บทที่ 3
สองพ่อลูกที่ถูกชะตาลิขิตให้เกิดมาเป็นเบี้ยล่างของคนในตระกูลจักรภัทร พากันเดินก้มหน้าเข้ามาในห้องโถง พอใกล้จะถึงบริเวณที่เจ้าสัวคมณ์กับณัฐณดานั่งอยู่บนโซฟาหลุยส์ราคาแพง สองพ่อลูกต่างก็คุกเข่าลงกับพื้นแล้วเดินเข่าเข้าไปหาผู้เป็นนายทั้งสองคน
‘เอ่อ...เจ้าสัวเรียกผมหรือครับ’
แก้วสันต์ หรือที่เจ้าสัวจิกหัวเรียกว่า ไอ้แก้ว เอ่ยถามผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงติดหวาดกลัว
‘มึงไปอยู่ไหนมาไอ้แก้ว กูตะโกนเรียกมึงจนคอแห้งแล้ว มึงก็ไม่โผล่หัวมาสักที’ เจ้าสัวคมณ์ตวาดด่าด้วยความไม่พอใจ ที่คนขับรถทำให้เขาเสียเวลาในการไปพบกับอีหนูในคืนนี้
‘ผม...ผมท้องเสีย กำลังเข้าห้องน้ำอยู่นะครับ เลยไม่ได้ยินเสียงเรียกของเจ้าสัว’
หมอนอิงที่วางอยู่ใกล้มือ ถูกคว้ามาขว้างใส่ศีรษะของแก้วสันต์เต็มแรงพร้อมกับคำด่าของเจ้าสัวคมณ์ ทำเอาคนขับรถถึงกับจนผงะเซถลาไปข้างหลัง
‘มึงอย่ามาแก้ตัว! มึงแอบอู้งานอีกใช่ไหมไอ้แก้ว เลี้ยงเปลืองข้าวสุก’
‘พ่อ เจ็บหรือเปล่าครับ’
อัคคีกระซิบถามบิดา พอเห็นตรงหน้าผากของบิดาปรากฏรอยแดงๆ ซึ่งน่าจะเป็นเพราะโดนมุมของหมอนอิงใบใหญ่ ก็ยกมือลูบไปเบาๆ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดให้กับบิดา
แม้จะเจ็บมากเพียงใด แก้วสันต์ก็ไม่แสดงอาการให้ลูกชายเห็น ‘พ่อไม่เป็นอะไรมากหรอกไฟ’
อัคคีไม่อยากเชื่อในถ้อยคำที่บิดาบอกมา เขากำมือแน่นด้วยความเจ็บใจ ทุกครั้งที่อยู่ใกล้เจ้าสัวคมณ์ พ่อของเขาต้องถูกอีกฝ่ายลงไม้ลงมือทุกครั้ง และตัวเขาเองก็เช่นเดียวกัน เขาถูกคุณหนูที่เอาแต่ใจตัวเองทำร้ายในทุกครั้งที่อยู่ใกล้เช่นเดียวกัน
‘แหวะ! เลี่ยนชะมัด อย่ามาทำเป็นห่วงเป็นใยกันที่นี่ ฉันเห็นแล้วอยากจะอ้วก!’
พ่อมีนิสัยเป็นอย่างไร ลูกก็มีนิสัยเป็นเช่นนั้น เรียกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เพราะขณะเค้นเสียงขยะแขยงพ่อลูกทั้งสองคน ณัฐณดาก็คว้าหมอนอิงขว้างใส่ทั้งแก้วสันต์และอัคคีติดกันหลายใบ โดยสองพ่อลูกไม่กล้าโวยวายแม้แต่คำเดียว
‘ไอ้แก้ว มึงไปเอารถออก กูจะไปหาหนู...เอ่อ กูจะออกไปทำธุระข้างนอก’
เจ้าสัวคมณ์ชะงักคำพูดไปชั่วครู่ ไม่กล้าพูดต่อหน้าลูกสาวว่าตนเองกำลังจะออกไปหาความสุขกับอีหนูที่เป็นบ้านเล็กบ้านน้อย
‘ครับเจ้าสัว ผมจะไปเตรียมรถเดี๋ยวนี้ครับ’ แก้วสันต์รับคำ ทำท่าจะผุดลุกขึ้นยืน แต่ก็มีมือเล็กของลูกชายเอื้อมมาจับมือไว้เสียก่อน
อัคคีมองไปนอกบ้าน ซึ่งตอนนี้สายฝนเริ่มเทกระหน่ำลงมาแล้ว ก็เอ่ยเตือนบิดาด้วยความเป็นห่วง
‘พ่อครับ ฝนตกแล้ว พ่อขับรถดีๆ นะครับ’
แก้วสันต์ตบเบาๆ ไปบนบ่าเล็กของลูกชาย แล้วเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบาอย่างคนอ่อนแรง เพราะถูกอาการท้องเสียเล่นงานในก่อนหน้านี้
‘ไม่ต้องห่วงพ่อนะลูก พ่อจะขับรถระวังที่สุด’
‘ไฟจะรอพ่อกลับบ้านนะครับ’
อัคคีจับมือพ่อไว้มั่น จู่ๆ ก็เกิดอาการเศร้าสลดขึ้นมาในใจ รู้สึกราวกับว่าตนเองจะได้เห็นหน้าบิดา ได้จับมือใหญ่อันแสนอบอุ่นของท่านเป็นครั้งสุดท้าย
ส่วนผู้เป็นบิดาเองก็มีอาการไม่ต่างจากลูกชาย เขาจ้องมองใบหน้าที่ส่อเค้าหล่อเหลาของลูกชายอยู่นานหลายนาที ก่อนจะคลี่ยิ้มเศร้าๆ แล้วเอ่ยบอกว่า
‘พ่อไปก่อนนะไฟ’
เด็กน้อยในวัยสิบห้าขวบถึงกับขอบตาร้อนผ่าว รู้สึกว่าเป็นคำพูดสุดท้ายที่บิดากำลังกล่าวลาก็ไม่ปาน
‘ไอ้แก้ว มึงจะล่ำลากับลูกมึงอีกนานไหม กูต้องการออกไปข้างนอกเดี๋ยวนี้’
‘ครับเจ้าสัว ผมไปแล้วครับ’
แก้วสันต์ลุกขึ้นยืนแล้วรีบวิ่งออกไปจากห้องโถง เพื่อไปเตรียมรถให้กับเจ้าสัว ที่ต้องการออกไปหาอีหนูทั้งๆ ฝนกำลังตกหนักราวกับฟ้ารั่ว
และเมื่ออยู่กันตามลำพัง คุณหนูณัฐณดาก็เริ่มแกล้งลูกคนใช้เหมือนที่เคยแกล้งทุกวัน จนแทบจะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปเสียแล้ว หากวันใดไม่ได้แกล้งอัคคี เธอก็จะอยู่ไม่เป็นสุข จะนอนไม่หลับทั้งคืน
‘ไอ้ขี้ข้า ไปเอาเฟรมวาดรูปมาให้ฉันเดี๋ยวนี้’
‘ครับ...คุณหนูน้ำขิง’
อัคคีรับคำสั้นๆ แล้วลุกขึ้นจากบริเวณดังกล่าวอย่างรวดเร็ว เพราะรู้ว่าหากช้ากว่านี้ก็ต้องถูกณัฐณดาลงไม้ลงมือกับตัวเขาอีก
และด้วยเคยถูกแกล้งมาหลายครั้งแล้ว เกี่ยวกับเรื่องการไปเอาเฟรมให้อีกฝ่ายวาดรูป อัคคีจึงหอบเอาเฟรมวาดรูปทุกขนาดที่มีอยู่มาให้ผู้เป็นเจ้านาย
‘ไอ้ขี้ข้า เอาเฟรมมาทำไมตั้งหลายอัน ฉันจะวาดรูปแค่ภาพเดียวเท่านั้น’ ณัฐณดาตวาดด่า ขณะจ้องมองไปยังเฟรมวาดรูปที่ถูกอีกฝ่ายหอบมาวางตรงหน้า
‘ไม่ดีหรือครับคุณหนูน้ำขิง คุณอยากวาดรูปใหญ่หรือเล็กขนาดไหนก็เลือกเฟรมได้เลย ผมเอามาให้คุณทุกขนาดแล้ว คุณจะได้ไม่ต้องบอกให้ผมไปเอาเฟรมมาหลายรอบยังไงล่ะครับ’
‘ฉลาดไม่เข้าเรื่อง ไอ้ลูกขี้ข้า’
ณัฐณดาเค้นเสียงด่าลอดไรฟัน โมโหที่อีกฝ่ายรู้เท่าทันความคิดของเธอ เพราะใจจริงแล้วเธออยากแกล้งอัคคีเหมือนผ่านๆ มา โดยการหลอกให้อีกฝ่ายเดินเป็นสิบๆ รอบ เพื่อไปเอาเฟรมวาดรูปในแต่ละขนาดมาให้เธอ
‘จะนั่งวาดรูปตรงนี้เลยหรือเปล่าครับ เดี๋ยวผมจะตั้งเฟรมให้’
‘ใช่ ฉันจะนั่งวาดรูปตรงนี้’
ณัฐณดาชี้นิ้วไปตรงเท้าของตัวเอง โมโหอยู่มากที่ยังหาเรื่องแกล้งอีกฝ่ายไม่ได้
ส่วนอัคคี พอได้รับคำสั่งเช่นนั้นก็รีบตั้งเฟรมวาดรูปให้ณัฐณดาอย่างรวดเร็ว เพื่อที่ว่าพอหมดหน้าที่ของตนเองแล้วจะได้ออกไปจากที่นี่สักที
‘เรียบร้อยแล้วครับ ผมขอไปทำงานอื่นต่อก่อนนะครับ’
‘แกจะไปทำงานอะไร ไอ้ขี้ข้า’
ณัฐณดากระชากเสียงถาม มือเล็กถือพู่กันและจานสีไว้ แต่ไม่ยอมลงมือวาดรูปสักที
‘เยอะแยะ สาธยายไม่หมด’
อัคคีตอบอย่างกวนโทสะอีกฝ่าย จากนั้นก็เตรียมเดินหนีคุณหนูที่เอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่ แต่ก็ถูกอีกฝ่ายตะโกนออกคำสั่งเสียงห้วน
‘หยุดเดี๋ยวนี้นะ ฉันไม่ให้แกไปไหนทั้งนั้น แกต้องอยู่ที่นี่จนกว่าฉันจะวาดรูปเสร็จ’
‘ไม่ครับ ผมต้องไปช่วยแม่ทำงานบ้านให้เสร็จ ท่านจะได้พักผ่อนสักที หลังจากเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว’
อัคคีต้องการทำเช่นที่บอกไป เพราะมารดาของเขาทำงานหนักมาทั้งวัน คฤหาสน์หลังนี้มีคนใช้มากถึงห้าคน แต่ดูเหมือนคนใช้ทุกคนจงใจโยนงานทุกอย่างให้มารดาเขาทำคนเดียวเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องเป็นคำสั่งของคุณหนูณัฐณดา ที่ต้องการแกล้งครอบครัวของเขาให้ได้รับความลำบากมากที่สุด
ณัฐณดาตีหน้าบึ้ง เมื่อเห็นคนเป็นเบี้ยล่างของตัวเองไม่ยอมทำตามคำสั่ง เธอจึงตะคอกสั่งเสียงดังอีกครั้ง
‘ฉันบอกให้หยุด ได้ยินไหม ไอ้ขี้ข้า แกต้องนั่งอยู่ใกล้ๆ ตีนฉันนี่’
ณัฐณดาหยาบคายไม่มีใครเกิน เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่หนึ่ง แถมยังไม่เห็นหัวใครด้วย ไม่ว่าจะเป็นผมหงอก ผมดำ เด็กน้อยตัวเล็กๆ อย่างเธอด่าดะ ถ้าหากคนเหล่านี้ไม่ทำตามที่เธอต้องการ
อัคคีกำมือทั้งสองเข้าหากันแน่น เจ็บใจ เจ็บแค้นทุกครั้งที่ถูกเรียกว่า ไอ้ขี้ข้า เขาต้องสะกดใจนับหนึ่งถึงร้อย เพื่อให้อารมณ์ของตัวเองสงบลง จากนั้นก็ก้าวเท้ายาวๆ เดินออกไปให้พ้นหน้าณัฐณดา
ทว่าอัคคีก้าวเดินได้ไม่กี่ก้าว คุณหนูณัฐณดาก็วิ่งไปดักหน้า ในมือมีจานสีถือติดมาได้ ใบหน้าเล็กถมึงทึง ดวงตากลมโตเผยแววโกรธจัดขณะจ้องมองคนไม่เชื่อฟังคำสั่งของเธอ
‘แกหูหนวก หรือสมองนิ่มกันแน่ ถึงไม่เข้าใจที่ฉันสั่ง’
‘ผมไม่ได้หูหนวก ไม่ได้สมองนิ่ม ผมมีสมองมากกว่าคนแถวๆ นี้ด้วยซ้ำไป ที่ฟังคำอธิบายของผมไม่เข้าใจว่าผมต้องไปช่วยแม่ทำงาน’
อัคคีย้อนกลับอย่างเหลืออด เขาถูกณัฐณดาจิกหัวใช้ ถูกทำร้าย ถูกเธอตะโกนด่ามาตลอดทั้งวันแล้ว และตอนนี้เขาก็เริ่มหมดความอดทนแล้ว
ณัฐณดาเต้นเป็นเจ้าเข้า หนูน้อยในวัยสิบขวบที่แก่แดดแก่ลม เพราะถูกสั่งสอนมาแบบผิดๆ กระทืบเท้าด้วยความขัดใจระคนโกรธจัดที่ถูกอัคคีตอกหน้ากลับคืน
‘ไอ้ขี้ข้า แกว่าใครโง่ แกว่าใครสมองนิ่ม’
‘แล้วผมกำลังพูดอยู่กับใครล่ะครับ’
อัคคีย้อนถามเสียงเย็น ก่อนจะยกมือปิดหู เมื่อณัฐณดาร้องกรี๊ดเสียงดังลั่นบ้าน
‘กรี๊ดดดด แกกล้าด่าว่าฉันโง่หรือไอ้ขี้ข้า ฉันจะฟ้องคุณพ่อให้ไล่พวกแกออก’
‘เชิญ! เชิญขี้ม้าสามศอกไปฟ้องพ่อคุณเลย แต่คงต้องรอนานหน่อย เพราะตอนนี้พ่อคุณกำลังไปกกอีหนูอยู่’
อัคคีรู้สึกสะใจกับใบหน้าที่ซีดเผือดลงทันตาเห็น กับประโยคท้ายที่เขาเค้นเสียงบอกไป คุณหนูณัฐณดายังใสซื่อ ไม่รู้เรื่องราวของบิดา คิดเสมอว่าบิดาออกไปทำธุระในยามมืดค่ำจริงๆ แต่คุณหนูผู้นี้หารู้ไม่ว่า จริงๆ แล้วเจ้าสัวคมณ์ออกไปหาอีหนูที่แอบซุกซ่อนไว้ตามคอนโดต่างๆ
‘แกอย่ามาพูดว่าพ่อของฉันแบบนี้นะไอ้ขี้ข้า พ่อของฉันเป็นคนดี พ่อรักแม่คนเดียว พ่อไม่มีทางนอกใจแม่อย่างแน่นอน’
ณัฐณดาพยายามแก้ต่างให้กับบิดา ใบหน้าเล็กส่อเค้าความงามลออยังคงซีดเผือดเหมือนเดิม
‘อยากเข้าใจแบบนั้นก็เชิญ’ อัคคีทำเสียงเยาะในลำคอ ทำใจกล้าออกคำสั่งกับคุณหนูณัฐณดาบ้าง
‘ถอยไปคุณหนูน้ำขิง ผมจะไปทำงานต่อ’
‘อยากไปทำงานมากใช่ไหม ถ้ายังงั้นฉันจะเพิ่มงานให้กับแกเอง’
ว่าแล้วคุณหนูที่เอาแต่ใจตนเป็นใหญ่ ก็สาดจานสีใส่ใบหน้าของอัคคีเต็มแรง สีน้ำที่ถูกผสมหลากหลายสีบนจานสีเพื่อเตรียมวาดรูป ตอนนี้ถูกละเลงอยู่บนใบหน้า ลำคอ ไหลมาเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าตัวเก่งของอัคคี เท่านั้นยังไม่สาแก่ใจของณัฐณดา หนูน้อยสอยเท้าวิ่งอย่างรวดเร็วไปคว้าขวดสีอีกหลายขวดที่วางอยู่ใกล้เฟรมวาดรูป มาเทใส่บนศีรษะของอัคคีที่ยังตกตะลึงไม่หาย
‘นี่แนะ! นี่แนะ! อยากมีงานทำมากนักใช่ไหม ฉันจะสงเคราะห์ให้แกเอง’
ขวดสีในมือถูกเปิดเทใส่ไปบนศีรษะของอัคคีจนหมดขวด แถมยังขว้างขวดสีใส่ลำตัวของอัคคีจนเด็กน้อยต้องร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
‘โอ๊ย...’