ขี้ข้า...เอ่อ...ไอ้ไฟมันถือจานสีมาให้น้ำขิง แล้วมันสะดุดขาล้มทำสีหกใส่ตัวเอง แต่มันโทษว่าน้ำขิงแกล้งมัน แล้วมันจะฆ่าน้ำขิงค่ะแม่นมขา...’
ในตอนท้าย ณัฐณดาปล่อยเสียงร้องไห้โฮดังลั่นกว่ารอบแรก เพื่อเรียกคะแนนสงสารจากแม่นมและจากคนใช้คนอื่นๆ ด้วย
และมันก็ได้ผล เมื่อแม่นมชี้นิ้วตวาดด่าอัคคีเสียงดังลั่น พร้อมกับถลันไปทุบตีอัคคีหลายครั้งด้วยความโกรธจัดแทนคุณหนูของนาง
‘ไอ้ไฟ ไอ้เนรคุณ ทำไมมึงไม่รู้คุณข้าวแดงแกงร้อน ถ้ามึงไม่มีเจ้าสัวกับคุณผู้หญิงคอยเลี้ยงดู มึงจะมีที่ซุกหัวนอนไหม ถ้าไม่มีคุณหนูน้ำขิง มึงจะมีข้าวกินเหมือนทุกวันไหม’
ฝ่ามือของแม่นมซัดไปตามลำตัวของอัคคีเต็มแรง เสียงฝ่ามือกระทบตามต้นแขนและใบหน้าของอัคคีดังขึ้นหลายครั้งติดกัน กระนั้นอัคคีกลับไม่ร้องไห้ ไม่แม้กระทั่งก้าวถอยหนีฝ่ามือที่กำลังซัดมาตามลำตัวของตนเอง คงมีแค่เพียงดวง
ตาสีสนิมแดงก่ำเท่านั้น ที่จ้องมองไปยังคุณหนูจอมตอแหลเขม็ง
และคนที่ทนไม่ได้ก็คือมารดาของอัคคี ที่ทนเห็นลูกถูกทำร้ายอีกต่อไปไม่ได้ นางตัดสินใจก้าวเข้ามาขว้าง เอาตัวเองเข้าปกป้องไม่ให้ลูกต้องถูกแม่นมทุบตีอีกต่อไป
‘นมชื่นจ๋า ฉันขอร้องเถอะ อย่าตีไอ้ไฟอีกเลย มันสำนึกผิดแล้ว’
‘ถอยไปอีนวล กูจะตีไอ้ไฟให้เลือดออก มึงไม่ได้ยินหรือยังไงว่ามันจะฆ่าคุณหนูน้ำขิง’
แม่นมชื่นชี้นิ้วด่า ผลักร่างเล็กของนวลทิพย์จนกระเด็นไปอีกทาง แล้วเงื้อมมือขึ้นสูงตบลงไปบนใบหน้าของอัคคีเต็มแรงจนเลือดกบปาก
เผียะ!!!
‘คนเนรคุณอย่างมึง ต้องเจอแบบนี้ถึงจะถูก’
ร่างเล็กของอัคคีถึงกับล้มลงฟุบอยู่กับพื้น มีเสียงหวีดร้องของผู้เป็นมารดาร้องไห้เบาๆ เมื่อเห็นลูกทำร้ายต่อหน้าต่อตา นางยกมือไหว้แม่นมชื่น ขอร้องทั้งน้ำตานองหน้าให้คนเหล่านี้เลิกทำร้ายลูกของนาง
‘นมชื่นจ๋า ฉันขอร้องเถอะ เลิกตีไอ้ไฟเถอะมันสำนึกผิดแล้ว’
ผู้เป็นแม่สงสารลูกจับใจ ยอมเดินเข่าเข้าไปหาคุณหนูณัฐณดา แล้วยกมือไหว้ขอร้องคนที่มีอายุแค่เพียงไม่กี่สิบขวบ
‘คุณหนูขา...ยกโทษให้ไอ้ไฟเถอะนะคะ’
‘แม่ ไม่ต้องไปขอร้องเขา’
อัคคียกมือเช็คคราบเลือดแดงฉานออกจากมุมปาก ขณะเค้นเสียงเย็นยะเยือกบอกมารดา และขณะที่พูดนั้น ดวงตาสีสนิมยังคงจ้องมองเขม็งไปยังคุณหนูจอมตอแหลที่เลิกร้องไห้ไปนานแล้ว
ณัฐณดาโกรธจวนคลั่งที่อัคคีไม่ยอมร้องขอความเมตตาจากเธอ ‘ให้ไอ้ไฟมันยกมือไหว้ขอโทษน้ำขิง แล้วน้ำขิงจะยกโทษให้มัน’
‘ไม่มีทาง’ อัคคีเค้นเสียงตอบลอดไรฟัน ไม่มีทางทำตามที่อีกฝ่ายต้องการเด็ดขาด
‘ก็ได้ ถ้าแกไม่ขอโทษฉัน...ฉันจะให้แม่นมตีแกให้ตาย และจะบอกให้คุณพ่อไล่พวกแกออกจากบ้าน’
ณัฐณดายื่นคำขาดอย่าถือไพ่เหนือกว่า และคนที่เดือดร้อนที่สุดเห็นจะเป็นมารดาของอัคคี ซึ่งรีบหันมาขอร้องลูกชายทั้งน้ำตานองหน้า
‘ไฟ ขอโทษคุณหนูซะลูก เรื่องมันจะได้จบๆ สักที’
‘ไม่! ไฟไม่ใช่คนผิด ไฟไม่ขอโทษ’ อัคคีตอบเสียงแข็งกร้าว ดวงตาทั้งคู่ยังจ้องมองณัฐณดาเขม็ง
ผู้เป็นแม่ร้องไห้สะอึกสะอื้นกับคำปฏิเสธของลูกชาย ‘ไฟ ถือว่าเป็นคำขอร้องจากแม่ ทำเพื่อแม่สักครั้ง เข้าไปขอโทษคุณหนูนะลูก
‘ไม่! ยังไงๆ ไฟก็ไม่ขอโทษมัน’
ผู้เป็นแม่ต้องร้องไห้หนักกว่าเดิม เมื่ออัคคียังคงปฏิเสธเสียงแข็ง
‘ถ้าไฟไม่ขอโทษคุณหนูน้ำขิง แม่จะกราบไฟ ให้ไฟทำตามที่คุณหนูพูดมา’
ไม่ได้ขู่แค่เพียงปากเปล่าเท่านั้น ทว่านางนวลทิพย์เตรียมยกมือพนมไหว้ลูกชายตามที่พูดออกไป แต่ถูกมือเล็กของอัคคีจับยึดไว้เสียก่อน
‘แม่...อย่าทำแบบนี้ ไฟจะขอโทษพวกเขาเอง’
อัคคีกล้ำกลืนความอดสูไว้ในใจ ดวงตาแดงก่ำยิ่งกว่าดวงตาราชสีห์บาดเจ็บ เขาค่อยๆ เดินเข่าเข้าไปหาคุณหนูณัฐณดา ก่อนจะยกมือไหว้อีกฝ่าย
ณัฐณดายิ้มเหยียดตรงมุมปาก แล้วแผดเสียงถามห้วนๆ ‘ฉันบอกให้แกขอโทษฉันยังไง ไอ้ขี้ข้า แกจำไม่ได้หรือยังไง’
อัคคีกัดเนื้อด้านในริมฝีปากจนเลือดซึม ความเป็นคนถูกทำลายเสียสิ้น เมื่อต้องยกมือไหว้ไปใกล้ๆ กับต้นขาเล็กของณัฐณดา
‘พูดด้วยว่าแกขอโทษฉัน’ ณัฐณดาตะคอกสั่ง ทำให้อัคคีไม่เหลือความเป็นคนอีกต่อไป
‘ผมขอโทษครับคุณหนูน้ำขิง’
อัคคีเค้นเสียงพูดได้อย่างยากลำบาก ลำคอตีบตันแห้งเป็นผง ทิ้งศีรษะลงกับพื้นพรม ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา เพราะไม่ต้องการให้คนเหล่านี้เห็นน้ำตาของความเป็นลูกผู้ชายที่หยดลงมาเปียกพื้นพรม
ณัฐณดาหัวเราะร่วนด้วยความสะใจ มือเล็กกดไปยังศีรษะที่ยังคงซบอยู่กับพื้นพรม แล้วเค้นเสียงเยาะหยันถากถางอีกครั้ง
‘จำใส่หัวกะโหลกแกไว้ไอ้ขี้ข้า ถ้าแกคิดจะทำร้ายฉัน แกจะต้องถูกลงโทษเหมือนวันนี้อีก’
อัคคีไม่รู้ว่าณัฐณดาเดินออกไปตอนไหน ไม่รู้ว่าแม่นมชื่นและคนใช้คนอื่นๆ มองเขาด้วยสายตาสมเพชหรือเปล่า ตอนนี้ดวงตาของเขาพร่ามัวไปด้วยน้ำตาของความอดสู อีกทั้งยังเจ็บใจโชคชะตาที่ส่งให้เขาเกิดมาเป็นเบี้ยล่างของคนพวกนี้
เมื่อทุกคนออกไปจากบริเวณดังกล่าวหมดแล้ว นางนวลทิพย์ก็โผเข้าไปดึงร่างของลูกชายมาสวมกอดไว้แน่น ถึงตอนนี้นางเพิ่งรู้ว่าลูกชายของนางกำลังร้องไห้โดยปราศจากเสียงร้องไห้
‘โธ่...ไฟ ลูกรักของแม่...’
เด็กน้อยในวัยสิบห้าขวบ สะอื้นร้องไห้ปล่อยให้น้ำตาของลูกผู้ชายไหลเป็นทางอยู่กับอกของมารดา พร้อมกันนั้นก็พึมพำบอกถึงความบริสุทธิ์ของตนเอง
‘แม่ ไฟไม่ได้ผิด ไฟไม่ได้หกล้มทำสีหกใส่ตัวเอง แต่คุณน้ำขิงต่างหากที่สาดสีใส่ไฟ แล้วเอาสีที่เหลือมาเทใส่หัวไฟด้วย’
‘แม่รู้ลูก แม่รู้ไฟไม่ผิด’
นางนวลทิพย์พึมพำทั้งน้ำตาบอกลูกน้อย นางดันร่างเล็กของลูกออกเล็กน้อย ใช้มืออันแสนอบอุ่นทั้งสองข้างเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าที่เลอะไปด้วยสี
‘แม่รู้ว่าไฟไม่ผิด แล้วทำไมแม่ไม่ช่วยไฟ ทำไมแม่ต้องให้ไฟไหว้อีเด็กคนนั้นด้วย’
ผู้เป็นแม่ร้องไห้น้ำตานองไม่ต่างจากลูกชาย นางรู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าคนที่ถูกแกล้งคือลูกชายของนาง แต่นางก็ไม่สามารถช่วยอะไรลูกได้ มือเล็กทั้งสองประคองใบหน้าของลูกน้อยไว้ สงสารลูกจับใจที่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างของคุณหนูณัฐณดาในตลอดเวลา
‘ไฟ ลูกจำไม่ได้หรือว่าเราเป็นใคร เขาเป็นใคร เรามีอำนาจอะไรไปต่อกรกับเขา ถ้าเราไม่ทำตามเขาสั่ง เขาก็จะไล่พวกเราออกจากบ้านหลังนี้’
‘ไล่ออกก็ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องอยู่อีกต่อไป เราไปหางานที่อื่นทำก็ได้’
อัคคีสวนกลับทันควัน เขาเริ่มทนต่อการถูกรังแกจากณัฐณดาไม่ไหวอีกต่อไป ยิ่งนานวัน ณัฐณดาก็ยิ่งแกล้งเขาหนักขึ้น
ผู้เป็นแม่ต้องถอนหายใจยาว มันไม่ได้ง่ายอย่างที่ลูกชายคิด ที่จู่ๆ จะเดินออกจากบ้านหลังนี้ โดยมีเงินติดตัวแค่ไม่กี่พัน
‘เราไปไหนไม่ได้หรอกลูก พ่อกับแม่ไม่มีความรู้ ไม่มีการศึกษา ใครจะรับพ่อกับแม่ทำงาน’
‘มันต้องมีสักคนที่จะรับเราทำงาน ไฟจะลาออกจากโรงเรียนมาช่วยพ่อกับแม่ทำงานหาเงิน’
อัคคีบอกเสียงเข้ม การถูกกลั่นแกล้งในทุกวี่ทุกวัน ทำให้เขากลายเด็กที่โตเกินวัย
‘ไฟ ทนหน่อยนะลูก ขอให้พ่อกับแม่เก็บเงินได้มากกว่านี้ก่อน แล้วเราค่อยขยับขยายออกจากบ้านหลังนี้’
‘เมื่อไรล่ะครับแม่ เมื่อไรเราจะออกไปจากบ้านนี้ได้’
‘แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันลูก แม่ไม่รู้ว่าเมื่อไรเราจะหลุดจากบ่วงกรรมนี้ได้’
มันเป็นเงื่อนเวลาที่ผู้เป็นแม่ไม่อาจตอบลูกได้ นางไม่รู้ว่าเมื่อไรครอบครัวนางจะสามารถก้าวเดินออกไปจากบ้านหลังนี้ได้ แต่สิ่งที่นางรู้คืออัคคีถูกเจ้าสัวคมณ์และณัฐณดารังแกตลอดเวลาที่เข้าใกล้คนเหล่านี้